ฝรั่งพูด ไม่ใช่เราพูด ข้อความ We will no longer be seen and not heard. “เราจะไม่ถูกพบและได้ยินอีกต่อไป”
เราในที่นี้อาจหมายถึงคนหนุ่มคนสาว คนป่วยหรือใครก็ได้ที่ไม่มีอำนาจในกระแสสื่อมวลชนและสังคม หรือเป็นใครก็ได้ที่ยังยืนอยู่บนโลกใบนี้ และก็ไม่ใช่ความคิดของศิลปินป๊อบคนหนึ่งที่บอกว่า อินเทอร์เน็ตทำให้ทุกคนเป็นศิลปินและจะถูกลืมภายใน 15 นาที
เขาเลิกคุยกันแล้ว อะไรเป็นศิลปะ อะไรคือโฆษณาชวนเชื่อ และอะไรคือเครื่องมือปลุกระดม
การใช้ข้อความในงานศิลปะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ลักษณะงานแบบนี้เคยมีมาก่อนแล้วในงานคิวบิสม์ ศิลปินทำงานโดยใช้พยัญชนะ ภาพถ่าย เป็นส่วนประกอบหนึ่งของภาพเขียน ศิลปินบางคนเลือกใช้ภาษาแทนสี แทนพู่กัน ให้ตัวอักษรนั้นๆ สร้างเนื้อหาด้วยตัวเอง งานชุดความคิดที่ปรากฏตามสื่อสาธารณะ โดยมีข้อความเป็นเนื้อหาของงาน นักวิชาการศิลปะเรียกรูปแบบงานนี้ว่า conceptual art
ศิลปะเชิงแนวคิด conceptual art ไม่ได้ใช้ทักษะในการวาดปั้นแบบดั้งเดิม ศิลปินแนวนี้อาจไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะในการวาดเส้นระบายสีเลยก็ได้ เพราะเขาเชื่อว่าแนวคิดสำคัญกว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ปั้นหรือวาดขึ้นมา ข้อความที่เขียนเพื่อสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นวลี ถ้อยคำหรือประโยค มักส่งผลกระทบกระแทกความรู้สึก
เนื้อหาในข้อความนั้นอาจเป็นการตั้งคำถามกับความเป็นจริงของสังคม ศิลปินเชิงแนวคิดสร้างชุดคำขึ้นแบบต่อเนื่องในงานของเขาโดยมีเจตนายั่วล้อ อำๆ ขำๆ ทำให้คนฉุกคิด ไตร่ตรองในเนื้อหา หรืออาจเป็นบทสนทนาของศิลปินกับสภาพแวดล้อมในสังคม ด้วยข้อความที่ปลุกเร้าหรือส่องแสงให้คนคิดไปกับสาระที่เห็น ศิลปินเลือกใช้ช่องทางที่คนรับสารคุ้นเคย เช่น ป้าย บิลบอร์ด โปสเตอร์ หรือภาพตามกำแพงเมือง
Barbara Kruger, Jenny holzer คือศิลปินแนวคิดที่โดดเด่น เนื้อหาข้อความของศิลปินหญิงทั้งสองคนนี้ มักจะเกี่ยวพันกับความรุนแรง เกี่ยวกับอำนาจ ความหวัง สิทธิเสรีภาพและการกดขี่เอาเปรียบ ความคิดเห็นที่ศิลปินแสดงออกในรูปชุดคำ จัดระเบียบผ่านพยัญชนะและภาพถ่ายของ Barbara Kruger เธอกล้าหาญในการแสดงความเห็น เช่น ข้อความ Your body is money เข้มแข็ง ชัดเจน ท้าทายความรู้สึกความคิดของคนดูงาน และอีกหลายข้อความที่หมายถึงหนึ่งผลงาน เช่น I shop therefore I am ข้อความ Your Body is a Battle Ground ข้อความ You are not Yourself ข้อความเหล่านี้ เธอมีเจตนากระตุ้น ยั่วยุให้คนถกเถียง พิจารณาไตร่ตรอง
หลายประโยคออกแนวตั้งคำถามแบบสตรีนิยม ตั้งคำถามเกี่ยวกับบริโภค ความกระหายอยากได้ในด้านต่างๆ ของปัจเจกบุคคล รวมถึงความเป็นอิสระและเสรีภาพส่วนตัวของคนในสังคม เธอสื่อสารด้วยวิธีนำรูปบุคคล หรือเหตุการณ์ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมจากสื่อหลัก นำมาบวกคำ บวกวลีที่เป็นคำถาม ผสมผสานกับการตัดต่อภาพ แล้วจัดวางตำแหน่งใหม่
ภาพถ่ายผู้หญิงที่ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นส่วน สะท้อนการแตกสลายของหญิงคนนั้น ภาพและข้อความชี้ให้เห็นการเป็นอยู่ของผู้หญิง ที่มักถูกคาดหวังให้รับมอบภาระหน้าที่ตามกติกาที่สังคมกำหนดและจากสมมุติฐานของคนอื่น โดยที่เธออาจไม่ได้เป็นและไม่สมัครใจที่จะเป็นตามที่สังคมต้องการ
เมื่อเธอทบทวนละเอียดรอบคอบก็รู้สึกว่าฉันไม่ได้เป็นตัวเอง
มีนักวิจารณ์บางคนตีความหมาย You are not Yourself ว่าศิลปินเรียกร้องให้คนอ่านพิจารณาอัตวิสัย ดูด้านในของตัวเองและประเมินสถานะภาพของเธอจากที่สังคมประเมิน เธอบอกที่มาของงานชิ้นนี้ว่า คนจำนวนมากที่ส่องกระจกเกินห้าครั้งต่อวัน เพื่อที่จะตรวจทรงผม เติมลิปสติกเพื่อให้คงสภาพที่ดูดี หรือแม้กระทั่งเติมน้ำหอมให้ส่งกลิ่นจนกว่าจะกลับถึงบ้านในยามค่ำ พฤติกรรมแบบนี้มันกำหนดความคิดของตัวเธอคนนั้นทั้งกายภาพและทางใจ
วิธีทำงานของ Barbara Kruger จะเรียกว่าเป็นเทคนิคคอนลาจก็ได้ เธอเลือกใช้ตัวอักษรฟอนต์เดิมตลอดในงานทุกชิ้น ติดตั้งในพิพิธภัณฑ์บ้าง ห้องน้ำ ห้องส้วมและพื้นที่สาธารณะต่างๆ แล้วแต่ความเหมาะสม อาจจะปรากฏตัวในรูปป้ายดิจิตอล ติดตั้งที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์ก ตึกศูนย์การค้าใจกลางเมือง เธอบอกว่าฉันไม่ได้พยายามขายอะไร แค่อยากให้คนอ่านคนดูคิด ว่านึกถึงอะไรในตอนที่ฟังข่าวหรือดูทีวี
Know nothing, Believe anything, Forget everything. คือที่มาของงานชิ้นนี้ Who is free to choose ?
กับอีกหลายข้อความเพื่อพิจารณา
You invest in the divinity of the master piece. / We will no longer be seen and not heard. / Between being born and dying.
Barbara Kruger ศิลปินเชิงแนวคิดอเมริกันที่เกิดในชนชั้นแรงงาน ใช้ฟอนต์ตัวหนาดูน่าเชื่อถือ San-serif future Boid oblique กับฟอนต์ Helvetica utra condensed เธอใช้สองฟอนต์นี้เท่านั้น ข้อความจะวางทับบนภาพถ่ายขาวดำ ช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาแนวคิดหลังสมัยใหม่ในกลุ่มศิลปินมักคุยกันถึงหัวข้ออัตลักษณ์ บริโภคนิยม รวมถึงแนวคิดของสตรีนิยมที่กล้าขัดขืนค่านิยมเดิม เธอเสนอความเห็นใหม่ว่า ความงามของผู้หญิงในวันนี้ไม่ควรมีอยู่เพื่อเป็นที่ต้องการของผู้ชาย แต่ควรจะงามเพื่อส่งเสริมพลังของตัวเอง งานเธอถูกจัดให้อยู่แถวหน้า น่าจดจำ
ในโลกศิลปะ ถ้าเราทำแบบเดิมที่แตกต่างจากคนอื่นบ่อยๆ ดูเหมือนทำผิดซ้ำๆ เพราะแปลกแตกต่างจากคนอื่น แปลกจนเป็นสไตล์ไหม ใครมีสิทธิ์เป็นผู้แบ่งระดับสุนทรียภาพของข้อความที่บันทึกเรื่องของสังคมและบันทึกประวัติศาสตร์นี้
รูปแบบไม่สำคัญเท่าเนื้อหา ข้อความที่อยู่ในรูปแผงไฟกระพริบบนพื้นที่สาธารณะมีคนเห็นมีคนสนับสนุน เธอเปิดนิทรรศการ a century of art and consumer culture เธอทำป้ายคำว่า Admit nothing เธอทำวิดีโอ 13 นาที the globe shrinks รวบรวมข้อคิดจากชีวิตประจำวัน เธอนำเสนอภาพความรุนแรงทางร่างกาย การบูชาศาสดาและรวมเอาคำต่างๆ ที่ผ่านการคิดของเธอแล้วว่า ยากที่จะโต้แย้งซึ่งจำเป็นต้องมีการโต้แย้ง
เราอาจเคยเห็นคุ้นเคยกันดีกับข้อเขียนบนรูปถ่ายขาวดำบนพื้นขาวบ้าง แดงบ้าง I shop therefore I am. ในห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง เห็นคำว่า Love for sale
บนถนนที่ไม่เคยหลับ หรือประโยค The future belongs to those who can see it. ตามรั้วมหาวิทยาลัย
บนจอแอลซีดีขนาดใหญ่ทำให้ภาพเคลื่อนไหวได้ บางภาพทำเป็นจิ๊กซอว์แยกเป็นส่วนๆ เขียนคำว่า My body is money หรือความต้องการของคุณมีไว้ซื้อขาย ให้คนดูคิดตาม รู้สึกซับซ้อนไหม
เนื้อหาที่ว่ากันตรงๆ เกี่ยวกับโครงสร้างทางวัฒนธรรมของอำนาจ เพศสภาพ การกระตุ้นการบริโภค อัตลักษณ์ ปรากฏหลายรูปแบบ ทั้งประติมากรรม วิดีโอ งาน collage งานกราฟิก สถาปัตยกรรมบ้างและคลิปเสียงบ้าง แม้แต่บนถุงกระดาษ งานของเธอโดดเด่นมากขึ้น เมื่อเธอพูดถึงปัญหาระดับโลก เธอพูดปัญหาพลังงานและเหตุการณ์ปัจจุบัน งานของเธอจัดอยู่ในช่วง post modern feminism เธอบอกว่าวิธีนี้มันบอกได้ว่าเราใช่ หรือไม่ใช่ใคร รูปและคำเป็นที่รวมของความจริงและความลวงที่จะทำให้คนขาดสติ หลงทาง
ก่อนจะมีโปรแกรมจัดหน้าหนังสือด้วยคอมพิวเตอร์ งานปะติดที่เราเรียกกันว่า Paste ups สร้างศิลปินมาแล้วมากมาย คนทำอาร์ตเวิร์กหนังสือแต่ละหน้าคงรู้ดี ใครเคยนั่งตัดม้วนกระดาษและแก้คำผิดด้วยปลายคัทเตอร์แปะกาวยางคงรู้ดี
จากวัยเด็กที่เธอเขียนและอ่านบทกวี ทำกราฟิกนิตยสารในช่วงวัยรุ่น และทำงานด้วยแนวคิด feminism ในรูปแบบนามธรรมอยู่สักพัก เธอเริ่มรู้สึกว่างานมันไร้ความหมาย การอ่านหนังสือ the work of art in the age of mechanic al reproduction และอีกหลายเล่มของ นักปรัชญาชาวเยอรมัน Walter Benjamin (เด็กอาร์ตมหาวิทยาลัยบ้านเราคุ้นเคยกันดี) ทำให้เธอเริ่มมาทำถ่ายภาพกับสถาปัตยกรรม ในตอนแรกๆ มาอยู่นิวยอร์ก ในช่วงอเมริกาคือเมกกะของศิลปินทั่วโลก ช่วงนี้ศิลปินหญิงยังไม่เป็นที่ยอมรับ แต่สุดท้ายเธอก็ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนศิลปะสาธารณะให้ได้ทำงานทดลองหลายสไตล์อย่างที่เห็น จนมาโดดเด่นถึงวันนี้
Jenny holzer เจ้าของข้อความ Protect me from what I want ที่อยู่ในรูปชุดข้อความบนจอแอลซีดี เธอโดดเด่นทั้งแนวทางและการทำงานไม่น้อยไปกว่า Barbara Kruger ข้อความ Protect me from what I want ทำให้วงดนตรี Placebo นำไปเป็นชื่อเพลง
งานชุดข้อความไม่ต้องการทักษะเฉพาะทาง ศิลปินใช้ AI เข้ามาจัดการกระทำที่ซ้ำซากจำเจได้ แต่ทักษะทางการคิดและวิสัยทัศน์ต้องเกิดในตัวมนุษย์เอง ที่จะท้าทาย กระตุ้นให้มนุษย์ไตร่ตรองกับสิ่งแวดล้อมกับข้อเท็จริงของชีวิต แม้ถ้อยคำอาจไม่สามารถอฺธิบายได้ละเอียดทั้งหมดก็ตาม
วิวาทะปรากฏการณ์แอป loopsie ที่สถาบันศิลปะไทยพยายามให้เหตุผลอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วจะมีเรื่องใหม่ๆ ตามมาอีกอย่างไม่น่าแปลกใจ
โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เขาเลิกคุยกันแล้ว อะไรเป็นศิลปะ อะไรคือโฆษณาชวนเชื่อ และอะไรคือเครื่องมือปลุกระดม
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คิดอะไรเชื่ออะไร สมาทานสิ่งใดไว้ ก็ทำไป
เพราะอีกไม่นาน เราจะไม่ถูกพบและได้ยิน.
เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม
เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด (เติบโตที่อุบลราชธานี) จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’