น่าแปลกที่ทุกวันนี้ไม่ค่อยอยากดูหนัง
ทั้งที่มีหนังหลักร้อยเรื่องอยู่ตรงหน้า แต่กลับขี้เกียจลุ้นว่าจะสนุกหรือเปล่า คุ้มเวลาไหม
เริ่มเลือกกินน้อยลง ไม่ค่อยอยากออกไปข้างนอกในวันหยุด ชีวิตที่สงบของผมคือการได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นมากี่โมงก็ได้ ไม่ต้องคิดว่าวันนี้ต้องไปทำอะไรตอนกี่โมง
หรือเราจะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ความหมายแห่งช่วงวัยอันลึกซึ้งนี้ขยับเข้าใกล้ตัวตนของเราเข้ามาในทุกลมหายใจ
ในช่วงวัยที่กำลังจะจบการศึกษา เหลืออีกหนึ่งปีที่ต้องถูๆ ไถๆ ให้เรียนจบ ผมได้นั่งทบทวนว่าตลอด 20 ปี 11 เดือนที่ผ่านมาผมหมดศรัทธาในสิ่งใด หรือคำพูดใดไปบ้าง
- ความยุติธรรม
- บาป กรรม
- การศึกษา
- สื่อกระแสหลัก
- ความเข้าใจจากผู้คน
- “คนดีไม่มีวันตาย”
นี่เป็นเพียงสิ่งที่คิดออกในเสี้ยววินาที
ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ทุกอย่างในสังคมดำเนินไปอย่างไม่น่าอภิรมย์มากขึ้น ข้าวของแพง สาธารณะทรัพย์สินค่อยๆ ทรุดโทรม อากาศเป็นพิษ โรคระบาด ช่างทำให้น่าหมดความหวัง ความรับผิดชอบส่วนหนึ่งผมโทษผู้ใหญ่
เราจะกลายเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเกลียดตอนเด็กไหม ?
อันนี้ผมคงจะพยายามไม่เป็น
แต่เด็กในอนาคตจะเกลียดผู้ใหญ่แบบเราไหม ?
เราจะกลายเป็นผู้ใหญ่ดื้อด้าน น่ารำคาญ ถ่วงความเจริญ แบบที่เราเคยมองไหม ?
อันนี้คงพูดยาก เพราะทัศนคติที่เราคิดว่าก้าวหน้าวันหนึ่งมันก็จะเป็นของโบราณ
สิ่งที่มีประโยชน์ก็อาจกลายเป็นยาพิษได้ ไม่มีใครรู้
ฤดูฝนกำลังคืบคลานเข้ามา คนทำงานเริ่มเดินทางใช้ชีวิตกันลำบาก อากาศร้อนก็ยังไม่หมดไป กับเรื่องประจำวันที่น่าเบื่อหน่ายต้องทำตามระบบ ผมเริ่มปลงกับปัญหาในระดับมหาลัยเพราะสุดท้ายทุกคนไม่ได้มองมันเป็นปัญหาเหมือนเรา เราสู้ไปก็ไม่ได้มีประโยชน์กับใคร แล้วจะมองว่าเป็นการยอมแพ้ก็คงได้ ผมเริ่มเข้าใจคนรุ่นก่อนที่คิดเหมือนกันแล้วละ ไม่ใช่เพราะเขาไม่พยายาม แต่กำลังของคนคนเดียว ไม่ว่าจะ ‘เยาวชน’ หรือ ‘ผู้ใหญ่’ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถ้ายังอยู่ในประเทศที่แสนจะลืมง่าย
‘ลืม’ แม้กระทั่งข่าวสารน่าสลดใจรายวัน
‘ลืม’ สิทธิที่ตัวเองพึงมี หรือบางคนอาจไม่เคยรู้
‘ลืม’ สิทธิของคนอื่นที่ตนควรเคารพ
‘ลืม’ ที่จะเลือกใช้คำพูด
‘ลืม’ ที่จะดูแลโลก
‘ลืม’ ชีวิตของจริง ไม่ใช่ในหน้าจอ
ผมคงไม่อาจพูดว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้อง คนอื่นควรคิดตาม บทความนี้คงเป็นบันทึกความรู้สึกช่วงหนึ่ง บันทึกหนึ่งที่ผมคิดได้หลังจากลองฝึกนั่งสมาธิมาสองสามวัน
สำหรับบางคน คงคิดว่าคนเขียนโคตรงอแง
ก็ไม่ว่ากัน
ผมเริ่มไม่เครียด ความเครียดกลายเป็นความปลง เป็นการมองดูอย่างสิ้นยินดี มันอาจมีความรู้สึกในนั้น แต่ผมยังคิดชื่อเรียกมันไม่ออก
โลกนี้ดำเนินไปไม่ใช่เพื่อเรา หรือเพราะเราคนเดียว
แต่ปัจจัยเดียวที่เราสามารถปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงได้คือ ‘ตัวเรา’ ทั้งในแง่จิตใจและร่างกาย
ใช่, ตัวเรายังคงตอบสนองต่อสิ่งเร้า สิ่งต่างๆ รอบตัวก็มีผลต่อตัวเราในทุกๆ ด้าน เราอาจจะต้านมันไม่ได้ แต่เรารู้เท่าทันมันได้ว่าสิ่งใดทำให้เรายุ่งเหยิง, สิ่งใดทำให้สงบ, สิ่งใดที่มีความหมาย ที่สำคัญ เส้นทางที่เราอยากเดินคือทางไหน
ถ้ามันไม่เป็นตามแผนภาพในหัวได้ เราจะปรับยังไงให้ชีวิตยังพอจะน่าอภิรมย์บ้าง
ในวันที่พร้อมกว่านี้ผมคงแสวงหาตัวตนของเด็กคนนั้นมากขึ้น ตัวตนในวัยเด็กที่โดนขโมยและทำลายจากสังคมสิ่งแวดล้อมรอบข้างมาตลอดหลายปี
ตัวตนที่มี ‘ความรัก’ มากกว่าความเกลียดชัง หรือหวาดระแวง
ยังดีที่เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่รางๆ ในดนตรีและศิลปะ.
เรื่องโดย Passakorn
เกี่ยวกับผู้เขียน : ‘วินเนอร์’ พัสกร สหชัยรุ่งเรือง นักศึกษาปี 3 คณะดุริยางค์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กำลังสนุกกับการเล่นดนตรีและเขียนเพลง (เดี่ยวและแบนด์) ทดลองฟังผลงานเขาได้ที่เพจ Passakorn