สวัสดีครับพี่หนึ่ง
ผมกลับมาพะงันได้สองสามวันแล้ว ตอนขึ้นเกาะ และขับรถไปตามถนนบนเกาะก็ยังคุยกับหลินเลยว่า รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เราเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่แค่ไม่กี่เดือน แต่อาจเป็นช่วงเวลาที่มีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นเยอะมีมิตรสหายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลาย เวลาแค่สี่เดือนจึงทำให้มนุษย์บางคนผูกพันและตกหลุมรักเอาง่ายๆ เดาเอาว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าจะต่างจากตอนที่พี่ย้ายไปอยู่น่านสักเท่าไร
เพียงไม่กี่วันที่มาถึง ผมได้พบปะผู้คนที่เราคุ้นเคยหลายคนอยู่ ส่วนใหญ่ก็ตามสนามกีฬาอะครับ ลูกๆ ซ้อมเล่นกีฬาไป พ่อแม่ๆ ก็จิบเครื่องดื่มสานสัมพันธ์และไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน รู้สึกดีแบบแปลกๆ เหมือนกันครับ ตอนหลายคนทักทายว่า เวลคัม แบ็ค ทู ดิ ไอส์แลนด์ ดีใจที่มีคนทักทาย และในขณะเดียวกันมันก็ย้ำถึงความผูกพันของผมกับเกาะพะงันซึ่งไม่ใช่แค่ทะเล ภูเขา หากแต่คือชุมชนและผู้คนที่ผมคบหาอีกด้วย นึกในใจว่าแปลกดีที่ไม่เห็นมีใครทักผมตอนกลับไปกรุงเทพฯ เลยว่า เวลคัม แบ็ค ทู บางกอก 555
ขึ้นฝั่งมาก็พบว่าคนบนเกาะมีจำนวนเยอะขึ้นครับ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากมาตรการโควิดที่ผ่อนคลายของรัฐบาล อีกส่วนก็น่าจะเนื่องมาจากช่วงเวลาแห่งเทศกาลปีใหม่ ที่ทำให้มีใครหลายคนตัดสินใจมาพักผ่อนที่นี่ ก่อนขับรถเข้าบ้านพลาสติกของฝรั่งบ้า เราแวะกินข้าวเที่ยงร้านอาหารตามสั่งร้านประจำที่เคยกิน เห็นลูกค้านั่งอยู่แค่โต๊ะเดียวเลยคิดไปว่าน่าจะรอไม่นาน ปรากฏว่ารอไปร่วมชั่วโมงกว่าจะได้ผัดขี้เมารวมมิตรราดข้าวมากิน
ระหว่างนั่งรออย่างกระวนกระวายว่าจะไปถึงที่พักคลาดเคลื่อนจากที่ได้นัดหมายก็พบว่า แม่ครัวพ่อครัวยุ่งเป็นพัลวัน พลางเอ่ยว่าวันนี้ออร์เดอร์เยอะหน่อย รอนิดนะ ภรรยาพูดกับผมว่า ตั้งแต่มีโควิด ผู้คนพากันสั่งอาหารออนไลน์และทางโทรศัพท์มากขึ้นเยอะ เห็นคนน้อยๆ ในร้านก็อาจไม่ได้แปลว่าเข้าร้านแล้วจะได้กินเลย ออร์เดอร์ที่รอประกอบปรุงมันซ่อนตัวต่อคิวแบบแอบๆ อยู่ในคอมพิวเตอร์และกระดาษจด ครั้งหน้าอาจต้องเอ่ยปากถามแม่ค้าก่อนเข้าร้านแล้วละว่าต้องรอนานไหม
บ้านเช่าหลังใหม่ของเราอยู่บริเวณสวนมะพร้าวครับ ตอนมาถึงวันแรกแล้วออกไปเดินเล่นบนผืนดินรอบๆ บ้านพัก รู้สึกเลยว่าบรรยากาศเหมือนกับตอนไปออกค่ายสมัยเป็นนักศึกษา สนามหญ้ารกๆ บ้านไม้เก่าๆ กลิ่นควันไฟโชยอ่อนๆ เสียงไก่ขันและวัวร้องเป็นระยะๆ นี่นับเป็นอีกความรู้สึกเลยเมื่อเทียบกับเมื่อปีก่อนที่เราพักอยู่ในรีสอร์ทริมทะเล ตอนภรรยาซื้ออุปกรณ์ทำมาหากินของผม (ที่ตากผ้าแบบที่มีตัวหนีบหลายๆ อัน ไว้ตากถุงเท้าและกางเกงใน) เธอยังซื้ออันสีเขียวมาให้เลย เธอบอกว่าเปลี่ยนบ้าง ตอนอยู่ริมทะเลใช้สีน้ำเงิน แต่มาอยู่ในสวนใช้สีเขียวดูจะเป็นการเคารพและกลมกลืนกับสถานที่มากกว่า 555
อยู่ที่บ้านใหม่นี่ สิงสาราสัตว์เยอะกว่าบ้านเก่าเยอะเลยครับ ดีน ฝรั่งเจ้าของบ้านบอกกับผมว่า มันดีที่เด็กๆ จะได้อยู่ท่ามกลางสัตว์ต่างๆ การดูแลและการสังเกตพฤติกรรมของสัตว์เป็นส่วนหนึ่งของการที่เด็กๆ จะได้เรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะชีวิต เซเฟอร์ ลูกชายของเขา คุ้นเคยกับสัตว์หลายๆ ตัวที่นี่ ทั้งกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสโนวี่ หมาพันธุ์ผสมระหว่างลาบราดอร์กับหมาไทย ทั้งวิ่งไล่อุ้มเป็ดอุ้มไก่เข้าเล้า ผมมองดูแล้ว เดาว่าอีกไม่นาน ศิลป์ ลูกชายผมก็น่าเอาอย่างและคุ้นเคยกับสัตว์ต่างๆ มากขึ้น
ไม่รู้ว่าผมคิดเอาเองรึเปล่าว่า ฝรั่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยกลัวหมา เจอหมาเห่ากรรโชกใส่อย่างไรก็หาวิธีสื่อสารและคุยกับมันรู้เรื่อง จะคุยดีๆ ให้เข้าใจหรือดุให้เกรงก็ว่ากันเป็นตัวๆ ไป คนเราพอไม่กลัวอะไรเส้นทางต่างๆ ก็มีให้เลือกมากขึ้น อยากวิ่งออกกำลังกายก็ทำได้ทั้งบนหาดทราย ไฮเวย์ หรือถนนเล็กๆ ท่ามกลางดงมะพร้าว อากาศดีกว่าและประหยัดค่าลู่วิ่งสายพานเป็นไหนๆ
พูดถึงหมาแล้วนึกขึ้นได้อีกเรื่องที่เคยอ่านมาของนักมานุษวิทยาและโบราณคดีที่ชื่อ Pat Shipman เธอมีสมมุติฐานที่ยังอาจไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างนักว่า หมาซึ่งเป็นสัตว์ชนิดแรกที่มนุษย์เอามาเลี้ยง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โฮโมซาร์เปี้ยน อย่างเราเอาชนะมนุษย์ถ้ำสมองโตอย่างนีแอนเดอร์ธัลได้เมื่อสามสี่หมื่นปีก่อน กล่าวคือหมานั้นมีประโยชน์มากในการล่าสัตว์ การตามกลิ่น ไล่ต้อน และช่วยสังหาร ทำให้มนุษย์สามารถล่าสัตว์ได้จากระยะไกลแทนที่จะต้องล่าในระยะประชิดอย่างนีแอนเดอร์ธัล กล่าวอย่างรวบรัดก็คือ หมาทำให้มนุษย์เผ่าพันธุ์นี้ปลอดภัยและมีชีวิตรอดกลับมามากขึ้นจากการออกล่า
พี่หนึ่งอาจสงสัยว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่านีแอนเดอร์ธัลไม่เลี้ยงหมา นักโบราณคดีเค้าดูจากปริมาณและสภาพกระดูกสุนัขในบริเวณที่ขุดค้นพบร่อยรอยมนุษย์ครับ ถ้าเจอโครงกระดูกหมาเยอะและไม่มีร่องรอยการกระทำที่บ่งบอกถึงการถูกสังหาร ก็อาจอนุมานได้ว่าหมากับคนได้ยกระดับความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันแล้ว จากที่เคยเป็นศัตรูและคู่แข่งขัน ก็กลายเป็นมิตรที่พึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอดของทั้งสองสายพันธุ์ บรรพบุรุษของหมาในปัจจุบันนี้ล้วนสืบสายมาจากหมาป่า หมาป่าเคยเป็นหนึ่งในผู้ล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เมื่อครั้งที่มนุษย์วิวัฒนการจนเดินสองขาได้ดีและรู้จักใช้ไฟและเครื่องมือต่างๆ ก็เริ่มกลายมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของมัน มนุษย์กับหมาป่าคงจะขับเคี่ยวแข่งขันกันมาช้านาน หลายๆ ตำนานในพื้นที่หลายๆ แห่งบนโลกก็พูดถึงหมาป่าแตกต่างกันออกไปในหลายแบบ แต่ล้วนชี้ชวนไปให้นึกถึงความโหดเหี้ยมและน่าเกรงขามของมัน
แล้วลองดูสิครับ เหตุการณ์ผ่านมาสามสี่หมื่นปี หมาป่าผู้น่ากลัวบางตัวกลายมาเป็น บูลด๊อกที่สุดน่าชังหรือปอมเมอเรเนี่ยนที่แสนน่ารักไปได้ นักประวัติศาสตร์สัตว์สอนผมว่าสัตว์ตัวที่ทนกับมนุษย์ (human tolerance) ได้มากกว่าจะถูกเลือกไปโดยธรรมชาติ ทำให้ในเวลาไม่กี่ชั่วอายุก็มีความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและรูปลักษณ์อย่างเห็นได้ชัด หมาป่าที่เชื่องและเป็นมิตรกับมนุษย์เท่านั้นจึงจะมีที่ทางในสังคมมนุษย์ ตัวที่ไม่มีความอดทนอดกลั้นพอหรือหยิ่งทะนงสูงเกินไปก็ต้องอยู่ให้รอดได้ด้วยทักษะของสายพันธุ์ตนเองในป่าดังที่เคยเป็นมาในอดีต ถ้าเราจะนับเอาจำนวนประชากรเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ เราแทบจะตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า หมาป่าที่ปรับตัวได้จนกลายเป็นหมาบ้าน มีความสำเร็จมากกว่าหมาป่าตามธรรมชาติขนาดไหน แต่ถ้าจะถามต่อว่าจำนวนประชากรหมาบ้านที่เยอะกว่าหมาป่านั้นบ่งบอกถึงความสุขที่พึงมีของสิ่งมีชีวิตที่พึงมีอย่างหมาๆ หรือไม่นั้น ผมคงต้องไปทำการศึกษาต่อหรือคุยกับหมาทั้งสองสายพันธุ์ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาตอบพี่อีกที
มีหนังสืออีกเล่มชื่อ Domesticated ที่ผมยังอ่านไม่จบ แต่คิดว่ามีคำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ล่ะ เราถูกเลี้ยงและคัดเลือกสายพันธุ์ (Domesticated) รึเปล่า ? ทั้งที่ยังอ่านไม่จบ แต่ผมคิดว่าเป็นไปได้ คำถามต่อมาก็คือแล้วสังคม (ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก) ที่เราอยู่กันในตอนนี้จะบ่มเพาะและคัดเลือกมนุษย์แบบไหนให้มีชีวิตรอด และจะผลิตลูกหลานแบบไหนต่อไป ชวนหรือชงให้พี่หนึ่งคุยเล่นๆ อะครับ ผมจะรออ่านคำตอบ
ก่อนจบจดหมายฉบับนี้ วัวของเพื่อนบ้านร้องเสียงมอๆ บอกให้ผมหยุดฟุ้งซ่านพล่ามไร้สาระได้แล้ว ผมรับคำชี้แนะด้วยความยินดี และอดคิดไม่ได้ว่าฟังแล้วเพราะเสนาะหูกว่าเสียงมอๆ ของควายที่ออกทีวีอยู่ทุกวันเป็นไหนๆ
เชียร์สสส
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
คำถามทั้งสองข้อใหญ่ๆ ของคุณยากชิบหาย ตอบไปก็คงเลอะเทอะ รอฟังเรื่องเล่าจากผู้รู้ คนที่เขาศึกษาวิจัยมาอย่างจริงจังดีกว่า การแสดงความเห็นในเรื่องที่ไม่รู้มันประหลาด มีโอกาสหลุดหลงออกทะเลเอาง่ายๆ พักหลังเราเห็นตัวอย่างทำนองนี้บ่อย ไม่ค่อยปลื้ม นึกออกเนาะ ถ้าปากบอกว่าไม่ชอบ แต่ตัวเองก็ทำแบบนั้น มันงงว่ะ ต่อกรณีนี้เราขออนุญาตยอมยกธง อย่างไรก็ตาม (อันนี้นอกเรื่อง) คำว่าหมาบ้านหมาป่าของคุณก็ทำให้เราคิดถึงญาติผู้ใหญ่คนนั้น ครั้งหลังสุดที่เจอกัน เขามาป่วยที่น่านช่วงใกล้ๆ ปีใหม่แบบนี้แหละ บนเตียงผู้ป่วย ชายชราแววตาสุกใสราวทารกจ้องมองเรานิ่งเงียบ ส่งมือมาสัมผัสมือ บีบเบาๆ ยาวนาน ไม่มีคำพูดสักคำ นิ่ง เงียบ เราบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกขณะนั้นอยู่ในเฉดสีโทนไหน ทุกข์หรือสุข คล้ายจะจากลาทั้งที่เผชิญหน้าอยู่ใกล้ชิดกัน คล้ายจะโศกเศร้า แต่ก็เบิกบาน มีพลัง หยิ่งในศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครมองเห็น หมาป่าเคยส่งบทกวีมาให้เราอ่านชิ้นหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าแกเคยเผยแพร่ที่ไหนหรือเปล่า เราจำได้แค่บางส่วน แต่ไม่เคยลืม ตอนยืนอยู่ใกล้ๆ เตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล ก็คิดถึงกวีบทนี้ ส่งต่อให้คุณลองอ่านเล่นนะ ทั้งบท หมาป่าเขียนไว้ว่าแบบนี้
ยินดีต้อนรับสู่ความเป็นจริง
ที่นี่ ที่นั่น หลุม บ่อ ปลัก ตม
ผ่านจากฝันหวานวัยเยาว์ –
ริ้วรอยบาดแผลวัยหนุ่มสาวยังไม่ลบเลือน
ความฝันยังอยู่หรือไม่
ความมุ่งมั่นยังมีอยู่ไหม
บาดแผลเพิ่มเข้ามาแผลแล้วแผลเล่า
ไซบีเรียของเราอาจจะไม่ได้อยู่ที่ไซบีเรีย
แดนเนรเทศคือที่ใดหรือ
คนหนุ่มสาวเมื่อปี 1989 จากเทียนอานเหมินหลายคนยังไม่กลับบ้าน
คนจากราชประสงค์ก็ยังไม่อาจกลับบ้านเช่นกัน
ยินดีต้อนรับสู่ความเป็นจริง
การพลัดถิ่นพิสูจน์ตัวตนของเราได้มาก
เป็นนักปฏิวัติ
นักอุดมคติ
นักฝันโรแมนติก
คนสู้ความจริง
หรือเพียงอยากขยับให้โลกเคลื่อนไปข้างหน้าในร่องรอยที่ถูกต้อง
ล้วนแต่เป็นคนมีความรู้สึก
เราทำสิ่งที่เราทำด้วยความเต็มใจของเรามิใช่หรือ
มีใครบ้างไม่เจ็บปวดโดดเดี่ยว
ไซบีเรียของเราไม่ได้ชื่อไซบีเรีย
เราต่างอยู่ที่ไซบีเรียนั้น
หลุม บ่อ ปลัก ตม รอยแผล และความคับข้อง ไม่ใช่อัญมณีควรอวด
และไม่ใช่ผืนดินที่ควรสาดสุราราดรดเพื่อหว่านเพาะความปวดร้าว
ความเมามายชั่วครั้งชั่วคราวนั้นผ่อนคลายภาวะตึงเครียดตัวเรา
แต่ความเมามายตลอดเวลาดองแช่สามัญสำนึก
ไม่ว่าจะจำเป็นหรือจำยอม
หากภาคภูมิใจกับชีวิตและการกระทำของตนที่ทำผ่านมา
เป็นนักปฏิวัติ
นักอุดมคติ
นักฝันโรแมนติก
คนสู้ความจริง
หรือเพียงอยากขยับให้โลกเคลื่อนไปข้างหน้าในร่องรอยที่ถูกต้อง
หรือกระทั่งเป็นคนล้มเหลวในเกมธุรกิจ
เราล้วนกระทำการต่างๆ ด้วยตัวของเรา
เราเลือกเสียงร้องคำรามของเราเอาไว้แต่ต้น
ให้เสียงคำรามที่เราเลือกแล้วอยู่กับชีวิตจนเราดับสูญ
แม้ในไซบีเรียที่ไร้ผู้คนรับรู้การดับสูญของร่างกายเรา
ยินดีต้อนรับสู่ความเป็นจริง
ในวันเวลาสีดำ
ในความเจ็บปวด, ยากลำบาก, และไม่เป็นดั่งหวัง
ในไซบีเรียที่ไร้ผู้คนมองเห็น
มีเรื่องเล่าตำนานซึ่งอาจไม่มีคนเล่าเผยแพร่
เรียนรู้, ทำงาน และสืบทอดเสียงกู่คำรามของคนนิรนาม
ในไซบีเรียที่ไร้ผู้คนมองเห็น
ในวันเวลาที่ยังไม่อาจหวังให้สิ้นสุดโดยเร็ว
มีคนนิรนาม
มีงานที่อาจไม่มีคนยกย่อง และเรื่องที่อาจไม่เป็นตำนาน
เราเลือกเสียงร้องคำรามของเราเอาไว้แต่ต้น
ให้เสียงคำรามที่เราเลือกแล้วอยู่กับชีวิตจนเราดับสูญ
แม้ในไซบีเรียที่ไร้ผู้คนรับรู้การดับสูญของร่างกายเรา
กลับมาย้อนอ่านใหม่ก็ยิ่งคิดถึงหมาป่าว่ะ แกมาเที่ยวที่น่านหลายครั้ง ถึงขั้นคิดฝันว่าจะมาอยู่ก็เคย เล็งๆ ห้องเช่าแถวริมแม่น้ำ ใกล้ รร.สตรีศรีน่าน เอาไว้ด้วย แกอยากสอนภาษาจีนให้เด็ก เขียนตำราบางส่วนไว้แล้วด้วย เข้าใจว่าน่าจะส่งให้ใครหลายคนไปแล้วด้วย (เราก็ได้รับ) ใช่ ทุกอย่างทำฟรีทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องการศึกษา เรื่องการเดินทาง หมาป่าเป็นคนยุยงส่งเสริมจอมพลังที่ไม่เคยเหน็ดเหนื่อย แกชอบคุยกับคนหนุ่มสาว ชอบยั่วยุให้ออกจากกะลาไปศึกษาโลกกว้าง
เคยนั่งคุยกันในรถคุณด้วยนี่หว่า หมอหลินกับเจ้าศิลป์ก็อยู่ วันนั้นหมาป่าดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ทุกอย่างผ่านไปหมดแล้วละ บางทีก็นึกถึงคำถามของคุณว่า–สังคม (ทั้งในประเทศและระดับโลก) ที่เราอยู่กันตอนนี้จะบ่มเพาะและคัดเลือกมนุษย์แบบไหนให้มีชีวิตรอด ? คำตอบมันไม่ง่ายเลย และถึงนาทีนี้ก็จนปัญญา รู้แต่ว่า ‘รอด’ ไม่ใช่คำตอบเดียว รอดเพราะค้ำยันรับใช้กลไกปรสิต รอดโดยเลียตีนทหาร รอดแบบเพื่อนบ้านรังเกียจเอือมระอา เราว่ามันพูดยากเหมือนกันนะว่าตกลงแล้วรอด ไม่รอด
หมาป่าน่าจะอภิปรายประเด็นพวกนี้ได้ดี คุณว่ามั้ย.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน