ใครที่เคยอ่านบทกวีของ ปาโปล เนรูดา (Pablo Neruda) คงรู้จักประโยคนี้เป็นอย่างดี “ความรักนั้นสั้น การลืมช่างยาวนาน” กับบางประโยคที่แสนจะธรรมดา แต่ดึงดูดความเข้าใจของคน “คืนนี้ฉันสามารถเขียนบรรทัดที่เศร้าที่สุดได้” นี่คือประโยคที่โด่งดังของกวีแห่งศตวรรษที่ 20 คนนี้
ปาโปล เนรูดา มีชื่อเสียงจากบทกวีรักยี่สิบบทและเพลงแห่งความสิ้นหวัง (Twenty Love Poems and a Song of Despair) เรื่องพื้นๆ ที่สร้างความรู้สึกทันที มนุษย์ปกติทั่วไปที่เคยติดหล่มความโดดเดี่ยวและความเหงาเศร้าคงจดจำอาการเหนือจริงนี้ได้
เนรูดาหลงใหลสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียบง่ายที่สุด เรื่องเล็กๆ ของมะเขือเทศ เรื่องคนไม่กินน้ำเย็น หรือแม้แต่เรื่องราวของปลาทูหน้างอ เรื่องละเอียดแบบนี้มีให้เห็นในผลงานส่วนใหญ่ของเขา ประสบการณ์อื่นๆ ระหว่างการทำงานที่พม่า ที่สเปน อาร์เจนตินา ฝรั่งเศสและเม็กซิโก ในฐานะกงสุลกิตติมศักดิ์ คือที่มาของเนื้อหาในบทกวี
ตอนอยู่อาร์เจนตินา เขาได้พบกับเพื่อนกวีที่ผลักดันให้เขาหันมาสนับสนุนประเด็นการเมืองฝ่ายนิยมสาธารณรัฐอย่างจริงจัง ในระหว่างสงครามกลางเมืองของสเปน กลุ่มนิยมสาธารณรัฐรบกับกลุ่มชาตินิยม เพื่อนสนิทของเขาชื่อ Garcia lorca เป็นฝ่ายแพ้ถูกกลุ่มชาตินิยมประหารชีวิต ความเห็นต่างทางการเมืองของเนรูดาที่นิยมสาธารณรัฐในขณะนั้นทำให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งกงสุลในกรุงแมดริด สองเรื่องช้ำๆ ทำให้เขาเขียนบทกวี Espana en el corozon เพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและสะท้อนความขัดแย้งที่เป็นอยู่ในสังคม เนื้อหาจากบทกวีชุดนี้ จะเป็นคำอธิบายงานชิ้นอื่นๆ ของเขาในเวลาต่อมา
โลกต้องการเชื่อมต่อในชีวิตจริง ไม่มีมนุษย์ใดปรารถนาจะครอบครองความอ้างว้างไว้ในใจชั่วชีวิต อย่าว่าแต่ยามค่ำคืนเลย กลางแดดจัดจ้า คนที่เคยผ่านความวังเวงเช่นนี้ จะรู้ดีว่าแดดร้อนแรงนั้นมันเย็นชาต่อเขาอย่างไร ประสบการณ์ร่วมทางวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น น่าจะเป็นรายละเอียดหนึ่งที่คนในพื้นที่เคยเห็นเคยเป็น อาจจะเรียกว่ามีประสบการณ์ร่วมในสภาวะบวกและลบอย่างนั้น คงเข้าใจและอยากให้ความเป็นไปในขณะนั้น เคลื่อนไหวไปในทิศทางสว่างสร้างสรรค์ ในคืนเดือนมืดอับแสง เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า ใครๆ ก็คงอยากเห็นแสงดาวพราวพรายสุกใส ในชีวิตจริงมนุษย์เราเชื่อมโยงกันได้ด้วยบทกวี
Ricardo Eliécer Neftali Reyes Bsoalto ชายหนุ่มลูกพนักงานรถไฟ ทิ้งบ้านเกิดเข้ามาเรียนภาษาฝรั่งเศสในเมืองหลวง เพราะมุ่งมั่นอยากเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศส ระหว่างเรียนภาษาในเมืองหลวง เขาใช้ชีวิตแบบโบฮีเมียนที่ไม่ยึดถือขนบธรรมเนียมใดๆ อย่างเคร่งครัด เขาได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากครู Gabriela Mistral (กาเบรียลเป็นนักเขียนลาตินอเมริกาคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม) เนรูดาเริ่มเขียนบทกวีจากคำแนะนำของครูโดยพ่อเขาไม่เคยเห็นดีเห็นงามด้วยเลย อาจเป็นด้วยเหตุผลนี้ก็ได้ ที่ทำให้เขาใช้นามแฝงว่า Pablo Neruda บทกวีเล่มแรกของเขา คือ Crepsolidio จากบทกวีรวมเล่มชุดนี้เอง ทำให้เนรูดาเป็นที่ยอมรับในฐานะกวีเมื่อเขามีอายุเพียง 13 ปี
Crepsolidio เป็นงานกวีที่สง่างาม เขาเขียนในเชิงสัญลักษณ์แบบประเพณีนิยม เขียนจากแรงขับที่รักรันทดหมดหวัง แต่หนังสือรวมบทกวีของเขากลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ความเห็นของนักวิจารณ์บางคนมองว่างานเขียนของเขาหนักแน่น ฉุนเฉียว ตรงไปตรงมา มีไหวพริบ ไม่ใช้ภาพที่โจ่งแจ้งบรรยายกายภาพของหญิงสาว และคำอุปมาอุปไมยเป็นแบบฉบับของเขาเอง เนื้อหาแสดงถึงความรักที่อ่อนต่อโลกอย่างหลงใหลและเป็นทุกข์ เขาบรรยายความทรงจำของความรักผสมผสานกับความแห้งแล้งทางตอนใต้ของบ้านเกิด บทกวีของเนรูดาไม่ใช่แค่บรรยายความสัมพันธ์ทางกายภาพ แต่มันกระตุ้นความรู้สึกของการถูกแทนที่ การด้อยค่า รูปแบบการเขียนเปรียบเทียบ เขายกระดับให้เห็นว่าคนรักของเขาคือพลังที่แท้จริงของจักรวาล
เขาได้พิมพ์หนังสือเล่มที่สองในขณะอายุ 20 ปี ความโดดเด่นด้านงานกวีทำให้เขาเลิกเรียนภาษาฝรั่งเศส หันมาเขียนบทกวีอย่างจริงจัง และได้พิมพ์หนังสืออีกสามเล่มในเวลาต่อมา
งานช่วงหลังที่เขามุ่งมั่นสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ นักวิจารณ์แสดงความเห็นว่า มันยากที่จะแยกเขาออกจากการเมือง แบบแผนในการเขียนของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งเนื้อหาและโครงสร้าง ดูจากข้อความที่เขาเขียนว่า “เมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นการกระทำของมนุษย์ที่มีความรับผิดชอบและมีรากฐานมาจากความต้องการของมนุษย์ เราจะแยกมันออกจากบริบททางประวัติศาสตร์และการเมืองไม่ได้” งานเขียนที่เกิดขึ้นแล้วยิ่งใหญ่ทันทีไม่มีอยู่จริง ใครๆ ก็เขียนได้โดยเมินเฉยต่อปัญหาสังคมการเมืองเป็นเพียงท่าทางโรแมนติกเท่านั้น ทัศนคติใหม่ของเนรูดานำทางตัวเขาไปสู่ทิศทางใหม่ ทั้งร้อยแก้วและบทกวีจึงมีเนื้อหาสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างแข็งขันแทนการบรรยายความรู้สึกรักใคร่ของเขาเหมือนผลงานในช่วงแรก
รัฐบาลชิลีส่งออกกวีไปเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ ไม่มีเงินเดือน อยู่เมืองใหญ่เขียนบทกวี ชีวิตประจำวันคงไม่สะดวกสบายนัก อยู่ตามฐานานุรูปของศิลปินที่พึงมีพึงเป็น จากย่างกุ้งเขาย้ายไปอยู่โคลัมโบ ไปศรีลังกาและอีกหลายที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Pablo Neruda เป็นกวีด้วยพรสวรรค์หรือด้วยประเพณีของชาวลาตินอเมริกาที่ส่งเสริมศิลปิน เนรูดาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคการเมืองรีพับลิกันด้วยการเขียนบทกวี Espana en el corozon (บทกวีที่ทำให้เขาถูกถอดจากตำแหน่งกงสุลที่สเปน) กวีคอมมิวนิสต์หัวรุนแรง เขาเข้าร่วมประชุมทัศนคติของปัญญาชนต่อสงครามกลางเมืองในสเปนร่วมกับ André Malraux, (อองเดร มาลโรห์ นักเขียนคนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส) Ernest Hemingway นักเขียนนิยายและเรื่องสั้นชาวอเมริกา เคยประชุมร่วมกับ Stephen Spender กวีชาวอังกฤษ
เนรูดาจัดหาวีซ่าเข้าชิลีให้กับจิตรกรเม็กซิกัน David Alfraro siqueiros ซิเกรอส ลี้ภัยมาอาศัยที่บ้านพักของเขาในชิลี ด้วยข้อหาที่ siqueiros สมรู้ร่วมคิดในการลอบสังหาร ลีออน ทรอสกี้ ( นักปฏิวัติผู้นำคนแรกของกองทัพแดงโซเวียต ที่ถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ ถูกเนรเทศจากสหภาพโซเวียตและถูกลอบสังหารตามคำสั่งของสตาลินในที่สุด เขาเสียชีวิตที่เม็กซิโกโดยเจ้าหน้าที่โซเวียตเอง) เพ้นท์เตอร์ซิเกรอส จิตรกรแนวสัจนิยมที่โด่งดังของเม็กซิกันตอบแทนเนรูดาด้วยการวาดภาพให้โรงเรียนแห่งหนึ่งใน chilian ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถูกวิจารณ์อย่างหนัก ในประเด็นว่าเขาช่วยเหลือมือสังหาร แต่เนรูดาไม่สนใจ
ระหว่างการเดินทางไปเปรู เนรูดาแวะขึ้นไปมาชูปิชู เมืองอินคาโบราณ เขาเห็นเศษซากเมืองอินคาแล้วกลับมาเขียน Alturas de Macchu picchu บทกวีขนาดยาว งานนี้แสดงให้เห็นว่าเขาสนใจอารยธรรมเก่าแก่ของอเมริกาใต้ เขาทึ่งสิ่งมหัศจรรย์มาชูปิชู แต่เวลาเดียวกันเขาก็ประณามความเป็นทาส การใช้แรงงานทาส เขาเขียนกวีราวกับให้ทาสที่ตายจากไปแล้ว ลุกขึ้นมาพูดผ่านปากเขา ศาสตราจารย์และกวีของมหาลัยแมสซาชูเซตส์ในอเมริกายกย่องให้ Alturas de Macchu picchu เป็นบทกวีการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของโลก
ประเพณีให้เกียรติศิลปินของหลายประเทศในอเมริกาใต้ คือการเพิ่มต้นทุนสร้างสีสัน เนรูดาได้สร้างชีวิตอิสระและบทกวีที่ยังส่งผลต่อกวีรุ่นหลังและศิลปะแขนงอื่นอีกไม่น้อยเช่น taylor swift นักร้องแต่งเพลงนักร้องชาวอเมริกันในอัลบั้ม Red เทย์เลอร์ สวิฟท์ นำประโยค ความรักนั้นสั้นการลืมช่างยาวนานเป็นท่อนหนึ่งของเนื้อเพลง
Samuel Barber นักเปียโนชาวอเมริกันนำบทกวีไปใช้ในเพลง the lover ของเขารวมทั้งศิลปินอื่นๆ อีกหลายเชื้อชาติทั้งกรีก ออสเตรีย ดัชต์ เม็กซิกัน ทำงานออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน
ประชาชนทั่วไปรู้จักเนรูดาในฐานะกวีของประชาชน ชาวชิลีกลุ่มหนึ่งนำบทกวีรักยี่สิบบทและบทเพลงแห่งความสิ้นหวังมาใช้เป็นข้อความประท้วง ข้อความเรียกร้องในวันสตรีสากลที่ซานติเอโก นักร้อง นักดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ นำงานของเขามาตีความใหม่ เช่นบทกวีตายอย่างช้าๆ ที่เขาเขียนแนวคิดไว้ว่าถ้าติดอยู่ใน comfort Zone ก็ไม่เติบโต คนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้จะตายอย่างช้าๆ
เขาเขียนว่ามนุษย์เรามีชีวิตอยู่เพียงแค่ครั้งเดียว
ภาพรวมผลงานที่หลากหลายของเขาในยุคแรกคือชีวิตรักที่โศกเศร้าเย้ายวนอันเป็นฝันร้าย ต่อมาเป็นความหดหู่ในสิ่งที่พบเจอระหว่างการเป็นกงสุลในประเทศแถบเอเชีย เปลี่ยนมาเป็นความมุ่งมั่นต่อเหตุการณ์บ้านเมืองแล้วหันกลับมาสนใจรายละเอียดในชีวิตประจำวันในช่วงท้ายปลายชีวิต
เดินออกจากบ้าน la chascona ที่ซานติเอโก ต้องเดินขึ้นเนินสูงๆ ต่ำๆ ไปตามเชิงเขา Cerro San Cristobal ไปดูหนังสือที่เขาอ่าน ดูรูปวาดที่เขาสะสม บ้านที่วันนี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ Museo Casa La Chascona ให้คนทั่วไปเดินเข้าไปดูได้
นอกจากบทกวีที่มีพลังกระตุกกระตุ้นให้มนุษย์ทบทวน ตั้งคำถามการกระทำทั้งหลายแล้ว จะลืมเสียงสำนึกจากบททบทวนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ความรู้สึกที่ยังเชื่อมต่อติดตัวมาคือภาพจำรสนิยมด้านศิลปะของชาวชิลี และประเพณีของลาตินอเมริกา มากกว่าจำภาพรางวัล Noble Prize ของเขา.
เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม
เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด (เติบโตที่อุบลราชธานี) จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’