มีแต่เม็ดฝนเท่านั้นแหละที่หล่นจากฟ้า
ทักษะไม่ได้มาแบบนั้น ทักษะต้องฝึกฝนขวนขวายเรียนรู้ ความคิดใครๆ ก็มีกันทั้งนั้น ประเด็นคือเมื่อมีความคิดความรู้สึกแล้วจะสื่อสารกับบุคคลที่สองที่สามยังไง มนุษย์ที่ไม่ได้อยู่ในรูในถ้ำยังไงก็ยังต้องพบปะทะกับคนรอบข้าง ไม่ด้วยเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง หิวอิ่มหนาวร้อน เพราะเราคลายหิวคลายร้อนด้วยตัวเองได้ทุกเรื่องเสียเมื่อไหร่ ยิ่งถ้าเลือกวิธีเล่าเรื่องสุขสันต์หรรษาหรือเศร้าเหงารักในรูปแบบทัศนศิลป์แล้ว ศิลปินสายสีเชิงสัญลักษณ์ แนวโรแมนติกจะเขียนรูปอย่างปรนัยจ๋าว่าด้วยเหตุและผลอย่างเดียว ก็ดูจะเป็นฟุตเหล็กไปหน่อย แม้บางเหตุการณ์มันแสนจำต้องเป็นอย่างนั้นก็ตาม
วันนี้สังคมเรามาไกลเกินกว่าจะโฟกัสแค่ความอยู่รอดของร่างกายแล้ว อันที่จริงในแง่พื้นฐานทางชีววิทยา มนุษย์เรายังไงก็ยังอยู่ในกรอบของวิวัฒนาการอย่างเลี่ยงไม่ได้ ร่างกายแข็งแรงขึ้น ตัวเดินหน้าพัฒนาครองลมหายใจได้ยาวนานขึ้นก็พาใจพัฒนาด้านอื่นไปด้วย เพราะเราอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน หนาวร้อนก็เล่าสู่กันฟัง ถ้าเล่าในรูปแบบศิลปะของคนธรรมดา
ปัญหาคือมีทักษะเพียงพอแค่ไหนกับเรื่องที่อยากเล่า แล้วจะเล่ายังไง
ถ้าความคิดเป็นตัวกำหนดการกระทำ สมุดร่างภาพแรกนี้เกิดจากความคิดในขณะที่อยากเขียนภาพคน ความคิดทำให้เกิดรูปและเรื่องขึ้นในใจ ไม่ใช่ความคิดชั่ววูบหรอก ความรู้สึกนามธรรมที่เกี่ยวกับจิตสำนึกของคน จิตสำนึกที่เป็นพื้นฐานรองรับเรื่องราวโน่นนี่อยู่ ทำให้เห็นความเป็นไปของคนในสังคม เมื่อต้องการแปลความหมายระหว่างทางของชีวิต เชื่อมโยงไปยังภาพเขียนที่เป็นเป้าหมาย ร่างความคิดทั้งหลายนี้จึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นแกนในการเขียนภาพคน
สิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกและเลือกการกระทำของตนเองได้ ที่เราเรียกกันว่าคนนี้ คือที่เกิดที่ตายของประสบการณ์รูปธรรมและนามธรรม ภาพสุดท้ายจะสื่อความได้ใจแค่ไหน ภาพต่างๆ จะเลื่อนไหลมาอย่างไร คนที่ได้ลงมือร่างภาพแรกจะมองเห็นทางไปต่อจากเชื้อปะทุนั้น
ร่างความคิด
1 ดาเมียน เฮิร์ต (Damien Hirst) ศิลปินสุดล้ำนำสมัยที่ยินดีรับสกุลเงินดิจิตอล ไอคอนของวงการศิลปะอังกฤษและของโลกที่ทำงานแนว Conceptual Art, Installation Art (ศิลปะจัดวาง) แนวคิดของศิลปินกลุ่มจัดวางจะให้ความสำคัญต่อความคิดมากกว่าความงาม ผลงานทำขึ้นโดยว่าจ้างช่างเทคนิคก็ได้ ใช้วัสดุสำเร็จรูปที่ผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรมก็ได้ ศิลปินไม่จำเป็นต้องมีทักษะใดๆ ขอให้มีความคิด เหมือนที่ดาเมียนเขาจ้างคนหล่อหัวกะโหลกมนุษย์จากของจริง แล้วใช้เพชรฝังรอบหัวกะโหลกเป็นผลงานชื่อ For the love of God ประมูลขายในราคา 100 ล้านดอลลาร์ (บ่งึดจักเม็ด) ไม่มีคำถามถึงความงามที่ไม่ใช่มูลค่า
ตัวอย่างความคิดก็เช่น เขาจ้างคนตัดหัววัวสดๆ แล้วเอามาวางไว้ในห้องกระจก แล้วปล่อยให้เลือดหยดไหลนองที่พื้น ภายในห้องนั้นเขาปล่อยให้ฝูงแมลงวันให้บินตอมดมกลิ่นคาวเลือด หัววัวก็ค่อยๆ เน่าเหม็น แมลงวันก็บินไปหยอดไข่ไว้ที่หัววัว กลายเป็นหนอนชอนไช มีตัวตายตัวแทนแมลงวันรุ่นใหม่ฟักออกจากไข่แทนแมลงวันที่แทะซากหัววัวแล้วก็ตายไป
เสียงหึ่งของแมลงวันกำลังบิน บ้างเกาะที่ซากหัววัว บ้างตายหล่นเกลื่อนที่พื้น เป็นภาพแสดงความตายเพื่อสื่อสารกับคนดู ให้เห็นความตายชัดๆ ความคิดที่เขานำเสนอจากงานชื่อ Memento Mori (จำไว้ว่าคุณต้องตาย) เป็นการเสนอสัจธรรมที่หนักหน่วงรุนแรง ใครชื่นชอบสายนี้ก็ไปจูนคลื่นให้ตรงกัน จูงไม้จูงมือไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรอเรา ได้กลิ่นเลือดก็ขอเป็นลมแพร็บ (โอย หน้าจิมืด)
แต่เวลาผ่านไปเพียงห้าหกปี เขาบอกว่าในที่สุดแล้วทั้ง Minimalism และ Conceptualism ก็ไปต่อไม่ได้ จิตรกรรมนี่แหละที่ยืนยาว เขาต้องกลับมาเขียนรูปเอง เลิกจ้างคนทำแทน แล้วบอกถึงแรงบันดาลใจอันใหม่คืองานของชาว Post impressionism อย่าง George Seurat, Paul signac หรือ Pierre Bonnard ที่เขาบอกว่าชอบมาก ถึงขั้นประกาศว่าเขาค้นพบสิ่งใหม่คือการเขียนรูปเป็นจุดๆ นึกภาพรูปจุดสีหลายๆ สีทับซ้อนกันอยู่เหมือนงานของป้าจุด ยาโยอิ (Yayoi Kusama) ศิลปินหญิงคนดังชาวญี่ปุ่น และศิลปะพื้นบ้านของชาวผิวสีก็มีส่วนทำให้เขาหันกลับมาวาดรูป ด้วยการลงมือเองซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา
2 ศิลปินร่วมสมัยใช้สมองอย่างหนัก จนหัวทิ่มจะอัตถภาวนิยม (Existentialism) หรือจินตนิยม (Romanticism) ดี (จินตนิยมแบบปฏิวัติแล้วนะ) มันเกี่ยวกับเสรีภาพที่จะเลือก แต่เลือกแบบไหนแล้ว จะไม่รับของคู่กันนั้น (แบบนี้ก็ได้เหรอ)
ถ้าจะเอาแบบอัตถภาวนิยมที่มองว่าคนเกิดมาหายใจได้แล้ว ในทางพุทธก็เรียกว่าเกิดมาใช้กรรมเก่าทั้งสุขทุกข์นั่นแหละ ส่วนแนวคิดสาวกของจินตนิยม เขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกและอารมณ์มากกว่าเหตุผล คือไม่กำหนดกรอบครอบหนาเกิน กลุ่มนี้เขาทำงานศิลปะเพื่อแสดงเรื่องราวของชีวิตตามจินตนาการ
3 ศิลปินจิเอาแต่รูปแบบอ่ะ form / content รูปแบบเริ่ดอ่ะ แต่เนื้อหาหัวทิ่มตกม้าตาย ต้นศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มศิลปินเสนอความคิดนี้ต่อสังคมว่า Art for art sake ศิลปะควรแยกตัวออกจากการเมืองสังคมและอารมณ์ที่แปรปรวนเป็นประจำของมนุษย์ ความงามของศิลปะควรจะเกิดจากความสอดคล้องสมดุลของเส้นสีลวดลายต่างๆ ในตัวเองมากกว่าที่จะเกิดจากความปั่นป่วนอารมณ์จากเนื้อหาของภาพ เหมือนกับว่ามนุษย์เหนื่อยหรือวนเวียนซ้ำซากอยู่กับปัญหาแบบเดิมๆ ของการมีชีวิต เหมือนกับว่าประสบการณ์ของผู้มาก่อนไม่ได้ช่วยให้มนุษย์เข็ดหลาบกับสารพัดเรื่อง
คือมนุษย์ไม่ควรเจ็บปวด ถ้าไม่จำเป็น แต่มนุษย์ก็ยังสมัครใจเลือกเส้นทางนั้น เลือกเดินเข้าสนามเจ็บปวดนั้นเพื่อหลั่งน้ำตา ไม่จดจำบทเรียนราวๆ นั้น แนวคิดสองขั้วต่างกันแบบนี้ จะเลือกอะไรดี
4 ถักโครเชท์เป็น ทำขนมครกเป็น แสนวิเศษ (จริงๆ ไม่ได้โม้ –พี่สมรักษ์ คำสิงห์ เว้า) เครื่องมือสร้างความสุขของปัจเจก
ศึกษา ศึกษา อยากรู้อะไรก็ต้องศึกษา ช่างซ่อมรองเท้าบอกว่าการทำอะไรสักอย่างไม่ได้เป็นปริศนาปรัชญาชีวิตอะไรหรอก ก็แค่ทำอะไรสักอย่างที่เราชอบแล้วมันส่งผลดีกับตัวเองกับคนอื่น เพราะเราถนัดกันคนละอย่าง เพราะเราเชี่ยวชาญต่างกัน
เกิดเป็นคนบริโภคสิ่งที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงผู้อื่น ในมุมกลับกันก็ควรผลิตอะไรสักอย่างไหม ให้ผู้อื่นบ้างใช่ไหม
5 มันก็ดีที่จะคุยเรื่องศิลปะบ้าง ในงานศิลปะเองก็มีหลากหลายแนวทาง ต่างอุดมคติ สารพัดต่างความเชื่อ หลายคนมองว่าการแสดงออกด้วยงานศิลปะมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ก็ได้ จะว่าไป เปิดใจให้เรื่องไร้สาระบ้างก็ดีนะ มองขำๆ ไป เมื่อไม่มีม่านน้ำตามาบัง เราอาจเห็นอะไรๆ ชัดขึ้นก็ได้นะ
6. Paint บ้าง Drawing บ้าง แตะฝุ่นบ้าง มันเป็นระหว่างทางหรือทางระหว่าง / ชีวิต คือ between
ชอบเนาะ ไฟต์เตอร์ / Slow down and be present / Slow down and watch the sun rise /
7 Drawing, Painting, breathe it ปัญหาๆ live it พอใจกับของเล็กน้อย เพลิดเพลินได้จริง ถ้าวาดรูปเป็น ทำของชอบ มีสีให้พอใช้พอทำ ไม่มีแหวนเพชรก็ได้ มีเยอะเกินก็เป็นภาระนะ เอาสิ่งที่พอจำเป็นสำหรับการอยู่รอด สุขภาพดี ‘ดีกว่า’
8 Positive thoughts create positive things รู้ว่าไม่มีฝีมือก็ต้องฝึกฝน Practice makes perfect อยากสื่อสารความคิดให้ได้ดังใจใกล้เคียงมากสุดก็ลงมือทำ ทำแล้วดูยังไม่ใกล้ก็ทำใหม่ ทำซ้ำๆ ก็เท่ากับเราลับคมมีด ปรับซ้ายปรับขวาในชั้นแรกก็ไม่ถึงขนาดต้องคาดหวังว่า สิ่งที่ทำจะล้ำโลกสุดๆไม่มีดอก ทำไปก่อน อย่างน้อยก็ดีต่อใจตัวเองแล้ว
ใครใคร่รู้ก็ได้รู้แทบทุกเรื่อง มุมมืดมุมสว่างของโลก ทุกซอกทุกมุม ระบบดิจิตอลได้ทำลายรูปแบบความสัมพันธ์สัมผัสเดิมที่แสนงามของเราไปหลายอย่าง เราเคยส่งความคิดถึงกันด้วยการเขียนจดหมาย วิธีง่ายๆ ก็ยังหายไปพร้อมกับงานวาดรูปเพื่อพิมพ์แสตมป์
ความเร็วของโลกภายนอกไม่เผื่อเวลาให้เราได้รอคอยแบบอ้อยอิ่ง ความเคยชินใหม่ทำให้เราหมดโอกาสละเลียดกับความงามเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง งานร่างแรกภาพความคิดที่เคลื่อนผ่านคู่ขนานไปกับวันเวลา ได้ทำหน้าที่จดบันทึกหลายเรื่องราวและบางความรู้สึกไว้เป็นความทรงจำ.
เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม
เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’