the letter
the letter

เสียวันนี้คือเสียเท่านี้

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

ขออภัยที่ส่งจดหมายมาช้า สัปดาห์นี้ผมเขียนส่งมาจากบางกอกครับ โรงเรียนของลูกมีเบรกกลางเทอมหนึ่งสัปดาห์ เลยถือโอกาสพาครอบครัวกลับมากรุงเทพฯ ด้วยในเดือนนี้

ปิดเทอมของลูกเหมือนกับเปิดเทอมของพ่อครับ กลับมานอกจากจะต้องเข้าไปดูงานที่โรงพิมพ์ เสมือนเป็นหลักสูตรภาคบังคับแล้ว หลังเลิกเรียนหรือวันหยุดต้องเรียนพิเศษและทำกิจกรรมนอกหลักสูตรด้วยการเดินทางและเปิดบ้านต้อนรับ พบปะมิตรสหายและสมาชิกในครอบครัวอีก

คุยกับภรรยาว่าเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่โคตรบีบอัด เหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็เต็มใจและมีความสุขที่ได้ทำครับ มากรุงเทพฯ รอบนี้ต่างไปจากครั้งก่อนมหาศาล เรื่องตึงๆ ที่เคยประสบที่โรงงานและบ้านแทบไม่ปรากฏ คิดว่าเป็นทั้งที่ตัวผมเองและคนรอบข้างที่เริ่มรู้แล้วว่าจะปฏิบัติต่อกันอย่างไรในบริบทใหม่

เวลามีน้อยก็ใช้สอยกันอย่างมีความสุขดีกว่า

เวลามีน้อย อะไรที่สำคัญก็รีบทำ ที่ไม่เป็นสาระก็เว้นๆ ไปดีกว่า

 

the letter

 

สัปดาห์ก่อนเพิ่งตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำในชีวิตการทำงานเท่าไร นั่นก็คือขอยุติการทำงานกับลูกค้ารายนึง จริงๆ ก็ทดสอบทดลองงานที่จะต้องทำกันมานาน มีปัญหาขลุกขลักบ้างก็แก้ไขปรับปรุงกันไป แต่ตอนใกล้ๆ จะเริ่มผลิตแล้ว ผมรับรู้ถึงลางหายนะ หากเราฝืนทำต่อ หายนะทั้งกับองค์กรอย่างโรงพิมพ์ และหายนะต่อสุขภาพจิตของพนักงานผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต และฝ่ายควบคุมคุณภาพ คิดคำนวณก็เรื่องนึง แต่สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจปฏิเสธได้อย่างมั่นใจคือความรู้สึกลึกๆ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Gut Feeling สิ่งนี้ทำให้ผมพร้อมจะเสียหรือสละบางอย่างได้มากกว่าตอนที่คำนวณด้วยตรรกะและตัวเลขทางบัญชี

ความรู้สึกเชิงลึก (Intuition) ซึ่งภาษาไทยมักแปลว่าการหยั่งรู้หรือสัญชาตญาณมันทำงานด้วยการประมวลผลหลายสิ่งหลายอย่างซะจนไม่สามารถเขียน หรืออธิบายออกมาได้ทั้งหมด

สำหรับผมในกรณีนี้มันคือ ทัศนคติของลูกค้าที่สำแดงออกมาผ่านน้ำเสียงและถ้อยคำ ความละเอียดและเนี้ยบของงานพิมพ์ที่เราจะต้องบรรลุ อารมณ์ของพนักงานฝ่ายต่างๆ เวลาที่พูดและเล่าถึงความเป็นไปของงานนี้ สิ่งเหล่านี้ประมวลผลผ่านสมการแห่งชีวิตของจ๊อกออกมาว่า “ไม่”

ตัดสินใจเสียวันนี้ก็คือเสียเท่านี้ แต่ถ้าดันทุรังทำต่ออาจเสียหายกว่าหลายเท่า เสียงในหัวใจบอกอย่างนั้น ผมทำใจอยู่นานกว่าจะกดเบอร์และโทรฯ แจ้งข่าว ปกติในแง่ธุรกิจแล้วการปฏิเสธลูกค้ามักเป็นสิ่งต้องห้าม เราถูกสอนกันมาแบบนั้นเสมอ แต่ผมเชื่อว่าทุกคำสอนและกฏกติกาล้วนมีหมายเหตุและข้อยกเว้นห้อยท้ายอยู่เสมอ

หมายเหตุหรือข้อยกเว้นหนึ่งที่ผมพอจะนึกออกก็คือกฏที่ใหญ่กว่า ในกรณีของผมกับการทำงานนี้ของโรงพิมพ์ก็คือพื้นที่และเวลา อะไรที่มันล่วงละเมิดสองสิ่งนี้ต่อผู้คน ไม่ว่ามันจะตรงตามคำสอนทางธุรกิจหรือถูกต้องตามกกฏหมายก็ควรละทิ้งซะ

การงานและมนุษย์บางจำพวกนั้นเสมือนเป็นสัมภาระที่รกและหนักเกินไปต่อพื้นที่และเวลาในจิตใจของพวกเรา

ปฏิเสธแล้วรู้สึกโล่งขึ้นเยอะครับ

 

the letter

 

ย้อนไปช่วงกลางปีที่แล้วตอนที่ตัดสินใจไปพะงัน ก็มีลักษณะคล้ายๆ อย่างนี้ ผมรู้สึกว่าโรงพิมพ์จะดำเนินต่อไปได้ ร่างกายและจิตใจผมต้องการออกไปจากบ้านและเมืองที่ตัวเองเกิดและโต รวมทั้งอยากให้ลูกออกไปจากสภาพอันจำกัดและน่าอึดอัด ก็พลันเกิดเป็นบทสรุปถึงการอพยพย้ายถิ่นที่อยู่

พอได้ตัดสินใจและย้ายไปแล้ว หลายสิ่งก็ไม่ได้เป็นไปดังที่ฝันนะครับ

หนังสือที่เตรียมไปซะเยอะเริ่มฝุ่นจับ ที่คาดว่าจะอ่านได้มากก็เป็นแค่ช่วงแรกๆ หนังสืออีกหลายเล่มยังคงนอนนิ่งอยู่บนชั้น งานที่โรงพิมพ์ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คาดไว้ดังที่เคยได้เล่าไป ผมยังต้องโทรศัพท์ ทำงานทางอินเตอร์เน็ต และกลับมากรุงเทพฯ ทุกเดือนเพื่อดูแลบางเรื่อง แต่ก็ไม่เสียใจหรือรู้สึกผิดนะครับ ยังคิดว่าดีเสียอีกที่จะได้มองและลองใช้ชีวิตในอีกด้านอีกมุม

ผมสำเหนียกอยู่เสมอว่าตัวเองโชคดีมาก ที่ได้ตัดสินใจเลือกทางให้ชีวิตของตัวเอง เวลาผิดพลาดก็รับด้วยตัวเองโดยไม่ต้องกล่าวโทษศาสดาหรือคำสอนใดๆ

ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดจากการตัดสินใจผิดนั้นเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับความสุขที่ได้ตัดสินใจและความสนุกจากการลองผิดและถูก

“ชีวิตมันสั้น” หลายคนทั้งไทยและเทศที่ผมพบมักจะเกริ่นนำเรื่องราวที่นำพวกเขามาเกาะด้วยประโยคนี้ แล้วต่อด้วยเรื่องราวอันหลากหลาย ซับซ้อนและยุ่งเหยิงของชีวิต ก่อนจะมาลงเอยที่เกาะพะงัน และในหลายครั้งพวกเค้ามักจะจบบทสนทนาว่าการได้มาที่เกาะนั้น “มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น”

ผมเองก็คิดอย่างเดียวกัน ไม่รู้ว่าจากจุดนี้จะไปต่อทางไหนและจบยังไง ที่แน่ๆ จุดเริ่มต้นแบบนี้น่าจะทำให้เรื่องราวน่าติดตามกว่าละครน้ำเน่าแบบไทยๆ เยอะ

ขอบคุณพี่หนึ่งเสมอที่คอยติดตาม ชี้แนะ และชวนให้ดูนกดูไม้ระหว่างการเดินทางทริปนี้ครับ

จ๊อก

 

nandialogue

 

ตอบ จ๊อก

วางสายจากคุณแล้วก็ขำ เขียนจดหมายคุยกันอยู่ทุกสัปดาห์แท้ๆ กลับนึกอยากได้ยินเสียง กดโทรศัพท์หาซะงั้น (สองสามปีหลังเราใช้โทรศัพท์น้อยลงเสียจนบางทีคิดว่ากูเลิกก็ได้นะ จะมาฉีกเงินทิ้งทำไมทุกเดือน) เหตุผลแท้จริงอาจไม่ใช่เรื่องเสียง คงอยากพูดคุยมากกว่า คุยแล้วเราก็จะได้หัวเราะกัน อะไรค้างคาหรือใจร้อนอยากรู้ ก็ได้คำตอบตอนนี้ ถามว่ารอได้หรือเปล่า รอได้สิ โดยประสบการณ์เราเห็นว่าถ้าบริหารจัดการดีๆ ชีวิตมีเหตุเร่งรีบน้อยมาก เราโคตรเกลียดความเร่งรีบ เกลียดภาวะไม่มีเวลา พยายามเสมอมาที่จะดำรงสถานะผู้มีเวลาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย แต่พูดแบบนี้ก็นั่นแหละนะ ใครแม่งจะจัดการดีได้ตลอดเวลาในทุกเรื่อง เอาเข้าจริงมันก็มักจะมีหลุดมีหลงอยู่เรื่อย และส่วนใหญ่ไอ้ตอนที่หลุดรั่ว จัดการไม่ดี ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นช่างยากเย็นแสนเข็น แต่เป็นเพราะเราเองที่ห่วย เสเพล ผัดวันประกันพรุ่ง สรุปคือตามใจตัวเองมากเกินไป (กำลังฝึกหัดการนำใจอยู่ ตามมากๆ มันชอบพาเราลงหลุม) คุณเคยเห็นคนตามใจตัวเองมากๆ มั้ย รักสนุก ปล่อยไหล ทั้งชีวิตค้นหาคำว่ายับยั้งชั่งใจไม่เจอ คือแม่งดูแย่มาก รับผิดชอบอะไรไม่ได้เลย เออ พอก้มมองตัวเองแล้วเห็นภาพที่เพิ่งด่าไปมันก็ นะ ไม่ชอบ มึงก็เอาตัวให้รอด ไม่ชอบ มึงก็อย่าไปทำแบบนั้น

สัปดาห์นี้เรื่องเล่าของคุณทำให้เราพบคีย์เวิร์ดเยอะเลย เช่น ลางร้าย, หมายเหตุและข้อยกเว้น, คำสอนของศาสดา, จุดเริ่มต้น, กฎที่ใหญ่กว่า, เลือกและเลิก, ละครน้ำเน่าแบบไทยๆ ฯลฯ ทุกหัวข้อล้วนน่าปะทะแลกเปลี่ยน แต่วันนี้ไม่มีปัญญา เพราะบริหารจัดการเวลาผิด (อ้าว–อีกแล้วสินะ) แทนที่จะได้เดินสบายๆ เหมือนเดิม ก็เลยต้องรีบๆ ลนๆ จับแพะชนแกะ ขออนุญาตแปะไว้เสวนากันคราวหน้า

ปล. วันเวลานัดหมายกับคุณที่ Krung Thep Maha Nakhon (Bangkok) ไว้เราบอกชัดๆ นะ ยังไงรอบนี้เจอกันแน่
คิดถึง

จาก ว. หนึ่ง ผู้มีเวลาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย (เหี้ย โคตรจะไม่จริง).

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...