the letter
the letter

ไปเมืองหลวง (เปราะบางอย่างยั้วเยี้ย)

พี่หนึ่งครับ

 

สิ่งที่สะกิดใจผมทำให้นึกถึงคือกลุ่มหนูที่วิ่งผ่านหน้าไปตอนที่กำลังเดินจากสถานีรถไฟไปยังที่พัก พวกมันน่าจะมาหากินเศษอาหารในยามที่แสงมืดลง ย่านที่ผมไปขออาศัยพักค้างคืนนั้นคือย่านเทนสตา (Tensta) พี่เจ้าของบ้านเขาเรียกว่าเป็นย่าน ‘สลัม’ ของสวีเดน

สลัมในที่นี้หมายความว่าอย่างไร คนสวีเดนเขาเรียกย่านเหล่านี้ว่าเป็นย่าน ‘เปราะบาง’ (เขามีรายชื่อที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศทุกปี) เขตเหล่านี้มีชาวต่างชาติอยู่อาศัยกันแออัดหนาแน่น และมักจะเป็นแฟลตการเคหะใหญ่สูงหลายชั้นเรียงกันหลายๆ ตึก นับรวมกันในปีนี้ก็มีย่านที่ว่านี้อยู่ประมาณ 60 แห่ง

ถามว่าเขตเปราะบางเหล่านี้ เปราะบางเรื่องอะไร ฝ่ายพวกคลั่งชาติ เหยียดต่างชาติเขาก็จะบอกว่าเนื่องจากเป็นที่ที่คนต่างชาติอยู่เยอะ จึงเปราะบางจากการมีอัตราอาชญากรรมที่สูง และเป็นความเปราะบางเนื่องจากนโยบายการบูรณาการให้คนต่างชาติเข้ามาอยู่ในสังคมนั้นล้มเหลว

ผู้ที่อยู่กลางๆ ทางการเมืองก็จะมองว่าความเปราะบางหมายถึงชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในเขตเหล่านี้นั่นเอง เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำ จึงทำให้อยู่กันอย่างแออัด ห้องสำหรับสองคน ก็อยู่แออัดกันสองสามครอบครัว เป็นสิบคน ฯลฯ

เมื่อโควิดระบาดปีก่อน ก็เป็นคนจากย่านเหล่านี้ ที่ตัวเลขติดโควิดเพิ่มสูง เพราะเขาไม่รู้จะเว้นระยะห่างอย่างไร ไม่ได้มีทางเลือกเหมือนพวกย่านคนชั้นกลาง ไม่ต้องนับคนรวย

อันที่จริงแล้วแฟลตการเคหะซึ่งเป็นบุคคลิกของเขตเปราะบางเหล่านี้ มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองอยู่ครับพี่

 

the letter

 

ช่วง 10 ปี ระหว่างปี 1965 ถึง 1974 รัฐบาลพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยของสวีเดนผลักดันนโยบายสร้างแฟลตและบ้านรวมกันให้ได้หนึ่งล้านห้อง/หลัง โดยมุ่งให้เป็นบ้านที่ราคาย่อมเยา แต่จะต้องมีมาตรฐานที่จะอยู่ได้อย่างสบายเท่าที่มนุษย์ควรจะมีได้ เช่นห้องหับไม่แคบจนเกินไป คำนวนตามหลักสรีระของมนุษย์ มีการจัดแปลนบ้านให้มีห้องเป็นสัดส่วน มีครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องซักผ้าส่วนรวม สวนหย่อม ที่จอดรถ ล้างรถ ห้องเก็บของ ฯลฯ

ความมุ่งหมายนี่คือต้องการสร้างบ้านให้กับแรงงานและครอบครัวที่เข้ามาอยู่ในเมือง ที่กำลังกลายเป็นเมืองและเป็นอุตสาหกรรม และคนเหล่านี้ถือเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจของประเทศ

นโยบายนี้ ถือว่าเป็นนโยบายที่ถึงราดิคัลอย่างมาก เพราะรัฐบาลทุ่มเงินมหาศาลเพื่อสร้างห้องพักเหล่านี้ เป็นการลงทุนที่ถ้าใจไม่ถึงไม่มีใครเขาทำกัน รัฐจะทุ่มเงินลงไปทำไม ปล่อยให้เอกชนทำไม่ดีกว่าหรือ แล้วตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้ธุรกิจก่อสร้างทำการค้าได้สะดวกแทน แต่นี่ไม่ รัฐเข้ามาทำเองเลย ทุ่มเอาคน แรงงาน ทรัพยากร เงิน ลงไปในการสร้างที่พักอาศัยให้พลเมืองผู้เสียภาษี รัฐแบบนี้เป็นรัฐที่คนที่เกิดในยุคกำแพงเบอร์ลินกำลังพังลงอย่างผมนั้นนึกไม่ออกเลยครับ

แฟลตการเคหะเหล่านี้วางอยู่บนความคิดเรื่องประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ไม่ต้องมีลวดลายวิลิศมาหรา ไม่ต้องมีช่อฟ้าใบระกา เพราะเงินที่เอามาสร้างบ้านเหล่านี้มาจากเงินภาษีของประชาชนที่อยู่บนดิน ทำมาหากินด้วยมือ ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน

เวลาผ่านไปหลายสิบปี รัฐก็เปลี่ยนหน้าที่กลายเป็น “ยามเฝ้าเวลากลางคืน” แทน คือทำหน้าที่แต่การรักษาความสงบเรียบร้อยทางชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อนั้น แฟลตการเคหะเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปเป็นย่านที่ผู้อพยพย้ายถิ่น ผู้มีรายได้น้อยมาอยู่รวมกัน เปลี่ยนกลายเป็นแหล่งแออัด และตามมาซึ่งปัญหาของอาชญากรรม ยาเสพติด ความรุนแรง เป็นย่านที่คนขาวสวีเดนชั้นกลางไม่ค่อยถวิลหานัก

คิดดูแล้วก็แปลกดีเหมือนกันนะครับพี่ จากที่เคยเป็นความใฝ่ฝัน เป็นอุดมคติของสังคมที่ต้องการสร้างความเท่าเทียมกันในเรื่องที่พักอาศัย ผ่านไปไม่กี่สิบปี ฝันเหล่านั้นก็ดูจะต้องตื่นมาพบกับความเป็นจริงที่ว่า ระเบียบเศรษฐกิจมันไม่ได้รองรับคนทุกคนได้แต่อย่างใด ความเป็นจริงที่ว่าคนมีเงินมากกว่า ย่อมจะมีชีวิตที่ดีกว่านั้นเป็นความจริงที่โบยตีทุกคนในสวีเดน ไม่เว้นแม้แต่นักอุดมคติพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยยุคใดสมัยใดก็ตาม

แฟลตเคหะเหล่านี้จึงแทบจะเป็นเหมือนอนุสาวรีย์ของยุคสมัยแห่งความใฝ่ฝัน ตั้งตระหง่านผ่านความหนาวเหน็บและแดดแสบร้อน ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา และแสนจะเหมาะสมที่เหล่าหนูจะเข้ามาหาอาหารและวิ่งผ่านหน้าผมไปในเย็นวันนั้น

หนูเหล่านี้เป็นดังสิ่งมีชีวิตที่ผู้คนผู้อาศัยอยู่ย่านคนร่ำรวยไม่ต้องการจะเห็น เพราะมันเป็นตัวแทนของความสกปรก ของเชื้อโรค ที่จะทำให้สุขอนามัยของตนและสังคมนั้นเสื่อมทรามลง การที่หนูเหล่านี้วิ่งอยู่ตามแหล่งสลัมนั้นถูกต้องแล้ว เพราะนี่เป็นที่ของพวกมัน หากพวกมันไปปรากฏกายอยู่ที่ใดที่ไม่เหมาะสม พวกมันจะถูกปราบ ถูกดัก ถูกสังหาร หรือถูกอัปเปหิออกไปร่างกายทางการเมืองที่ชนชั้นผู้กุมอำนาจต้องการให้ปราศจากพาหะนำเชื้ออันน่าสกปรกยั้วเยี้ยเหล่านี้

ยั้วเยี้ย – ใช่พี่ พจนานุกรมของราชบัณฑิตเขาแปล ว่า “ว. อาการที่คนหรือสัตว์จำนวนมากเคลื่อนไหวขวักไขว่ไปมา เช่น ลูกเต้ายั้วเยี้ยไปหมด หนอนไต่กันยั้วเยี้ย ฝูงลิงไต่ยั้วเยี้ยอยู่บนยอดไม้”

พวกหนูที่วิ่งกันยั้วเยี้ย เป็นความจริงที่โบยตีเหล่าผู้ต้องการรักษาอินทรีย์ในอุดมคติเอาไว้ ว่าในร่างกายทุกร่างกาย ย่อมจะประกอบไปด้วยสิ่งต่อต้านมันเองโดยเสมอไป – มิพักต้องพูดถึงแบคทีเรียและไวรัส ที่สองสามปีมานี้เราคุ้นเคยกับมันอย่างยิ่ง

ผู้ที่สมาทานอุดมการณ์ว่าด้วยอินทรีย์อันเป็นอุดมคติเช่นนี้ ไม่ต้องการจะรับรู้ว่า ในร่างกายๆ หนึ่ง มีสิ่งทำร้ายทำลายตัวมันเองเสมอ ผู้ที่อยู่ในคฤหาสน์สุดหรู หรือคอนโดเพนท์เฮาส์ ย่อมไม่ต้องการจะรับรู้ว่าถัดไปจากกันไม่ไกลนัก มีชุมชนแออัด มีสลัม ที่ประชากรของชุมชนเหล่านี้ก็เป็นผู้รับใช้ เป็นผู้เข้ามาทำให้ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปได้อย่างปกติสุขนั่นเอง

พวกเขาไม่ต้องการรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่า อินทรีย์อุดมคติที่แท้จริงแล้ว ย่อมประกอบไปด้วยส่วนที่มุ่งทำลายมันเสมอ นี่เป็นข้อเท็จจจริงตามธรรมชาติ ที่พวกเขาไม่อยากจะเปิดตาเห็นชีวิตอันแร้นแค้น เปิดหูรับฟังเสียงก่นด่าหยาบคาย เปิดจมูกสูดดมกลิ่นขยะหรืออาหารเน่าเปื่อยกองสุม

 

the letter

 

ผมมาเมืองหลวงครั้งนี้เพื่อร่วมการพบปะ วาระ 45 ปี 6 ตุลาฯ ซึ่งจัดร่วมกันโดยคนไทยที่อาศัยในสวีเดน จัดกันไปเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา

เสียงต่างๆ ที่ผมได้ยินในคืนวันนั้นก็คือเสียงของผู้ลี้ภัยทางการเมือง นักต่อสู้ทางการเมือง นักสหภาพแรงงาน พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ฯลฯ ซึ่งเรามารวมตัวกันยั้วเยี้ย เตรียมตัวงานอย่างยั้วเยี้ย ถกเถียงกันอย่างยั้วเยี้ย กินและดื่มกันอย่างยั้วเยี้ย หัวเราะและโกรธขึ้งกันอย่างยั้วเยี้ย ประกาศความใฝ่ฝันและอุดมคติกันยั้วเยี้ยไปหมด

บนเวที ผู้ที่ไม่เป็นที่ต้องการในอินทรีย์การเมืองอุดมคติไทย ประกาศถึงประสบการณ์ อ.จรัล ดิษฐาอภิชัย เล่าถึงประสบการณ์การเคลื่อนไหวทั้งในฐานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและหลังจากนั้น จิตรา คชเดช เล่าถึงบทบาทสำคัญของสหภาพแรงงาน ซึ่งจะขาดไปไม่ได้ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางประชาธิปไตย และ ชนกนันท์ รวมทรัพย์ เล่าถึงประสบการณ์การเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศเกาหลีใต้

หลังเลิกงาน เรามารวมตัวพูดคุยกัน กินอาหารร่วมกัน และร้องเพลง ‘แสงดาวแห่งศรัทธา’ กันอย่างยั้วเยี้ย.

 

 

nandialogue

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : ปรีดี หงษ์สต้น นักเขียน นักแปล นักวิชาการ ย้ายไปอยู่ประเทศสวีเดน เลี้ยงลูกไปพร้อมๆ กับสังเกตสังกาชีวิตที่เคลื่อนย้ายผ่านเวลาสถานที่ ภายใต้ระเบียบเสรีนิยมประชาธิปไตย

You may also like...