สวัสดีครับพี่หนึ่ง
ขออภัยที่ห่างหายไปหนึ่งสัปดาห์ ขาดส่งจดหมายไปหนึ่งสัปดาห์นี่ทำให้ผมเสียสถิติและมีประวัติการทำงานที่ด่างพร้อยจนได้ อุตส่าห์เขียนส่งมาได้ร่วมสามสี่เดือนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
ช่วงที่ผ่านมาผมป่วยและต้องทำงานของโรงพิมพ์ผ่านการสื่อสารระยะไกลครับ เวลาน่ะพอมี แต่สมองและจิตใจไม่พร้อม พอนึกได้ว่าถึงเวลาแล้วจะลงมือเขียนก็คิดไม่ออกว่าจะเล่าเรื่องอะไร ล่วงเข้าใกล้วันส่งต้นฉบับก็เลยคิดว่าส่งข้อความไปสารภาพและแจ้งข่าวกับพี่หนึ่งก่อนดีกว่า
คิดซะว่ายอมเสียสถิติดีกว่าฝืนใจเขียนอย่างที่รู้ว่ามันจะออกมาไม่ดี
กลับมาเรื่องที่เกาะ ตอนนี้โควิดยังระบาดอยู่ครับ ระบาดมาตั้งแต่ปลายปีแล้ว คนรู้จักบนเกาะติดกันไปหลายคนอยู่ ผมคิดว่าติดๆ ไปก็ดีครับ อย่างน้อยจะได้พิสูจน์ว่าวัคซีนที่ฉีดๆ กันไปนั้นได้ผลดีจริงรึเปล่า ติดแล้วจะได้หายกลัวหรือตื่นตระหนกกับมันจนเกินเหตุ ติดแล้วจะได้ไม่กลัวที่จะต้องติดอีก อะไรๆ ที่จะต้องทำในชีวิตก็เริ่มๆ มันซะ แทนที่จะมัวแต่รออย่างไร้ความหวังให้โควิดหมดไปจากโลกนี้ก่อน ถึงแม้ว่าผมจะเข้าใจว่าโควิดมันเป็นอันตรายกับบางคนอยู่บ้าง แต่ที่ผ่านมาก็อดรำคาญและเศร้าไม่ได้ที่เห็นนโยบายป้องกันโควิดมันทำลายผู้คนไปเท่าไรต่อเท่าไร บางครั้งมันไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจด้วยนะครับ คือบางคนมีฐานะ แต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนกิจวัตรในชีวิตไป จากได้ออกไปสังสรรค์พบปะกับเพื่อนสัปดาห์ละครั้งสองครั้งก็กลับทำไม่ได้ ทำไม่ได้นานๆ เข้าหลายเดือน ก็เกิดความเหี่ยวเฉาในจิตใจ กลายเป็นโรคซึมเศร้าหรืออัลไซเมอร์ไปซะอย่างนั้น
ดีน ฝรั่งเจ้าของบ้านเช่าบอกกับเราว่า มันก็แค่ไข้หวัดแหละครับ เป็นแล้วเดี๋ยวก็หาย อันนี้ก็ว่ากันไปครับ แต่ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งมันจะเป็นโรคสามัญประจำโลกที่เราจะอยู่กับมันได้ในที่สุด
โรงเรียนบนเกาะเปิดเทอมมาไม่เท่าไร ตอนนี้ลูกชายผมต้องหยุดเรียนแล้วหนึ่งสัปดาห์ครับ เพราะครูท่านหนึ่งที่สอนป่วยเป็นโควิด แต่ยังดีที่ที่พักที่เรามาเช่าเขาอยู่นั้นพอมีอะไรให้ทำบ้าง
ช่วงเช้าตื่นนอนมาได้สักพัก เซเฟอร์ ลูกชายของดีน ก็จะชวนศิลป์ไปให้อาหารเป็ดไก่ แล้วเก็บไข่มาแบ่งกัน วันดีคืนดีเป็ดไก่ก็หลุดออกมาจากเล้า พอให้เด็กๆ ได้สนุกกับการวิ่งไล่จับไล่ต้อนเข้าเล้า ไม่รู้เด็กมันตั้งใจให้หลุดเพื่อหางานอะไรให้ตัวเองทำรึเปล่า 55
ตกช่วงสาย พวกเขามักไปเล่นกันในบ้านหลังเก่าใกล้เล้าไก่ มันเป็นบ้านเล็กๆ สภาพทรุดโทรมปราศจากผนังไปสามด้าน (เรียกว่าศาลาก็อาจจะพอได้) ดีนคงเอามันไว้เพื่อเก็บของอุปกรณ์ต่างๆ แต่ก็มีพื้นที่ว่างพอจะให้เด็กๆ ได้เล่นกันได้อย่างเพลิดเพลิน บ้านหลังนี้อยู่ปลายสุดอีกฝั่งของที่ดิน เด็กๆ มีความเป็นส่วนตัวและอิสระกันพอสมควรในบ้านหลังนี้ เราปล่อยเด็กๆ เล่นกันสักพัก ก็จะชะโงกหน้าไปดูสักทีเพื่อที่จะเห็นว่าพวกเค้านั่งเล่นนั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่กี่วันก่อนเด็กๆ พากันหอบที่นอน หมอน ผ้าห่มไปไว้กันที่นั่น แล้วบอกว่าจะไปค้างแรมกันสองคน ผู้ใหญ่อย่างเราก็ทำเป็นเห็นดีเห็นงาม ปล่อยเวลาจนล่วงเลยจนค่ำมืดค่อยเดินไปเก็บของและบอกกับพวกเค้าว่าคงยังให้ไปนอนกันไม่ได้ ยุงเยอะและอาจไม่ปลอดภัยในยามค่ำคืน
บ่ายบางวันดีนให้เด็กๆ ไปช่วยทำงานก่อสร้างบ้านพักอีกสองหลังในบริเวณ ก็บ้านที่ทำจากขวดพลาสติกนี่แหละครับ ตอนนี้ใกล้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ค่อยๆ เพิ่มเติมรายละเอียดภายในอีกไม่เท่าไรก็น่าจะเสร็จสมบูรณ์ วันก่อนศิลป์และเซเฟอร์ได้ช่วยกันทาสีระเบียงบ้าน ดูแล้วน่าจะตั้งใจกันพอดู ตกเย็นดีนซื้อไอศครีมมาเป็นค่าแรงให้คนละแท่ง
นอกจากงานทาสีแล้วยังมีงานในบ้านนี้อีกหลายอย่างที่เด็กๆ ได้ทำร่วมกัน เช่น จัดทางเดินในสวนด้วยการเอาเปลือกมะพร้าวผ่าเป็นซี่ๆ มาเรียงริมทางเดิน เอาเศษไม้และเศษวัสดุต่างที่เป็นเชื้อไฟได้ไปเก็บไว้ใกล้ๆ กองไฟ
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมสังเกตหลายทีแล้วครับว่าเวลาจะใช้งานให้เด็กทำอะไร มันจะง่ายมากถ้ามีกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ไม่ใช่ว่าอยากจะร่วมมืออะไรกันหรอกครับ ดูๆ แล้วออกจะไปในแนวแข่งขันประชันความสามารถว่าใครทำได้ดีกว่า ทำได้มากกว่า แต่ก็ดีแล้วครับ แข่งกันทำงานย่อมดีกว่าแข่งกันทำลายหรือแข่งกันทำเงินเป็นไหนๆ 55
ถึงช่วงนี้โรงเรียนจะหยุด แต่ช่วงบ่ายแก่ๆ ผมยังพาลูกชายไปซ้อมบอลและเทนนิสได้ ตอนนี้เด็กๆ เต็มเกาะเลยครับ ทั้งสนามบอลและเทนนิส มีเด็กๆ มาเรียนกันเต็มแทบทุกคลาส เด็กยิ่งเยอะเด็กก็ยิ่งสนุก แต่โค้ชเหนื่อยครับ นอกจากต้องดูแลเด็กในจำนวนที่เยอะขึ้นแล้ว ยังมีเด็กใหม่ที่ยังต้องเรียนรู้กติกาการอยู่ร่วมกันในสนามซ้อม เสร็จจากการซ้อมทีนึง โค้ชรันต้องออกมาคุยกับเด็กต่อหน้าพ่อแม่เป็นคนๆ ไปว่าต้องพยายามปฏิบัติตัวอย่างไรในสนาม ผมเห็นแล้วก็เหนื่อยแทน แต่ก็ดีใจกับทีมงานที่มีพ่อแม่สนใจส่งลูกมาซ้อมกันเยอะขนาดนี้ เท่าที่เห็นครอบครัวที่อพยพมาใหม่ก็ล้วนมีสาเหตุจากโควิดนี่แหละครับ คนต่างชาติส่วนใหญ่ที่พาลูกมาอยู่ที่เกาะยังต้องทำงานอยู่ บ้างทำงานหลังจากส่งลูกไปโรงเรียน บ้างทำงานหลังจากเอาลูกเข้านอน บ้างทำทั้งสองเวลา คือมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากครับ ถ้าเริ่มได้ทำงานออนไลน์ไม่ต้องเข้าออฟฟิศแล้ว มนุษย์ก็น่าจะหาที่ๆ เหมาะกับตัวเอง การได้ออกมาอยู่เกาะ ทำงานไปดื่มน้ำมะพร้าวชมวิวทะเลไป ย่อมดีกว่าอุดอู้ทำงานในห้องพักเป็นแน่ ทั้งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการหนีมาพักผ่อน แต่ผลที่ได้อาจวิน-วินครับ คือได้ทั้งพักผ่อนและงาน ผมเจอแม่ของเพื่อนใหม่ของศิลป์คนหนึ่ง เธอเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเธอคนหนึ่งที่ย้ายมาทำงานออนไลน์บนเกาะได้รับคำชื่นชมจากหัวหน้างานว่าผลงานดีขึ้น ทั้งๆ ที่เขาใช้เวลาและพลังในการทำงานน้อยลงกว่าตอนก่อนจะย้ายมาเกาะเสียอีก
พ้นไปจากเรื่องกีฬาและงาน ช่วงนี้ลูกชายผมเริ่มสะกดคำและหัดอ่านหนังสือ เจอป้ายเจอตัวหนังสือที่ใดก็พยายามสะกด รู้จักคำมากขึ้นเรื่อยก็ไม่พ้นจะต้องรู้จักคำหยาบ แล้วก็เหมือนกับอีกหลายเรื่องเลวๆ ในชีวิตที่มนุษย์มักจะชอบทำ มันคงเป็นความรู้สึกดีที่ได้ละเมิด ได้เห็นสีหน้าท่าทางตกใจของผู้ใหญ่เวลาได้ยินมั้งครับ เตือนบ่อยเข้ามันก็ย้อนกลับว่า แล้วทำไมป่าป๊าพูดล่ะ ไอ้เราที่เป็นพวกนิยมในเสรีก็พลอยติดค้าง คิดคำตอบหาเหตุผลให้กับคำถามของลูกไม่ได้ นอกจากจะตั้งคำถามกลับให้เราได้ขบคิดแล้ว บางครั้งเด็กๆ ก็มีวิธีเลี่ยงในการพูดคำหยาบให้เราดุได้ยากขึ้น เช่น แทนที่จะพูดว่า What the fuck! มันก็จะเลี่ยงไปพูดว่า What the flip! อันนี้น่าจะไปจำมาจากพวกแคสต์เกม หรือบางทีก็มักจะฟ้องว่าเพื่อนในห้องพูดคำว่า Fuck ด้วยการออกเสียงพยัญชนะเรียงกันว่า เฟอ เออะ เคอะ ช่วงนี้นี่ถ้านับกันดีๆ ผมว่าทุกวันนี้ตัวเองพูดคำหยาบน้อยกว่าลูกเสียอีก คนพ่อต้องพยายามไม่พูดเพื่อเป็นตัวอย่างดีให้กับคนลูกที่อยู่ในวัยเรียนรู้เพื่อรู้จักคำต่างๆ ของโลก ผมพยายามหาสมดุลอยู่ครับ ภาษามันเป็นเรื่องยุคสมัย ลูกเรารู้ไว้ย่อมดีกว่าไร้เดียงสา แต่ครั้นจะไม่ปราม ปล่อยให้เค้าพูดคำหยาบได้คล่องปร๋อก็ยังทำใจไม่ได้ ดูแก่แดดไม่สมกับวัยผ้าสีอ่อน
ทั้งนี้ศิลป์ได้เรียนภาษาไทยด้วยนะครับ ฝึกสะกดคำและผันวรรณยุคต์กันเพลินเลย ตอนเราสอนเขาเรื่องอักษรกลางว่ามีตัวอะไรบ้างด้วยการท่อง ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง มันทำให้ผมกับภรรยาอดนึกไม่ได้ว่าใครหนอคิดประโยคนี้ขึ้นมา ทำไมมันดูโหดเหี้ยมจัง เราพยายามกันครึ่งวันเพื่อหาประโยคสำหรับอักษรกลางใหม่ได้เป็นคำว่า กูจะเดินต่อบินไปเอง อาจมีคำหยาบปนอยู่บ้างให้เด็กได้พออมยิ้ม แต่ก็ไม่มีฉากความรุนแรงฆ่าแกงกันให้เห็นครับ ถ้าพี่หนึ่งมีเวลาจะเสนอประโยคอักษรกลางในแบบอื่นๆ มาเสนอ ผมก็ยินดีน้อมรับเพื่อไปเสนอลูกชายต่อนะครับ
ด้วยมิตรภาพ
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
“หวัดดีครับป่าป๊า ควยไร สัส” –คุณลองนึกภาพว่าถ้าเช้ามาเจ้าศิลป์เซย์เฮลโหลกับพ่อแบบนี้ เออ แม่งก็คงเหวอแดกไปเหมือนกัน ทั้งที่มันก็เป็นแค่คำคำหนึ่ง เป็นภาษาที่มนุษย์คิดขึ้นมาใช้งานสื่อสารกัน และลึกๆ ในใจเจ้าศิลป์มันก็ต้องการแสดงความรัก ความใกล้ชิด ไม่มีเจตนาสักนิดที่จะก่นด่าหาเรื่องบุพการี แต่ทำไมเราถึงช็อก รับไม่ได้กับสิ่งนี้ ทั้งที่ในหมู่พวกเรา เห็นด้วยกับคุณว่าโดยรวมมีทัศนะค่อนไปทางเสรีนิยม เปิดกว้าง หลากหลาย แต่อย่างคำไทยสั้นๆ ออกเสียงว่า ‘ควยไรสัส’ ที่สุดมันคงต้องมีเงื่อนไขหรือตำแหน่งแห่งที่ที่พอเหมาะพอดี กับคนไม่ชอบหน้า วาจาเท่านี้เป็นเหตุผลให้สองคนกระทืบกันได้ ขณะที่ในถ้อยคำน้ำเสียงเดียวกัน ถ้าใช้กับเพื่อน มันก็ฮา คุณจะเอาอะไรกับคนปากหมา ใช่ป่ะ แม่งก็หาเรื่องยียวนกวนตีนกันไป ประเด็นอยู่ตรงที่คุณวางมานั่นแหละคือ บางอย่างมันไม่ควรอยู่ใกล้มือเด็ก เช่น ของมีคม ยา อาวุธ ฯลฯ ไม่เว้นกระทั่งถ้อยคำ เด็กกับผู้ใหญ่ วัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เราคงอนุญาตให้ทำสิ่งเดียวกันทั้งหมดไม่ได้ ถ้ามีคำถามว่าแล้วกฎเกณฑ์กติกามันอยู่ตรงไหน ว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ มาตรฐานของแต่ละสังคมคงเป็นคำตอบหนึ่ง และถ้าจะลงรายละเอียดกว่านั้นก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว สำหรับเรา นี่พูดในฐานะคนเป็นพ่อแม่ เคยผ่านประสบการณ์ดูแลทารก กระทั่งค่อยเติบใหญ่เป็นวัยรุ่น หนุ่มสาว เราไม่ค่อยกังวลนะ เปิด ปล่อยไปตามปกติ เราเชื่อคล้ายๆ ที่ ขรรค์ชัย บุนปาน เคยเขียนในเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง (อยู่ในหนังสือ ‘ครึ่งรักครึ่งใคร่’ เขียนร่วมกับ สุจิตต์ วงษ์เทศ) เขาพูดประมาณว่าเหตุผลเดียวที่เด็กจะเป็นคนเลวได้ก็เพราะมีพ่อแม่เลว ถ้าพ่อแม่ดี หลักคิดต่างๆ นานาแข็งแรง ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะเวลาราวๆ สิบปีในอ้อมกอดมันยาวนานพอที่จะหล่อหลอมมนุษย์คนหนึ่ง ฉะนั้น ดี เลว ถูก ผิด อย่าไปมองหรือระแวงเด็ก ให้มองที่ตัวเราหรือฝ่ายผู้ปกครองนี่แหละ ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างพวกเราล้วนไม่ใช่พระสงฆ์ถือศีล สำรวม กล่าวมธุรสวาจาตลอดเวลา ตรงกันข้ามซะอีก คือคำหยาบก็พูดปกติ เหล้ายาก็วางบนโต๊ะกินข้าวในครัว ไม่ปิดซ่อน แล้วจะเอาไง คำตอบคือไม่รู้โว้ย ลูกเราโตแล้ว พ้นภาวะวางระยะวัยเด็กวัยผู้ใหญ่แล้ว ของคุณยังปะทะเวียนว่าย ก็ว่ากันไป บ้านใครบ้านมัน ซึ่งถ้าจะให้พูดในนามคนนอก นอกจากจะไม่กังวล (เพราะเชื่อในรสนิยมคุณ) เรายังมั่นใจอีกด้วยว่าเจ้าศิลป์จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ชายที่จ๊าบมากคนหนึ่ง ก็ แหม มีพ่อแม่ใส่ใจดูแลขนาดนี้ พนันกับเราได้เลย ถ้าเติบใหญ่เป็นนายทหาร มันไม่ทำรัฐประหารแน่ๆ ถ้าเป็นศาลเป็นผู้พิพากษา มันจะไม่เหี้ย สมาทานนิสัยทาส เอาเด็กไปขังโดยยังไม่พิพากษาว่าผิด, ไม่สั่งให้ตำรวจไปรื้อค้นสำนักพิมพ์ ฯลฯ
เรื่อง ‘ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง’ (อยากเห็นหน้าคนคิดเหมือนกัน แม่งเถื่อนได้ใจ) ช่วยคุณคิดได้นิดหน่อย เช่น ‘กูจะแดกแต่เบียร์เปิดเอง’ และ ‘การจีบเด็กต้องบ้าป่าวอะ’ ปัญหาก็คือมันอาจไม่เหมาะกับการสอนเด็กอีกน่ะสิ เอาไงดี หรืออันนี้ล่ะ ‘กิน จะได้โตแบบเป็นเอก’ เฮ้อ เช้านี้สติปัญญามีเท่านี้จริงๆ ว่ะ เลยวัยเลี้ยงลูก คิดคำแนะนำเด็กไม่ได้ พูดจาภาษาดอกไม้ก็ไม่เป็น เอาว่าจะพยายามพาตัวเองออกไปให้พ้นมือเด็ก.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน