the letter

บนเครื่องบินโลว์คอสต์

พี่หนึ่งครับ

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขณะกำลังเดินทางอยู่บนเส้นทางจากสนามบิน Arlanda ไป Istanbul ครับ สองวันที่ผ่านมาหิมะตกหนาทั่วเมือง Uppsala พร้อมๆ กับช่วงเวลาเทศกาล ทุกอย่างเงียบลง สุ้มเสียงต่างต่ำลงกลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ผู้คนเข้าไปอยู่ในตัวอาคาร หรือไม่ก็เดินทางไปพบญาติมิตรต่างเมือง หรือในที่ต่างๆ ของยุโรปคริสต์

ผมออกไปเดินออกกำลังกายข้างนอก ก็รู้ว่ารองเท้าวิ่งคู่ปกติที่ใช้นั้นมันไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะมันไม่ได้มีชั้นกันความเย็นมากพอ เดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกชาที่ปลายนิ้วเท้า ตอนนั้นมีทางเลือกเพียงแค่สองทาง คือหันหลังเดินกลับ หรือเดินให้เร็วขึ้นให้ร่างกายสร้างความอบอุ่นขึ้นมา

ผมซอยเท้าถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดปลายนิ้วเท้าก็ไม่ชาอีกแล้ว พร้อมกับแสงแดดที่สาดลงมาทาบสะท้อนหิมะหนา และความเงียบทั้งหลายทั้งหมดที่รายล้อมผมเอาไว้ เหล่าต้นสนทั้งหลายก็ยืนชะลูด กิ่งก้านสีมืดปกด้วยหิมะขาว และคงยืนเช่นนั้นต่อไปอีกหลายต่อหลายปี อย่างที่ได้ยืนมาแล้ว

 ไม่นานนักผมก็รู้ว่า อันที่จริงผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฝ่าเข้าไปเพื่อทะลุออกอีกข้างหนึ่ง

แต่เช้าก่อนผมออกเดินทางวันนี้ หิมะก็เริ่มละลายลงเสียแล้ว บริเวณไหนที่เคยมีปกคลุมหนาก็จางลง กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งบางๆ ซึ่งลื่นมากและทำให้รู้ว่ารองเท้าผ้าใบที่มีนั้นไม่เหมาะกับพื้นผิวแบบนี้เอาเสียเลย หนทางที่ดีที่สุดก็คือค่อยๆ เดินไปช้าๆ ผมจะเห็นน้ำที่มาจากหิมะละลาย รวมกันไหลลงท่อ มันมีลายระลอกขวางๆ และจะยิ่งชัดเจนก่อนมันจะไหลเข้าไปในท่อ หายเข้าไปในความมืด

ฤดูเทศกาลเป็นช่วงที่ต้องวางแผนการเดินทางสักนิดนึงครับเพราะว่ารถประจำทางต่างๆ ไม่ว่าจะรถเมล์ รถไฟ ต่างก็จะมีตารางเดินรถที่น้อยลง ถ้าพลาดไปขบวนหนึ่ง ก็มีหวังจะต้องรออีกเป็นครึ่งชั่วโมงท่ามกลางอุณหภูมิที่ติดลบ ไม่สนุกเลย แล้วยิ่งจะไปสนามบินด้วยนี่ยิ่งเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้

อาจเป็นเพราะเป็นสายการบินโลว์คอสต์ หรือเป็นที่เที่ยวบินระยะสั้นก็ได้  เขาก็จะไม่มีเครื่องอำนวยความบันเทิงใดๆ ไม่มีหน้าจอ ไม่มีไวไฟ ไม่มีบอกว่าถึงไหนแล้ว บินด้วยความเร็วเท่าใด อยู่บนระดับความสูงเท่าใด ฯลฯ จะมีก็แต่ข้อมูลเรื่องความปลอดภัยอะไรพวกนี้ตามปกติ ซึ่งทั้งหมดนี้ผมพิศมัยเป็นอย่างยิ่ง

เพราะผมเตรียมโหลดอัลบั้ม Häxor ของ Mattias Alkberg มาฟังแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรใดๆ นอกจากสังเกตสังกาผู้คน เดาว่าเขาน่าจะมาจากไหนกันบ้าง และเขาน่าจะมุ่งหน้าไปไหนกัน

เที่ยวบินรอบนี้คนเกือบเต็มอยู่ แต่ก็มีที่นั่งว่างๆ แบบทั้งแถวอยู่บ้าง ไม่นานพอเครื่องขึ้นเรียบร้อยแล้ว คนที่นั่งติดๆ กันก็โยกย้ายเปลี่ยนที่กันพอเป็นพิธี ไม่ค่อยพัลวันอะไรนัก อาจเป็นเพราะมันเป็นเที่ยวบินไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นก็เป็นไปได้ และผมออกจะเชื่อว่ามันเป็นเหตุผลอื่น

ขณะที่ผมกำลังเขียนจดหมายหาพี่อยู่นี้ เขาก็เริ่มมีรถเข็นมาขายอาหารและเครื่องดื่ม และแน่นอนครับว่าผมก็ต้องขอทดลองเครื่องดื่มสักเล็กน้อย บนเมนูเขาจะระบุราคาว่า หากจ่ายด้วยบัตรมันจะถูกกว่าจ่ายด้วยเงินสด ผมก็ต้องจ่ายด้วยบัตรอยู่แล้ว และนี่เป็นบทเรียนการเดินทางอีกบทหนึ่งที่สำคัญครับ ผมพยายามจ่ายด้วยบัตรใบแรก ไม่ผ่าน เอาละ ไม่เป็นไร ผมมีอีกใบ ปรากฏว่าไม่ผ่านอีก

เขาบอกว่าหลายครั้งธนาคารจะระงับการใช้บัตรหากอยู่บนเครื่องบิน บอกว่าจ่ายด้วยเงินสดก็ได้ แต่ผมไม่ได้พกเงินสด ไม่มีเงินสดสำรองติดตัวมานานแล้ว ก็เลยจำต้องรับโชคชะตา เขาบอกว่าเขาเสียใจด้วย และเข็นรถผ่านไป แน่นอนว่าครั้งต่อไป ผมควรจะกดเงินยูโรติดกระเป๋ามาซักร้อยสองร้อย เพื่อสถานการณ์แบบนี้

ผมได้ยินจากรุ่นพี่นักเดินทางรอบโลกคนหนึ่งว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ เวลาเดินทางไม่ใช่เงินสด เพราะแต่ละที่ก็รับสกุลเงินไม่เหมือนกัน แม้กระทั้งเงินดอลลาร์เองก็ตาม –แต่เป็นนาฬิกาโรเล็กซ์

แกเดินทางมามากพอที่จะมาสู่ข้อสรุปเช่นนี้

ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากครับ อีกสักสองชั่วโมงเครื่องก็จะลดระดับลงแล้ว –ขณะที่ผมกลับมาเขียนจดหมายต่อนั้น ผมก็เห็นกระป๋องโค้กยื่นมาข้างหน้าผม เป็นผู้ชาย ซึ่งน่าจะมาจากเอเชียใต้ที่เพิ่งย้ายมานั่งแถวหน้าผมเมื่อครู่นี้เอง เขาผายมือบอกว่าเขาซื้อมาสองกระป๋อง ผมปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่า แต่เขาก็ยังยื่นมาให้ ผมรับมาพร้อมกับเอื้อมมือไปตบบ่าเขาเบาๆ เขายกมือขึ้นรับเบาๆ พร้อมๆ กับหยิบหูฟังมาสวมฟังเพลงอะไรของเขาต่อไป

ผมมองกลับมาที่กระป๋องโค้ก และเขียนจดหมายต่อไป

สวัสดีปีใหม่มันจากบนอากาศนี่ก็แล้วกันนะพี่

ปรีดี

ระหว่างทาง Stockholm-Istanbul

26 Dec 2022

 

 

nandialogue

 

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : ปรีดี หงษ์สต้น นักเขียน นักแปล นักวิชาการ ย้ายไปอยู่ประเทศสวีเดน เลี้ยงลูกไปพร้อมๆ กับสังเกตสังกาชีวิตที่เคลื่อนย้ายผ่านเวลาสถานที่ ภายใต้ระเบียบเสรีนิยมประชาธิปไตย

You may also like...