จดหมายจากเกาะพะงัน
the letter

หมอนวดศึกษา

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

หลังๆ มานี้เรามักได้ยินบรรดาไลฟ์โค้ชสอน และบอกกับเราว่าหนึ่งในทักษะหรือทัศนคติที่สำคัญมากในศตวรรษที่ 21 ก็คือ Resillience แปลเป็นไทยประมาณว่า ความยืดหยุ่นที่พร้อมจะปรับตัวและฟื้นคืนขึ้นมาจากหายนะทั้งปวง หรือถ้าลองแปลเป็นภาษาไทยให้กระชับ แต่อาจไม่ตรงความหมายเป๊ะๆ น่าจะแปลว่า ‘ความทรหด’ ผมเห็นด้วยนะครับ เพียงแต่ตัวอย่างที่เราได้ยินและเห็นมามักจะเป็นเรื่องของคนมีฐานะที่ทดลองทำอะไรในชีวิตแล้วประสบและผ่านพ้นความยุ่งยากบางอย่างก่อนจะสำเร็จ ซึ่งความยุ่งยากเหล่านั้นห่างไกลกับคำว่า ‘หายนะ’ นัก

วันก่อนผมไปนอนให้ป้าคนหนึ่งนวดให้ แกชื่อ ‘พร’ อายุ 68 ปี เป็นคนอีสานอพยพไปทำงานมีครอบครัวที่กรุงเทพฯ สำเร็จและล้มเหลว ก่อนมาตั้งหลักอีกทีที่พะงันเมื่อสิบกว่าปีก่อนให้วัยห้าสิบต้นๆ ที่พะงัน แกเช่าห้องแถวชั้นเดียวริมถนนไว้สองห้อง ห้องหนึ่งเป็นที่พักอาศัย อีกห้องวางเตียงนวดไว้สามเตียง ทั้งร้านมีแกเป็นหมอนวดอยู่คนเดียว

วันที่ผมไปถึงตอนเช้าประมาณเก้าโมง แกว่าขอเวลากินข้าวและอาบน้ำหน่อย เพิ่งกลับมาจากการไปออกกำลังกายที่สวนสุขภาพริมทะเล แถวท่าเรือที่ท้องศาลา แกว่าออกกำลังกายนี่แกไม่เคยมีวันหยุด ทุกวันตอนหกโมงเช้าแกจะขับรถไปคนเดียว เดินออกกำลัง เล่นเครื่องเล่นบริหารร่างกายต่างๆ ที่อยู่ในสวนร่วมสองชั่วโมง ก่อนทำธุระต่างๆ นานาในตัวเมือง อาทิ ซื้อกับข้าว เข้าธนาคาร โอนเงินหรือชำระค่าบริการต่าง ก่อนกลับมาประจำการที่ร้านนวดตั้งแต่เก้าโมงเป็นต้นไป

 

จดหมายจากเกาะพะงัน

 

ผมนอนอ่านหนังสือระหว่างเธอเริ่มนวด แต่บทสนทนาและเรื่องราวในชีวิตเธอดูน่าสนใจกว่าตัวอักษร ผมจึงวางหนังสือและพูดคุย เธอเล่าว่าเริ่มแรกมาทำงานเป็นสาวโรงงานสิ่งทอตั้งแต่วัยรุ่น ทำงานและเก็บเงินอย่างหนัก เธอเก็บเงินได้ร่วมแปดหมื่นบาทในสมัยก่อน 2516 ที่เธอตั้งท้องลูกคนแรก เงินมูลค่านี้ในสมัยนั้นมากพอจะออกรถตุ๊กตุ๊กให้คนรักของเธอได้ แม้ว่าคนรักและพ่อของลูกจะไม่ได้เป็นคนขับรถตุ๊กตุ๊กที่ดีเท่าไร ขับๆ แล้วก็หยุดมานอนพักที่บ้าน แต่รถตุ๊กตุ๊กที่เธอลงทุนไว้ก็ออกผล ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเธอขายต่อรถคันนั้นได้ร่วมห้าแสน มีเงินพอจะเอาไปซื้อบ้านให้เธอและลูกมีที่ซุกหัวนอน และเหลือพออีกก้อนให้สามีไปผลาญเล่นในการเที่ยวอีกร่วมแสน เธอบ่นและพูดถึง (อดีต) สามีหลายครั้งระหว่างการนวด เธอเลิกกับสามีไม่นานและเลี้ยงลูกสองคนด้วยตัวคนเดียว แม้ไม่ได้เลี้ยงลูกทั้งสองมา แต่คำสอนของสามีเธอก็มีผล

“ถ้าโตไป อยากเป็นลูกน้องคนก็เรียนให้สูงๆ แต่ถ้าอยากเป็นเถ้าแก่ ให้ออกจากโรงเรียนแล้วเริ่มทำงานซะตั้งแต่เด็กๆ” นั่นคือสิ่งที่พ่อพร่ำสอนลูกทั้งสอง สรุปว่าลูกทั้งสองของเธอออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ม.3 แล้วไปทำงานที่โรงกลึงของอาเจ็ก ไม่กี่ปีที่ได้ทำและฝึกงานก็ออกมาตั้งโรงกลึงของตัวเอง แล้วผลิตโลหะแกนต้นคริสต์มาสส่งออกไปยังประเทศไต้หวัน กิจการของลูกชายทั้งสองและแม่เป็นไปด้วยดีร่วมสิบปี เธอเล่าว่าปีๆ นึงหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดซึ่งรวมทั้งเงินเดือนเธอและลูกแล้ว พวกเขายังมีเงินเหลืออีกหลายแสนบาท

ทุกอย่างมาพังทลายตอนปี 2549 ที่มีรัฐประหาร ผมไม่แน่ใจนักว่าธุรกิจการส่งออกได้รับผลกระทบอย่างไรจากเหตุการณ์ในครั้งน้ัน แต่สำหรับหมอนวดชื่อพร ทักษิณ ชินวัตร คือนายกฯ ที่ทำให้ครอบครัวเธอมีกินมีใช้ ส่วน ‘สุเทพ และพวกพ้อง’ นั้นให้เก็บความโกรธเกลียดไว้ในใจ เพราะคนใต้ส่วนใหญ่ยังรักและบูชาอยู่ หลังกิจการปิดตัวลง เธอและลูกมีหนี้ติดค้างร้านเหล็กอีกร่วมสองล้านบาท บ้านหนึ่งหลังถูกขายเพื่อใช้หนี้ แต่ก็ได้แค่ครึ่งหนึ่ง ยังเหลือหนี้ในเช็คชื่อของเธออีกหนึ่งล้าน ดีที่ว่าตอนที่กิจการยังไปได้ดี

เธอตอบรับคำชวนของเพื่อนคนหนึ่งให้ไปเรียนศาสตร์การนวด หลังโรงกลึงปิดตัว เธอจึงไปทำงานเป็นครูสอนนวดอยู่พักนึงแถบชานเมืองกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ก่อนตัดสินใจรับคำชวนของเพื่อนรุ่นน้องมาทำงานนวดฝรั่งที่เกาะพะงัน (แถวหาดสลัด) เธอว่านอกจากงานนวดจะมีเยอะกว่าในกรุงเทพฯ แล้ว เรตส่วนแบ่งค่านวดก็ต่างกันมาก ในสมัยนั้นที่กรุงเทพฯ เธอจะได้ส่วนแบ่งประมาณ 40 บาท/ชั่วโมง ในขณะที่พะงันคือ 150 บาท นวดทั้งแต่เช้าจรดค่ำแทบไม่ได้หยุด มีเพียงนมกล่องเป็นอาหารเที่ยง เธอมาทำงานที่พะงันได้อยู่ไม่กี่ปีก็ใช้หนี้ของโรงกลึงได้หมด เธอเล่าว่าเธอร้องไห้กับตัวเองตอนที่ใช้หนี้ก้อนสุดท้ายหมด ผมถามเธอว่าจริงๆ ก็ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ไกลบ้านแล้วทำไมไม่เดินหนีและทิ้งหนี้ก้อนนั้นไปเสีย เธอว่าเจ้าของร้านเหล็กมีน้ำใจและดีกับเธอ จะไปทำอย่างนั้นกับเจ้าหนี้ได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุดก็คือเธอเป็นห่วงลูกชายทั้งสอง กลัวว่าถ้าทำให้ตัวเองเสียเครดิตกับร้านเหล็กไปแล้ว ลูกชายเธออาจไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบเพื่อทำธุรกิจต่อไปได้

 

จดหมายจากเกาะพะงัน

 

สิ่งนี้สอดคล้องกับเท่าที่ผมเคยทำธุรกิจมา ผมเห็นมาเยอะว่าคนธรรมดาๆ นี่แหละที่ซื่อสัตย์และจริงใจที่สุดแล้ว เศรษฐีบางคนต่างหากที่หากเปิดช่องให้นิดหน่อย พวกเขาจะหาทางโกงและขโมยเงินไปจากเราอย่างหน้าด้านๆ

หลังจากเป็นลูกจ้างร้านนวดจนใช้หนี้ได้หมด เธอเอาเงินเก็บจำนวนนึงมาเปิดร้านของตัวเอง ลูกชายสองคนที่แยกย้ายกันออกไปหลังหายนะ ต่างก็มีชีวิตที่ไม่ย่ำแย่นัก คนโตทำฟู้ดทรัคขายไอสครีมแถวอำเภอกำแพงแสน ส่วนคนเล็กนั้นไปได้ดีมากๆ เปิดร้านขายและซ่อมมือถือ เปิดร้านขายข้าวหุงและห่อเป็นถุงๆ ในตลาดนัด นอกจากจะมีเงินเหลือซื้อบ้านซื้อรถให้ตัวเองแล้ว ยังออกรถป้ายแดงมาให้แม่ใช้อีกคัน เธอเล่าว่าบรรดาลูกๆ พร่ำชวนให้ย้ายกลับไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ หรือกำแพงแสน แต่เธอเลือกจะอยู่ที่นี่เพราะบรรยากาศและอากาศ ไปอยู่กรุงเทพฯไม่กี่วันก็อยู่ไม่ไหว อึดอัด อยากกลับมาอยู่เกาะ เธอพูดเหมือนกับฝรั่งผมแดงอีกคนซึ่งผมเพิ่งพบในงานปาร์ตี้เมื่อเย็นที่บอกกับผมว่า I don’t have much money but I feel rich here.

เรื่องของคนตัวเล็กๆ เหล่านี้ต่างหากที่ดูจะเหมาะกับคำว่า Resillience องค์ประกอบของมันอันได้แก่ การเปิดรับโอกาส ความประหยัด ความซื่อสัตย์ ความทุ่มเท และทัศนคติที่ไม่จำนนต่อโชคชะตานั้นไม่ใช่เรื่องราวอันเบาหวิวในบรรดาหนังสือฮาวทู แต่เป็นเรื่องจริงที่ใครอีกหลายๆ คนพร้อมจะเล่าให้คุณฟัง

ด้วยรักและคิดถึง

จ๊อก

ปล. หลายวันก่อนลูกชายตั้งคำถามกับผมว่า ถ้าป๊าต้องเสียอวัยวะหนึ่งในร่างกาย ป๊าจะสละอะไร ผมนั่งคิดอยู่นานว่าเสียอะไรดีวะ อวัยวะภายในชิ้นไหนที่มีสองข้าง ถ้าหากต้องเสียไปสักข้าง เราน่าจะมีชีวิตต่อไปได้ ก่อนที่ผมจะคิดได้ เจ้าลูกชายชิงตอบกับผมก่อนว่า “ศิลป์จะยอมเสียผม ไม่มีมัน ศิลป์ก็อยู่ได้สบายๆ”

ผมกลับไปนั่งยิ้ม ดื่มเบียร์ต่อพลางนึกในใจว่า เด็กสมัยนี้มันหัวดีกว่าเรานัก 555

 

 

nandialogue

 

ตอบ จ๊อก

ใครมองมา ก็ต้องคิดว่าเราเตรียมกันมาก่อนแหงๆ อะไรมันจะบังเอิญปานนั้น

เราสัมภาษณ์หมอนวดที่น่าน เอาลง ออนไลน์ไปไม่กี่ชั่วโมง คุณโทรฯ มาคุย บอกกำลังเขียนเรื่องหมอนวด แถมเรื่องราวชีวิตใกล้เคียงกันหลายอย่าง เช่น เช่าห้องสองห้องเหมือนกัน (ที่น่านคือบนกับล่าง) มีเตียงนวดสาม, ทุกเช้าไปออกกำลังกาย เขียนกฎหมายให้ตัวเองประพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด ที่ว่ามานี่คือเหมือนกันหมด ระหว่างหมอนวดพรกับสุนัน ยังไม่นับแง่มุมอื่นๆ โดยเฉพาะการอดทนทำกิน ต่อสู้ชีวิต การหาโอกาสไปศึกษาศาสตร์บีบนวด และบุญคุณที่ใครเคยทำดีให้ สมองส่วนความจำของทั้งคู่ทำงานเยี่ยมยอด ว่างเมื่อไร คุณลองเข้าไปอ่าน ‘กรรมกรในร่ม’ สาวโรงงาน ร้านคาราโอเกะ และคุก –ชีวิตจริงของหมอนวดนักวิ่งสมัครเล่น แหม จังหวะและผู้คนที่พบเจอของเรามันสอดรับกันเหลื่อเชื่อ

คำของอดีตสามีหมอนวดพร ที่บอกว่า–ถ้าอยากเป็นลูกน้องคน ให้เรียนสูงๆ อยากเป็นเถ้าแก่ ให้ทำงานซะตั้งแต่เด็ก.. เราเคยได้ยินมาบ้าง คำพูดนี้น่าสนใจ คู่ควรครุ่นคิด คนละความหมายว่ามันเป็นความจริงนะ เราเห็นว่าจริงครึ่ง ลวงครึ่ง คล้ายกับวาจาหรือภาษิตมากมายในโลกนี้ ที่มันถูกและผิด แข็งและอ่อนในตัวเองมันเอง ทัศนะที่เอ่ยออกมาแล้วถูกทุกอย่างหรือวาจาอันเป็นนิรันดร์นั้นให้ข้ามไปเลย อย่าไปเสียเวลาฟัง (เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก) อันนี้เราเห็นๆ กันอยู่ ไม่ต้องอภิปรายพร่ำเพรื่อ ที่เราบอกว่าน่าสนใจ เพราะมันเชื้อชวนให้คิด ตรวจสอบตัวเอง ไม่ต้องมองไหนไกลหรอก ตั้งแต่เด็ก เราไม่ค่อยคิดเรื่องพวกนี้ (เรียนหนังสืออยู่ทุกวันยังไม่ค่อยคิด) เหมือนหายใจไปอย่างว่างเปล่า เช้ามา หาข้าวกิน ไปโรงเรียน จบมา ก็หางาน–อะไรสักอย่างที่หาได้ ที่พอจะเลี้ยงตัวเองได้ โดยไม่ต้องแบมือขอ คือเป็นชีวิตที่ไร้ความมุ่งมาดปรารถนา ไร้ความใฝ่ฝัน ไม่มีใครมากระตุกกระตุ้น (หรือมี แต่ไม่ได้ยิน ไม่รับฟัง) ไม่ทะเยอทะยานที่จะออกแรงวิ่งไปไขว่คว้าอะไรสักอย่าง ให้เดา เราว่าคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยก็เติบโตมาในภาวะ ‘ไม่รู้อะไร’ แบบที่เราเป็น โชคดีว่างานที่เราเข้าไปทำ รับเงินเดือน มันตรงพอดีกับเชื้อเพลิงในร่างกาย ก็เลยสนุก มีแรงมานะพยายามอยากทำให้ดี ไม่งั้น ก็นึกไม่ออกเลยว่ะว่าจะยังไง ถ้าทั้งประเทศ มีเราคนเดียวที่เป็นเช่นนี้ อันนั้นคือความผิดเรา โง่เอง แต่ถ้าผู้คนอีกจำนวนหมื่นแสนก็มีอาการไม่ไกลจากนี้นัก เราว่าสังคมของเราคงต้องขาดอะไรสักอย่าง ผู้นำของเรา วุฒิภาวะ เสรีภาพ ประชาธิปไตย มันคงต้องไปค้นหาสาเหตุและเร่งแก้ไข ปล่อยต่อไปก็ไม่ต่างจากปุยนุ่นที่ปลิดปลิว

การรู้เร็วๆ ในบางเรื่องมันเหมือนเรือที่มีหางเสือ มีดาวเทียม กำหนดพิกัดทิศทางชัด มันก็ไม่หลง วน สะเปะสะปะ แต่ทำยังไงให้รู้ได้เร็ว โลกโบราณต้องใช้เหงื่อแลกมา ออกแรงให้หนัก ในโลกวันนี้ โลกแห่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ เหงื่อยังไม่เชยหรอก การออกแรงมันจำเป็นเสมอ บวกด้วยการอ่านการฟังให้หนัก เหมือนเรียนสูงๆ ยังไงมันก็จำเป็น (คำว่าเรียนสูงๆ อาจติดกับดักปริญญา ใบประกาศ ฯลฯ เราขอใช้คำว่าการศึกษาเรียนรู้ละกัน) เรียนสูงๆ หรือการศึกษาดี ไม่ได้แปลว่าต้องไปเป็นลูกน้องหรอก และยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ที่บอกว่าเลิกเรียนเร็วๆ หรือทำงานแต่เด็กแล้วจะได้เป็นเถ้าแก่ (วัยรุ่นร้อยล้าน) มันจริงแค่บางส่วนเท่านั้น ฝ่ายเรา สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือเอามาผสมกัน เรียนสูง การศึกษาดี ทำงานตั้งแต่เด็ก เป็นเถ้าแก่ และมีกิจการของตัวเอง

ทั้งนี้ ก็อีกนั่นแหละ สุดท้ายมันต้องมาแยกแยะ วิเคราะห์ ทบทวนตัวเองให้ละเอียดรัดกุม เพราะบางเราน่ะเป็นลูกน้องดีกว่า รับจ้างน่ะประเสริฐที่สุดแล้ว เหมือนกับที่บางคนควรเช่าบ้านเขาอยู่มากกว่าซื้อหามาเอง และบางคนควรใช้การขนส่งสาธารณะ รถเรือ อย่าไปยุ่ง เพราะจัดการบริหารไม่ได้

ทั้งสิ้นทั้งปวง นี่พูดในฐานะเอาใจช่วย อยากเห็นทุกคนมีรถมีบ้าน แฮปปี้และมีอิสระกับการงานที่รักที่เลือก

พูดในฐานะคนที่เชื่อมั่นเสมอว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกฝนได้ ถ้าไม่เชื่อง และชินเกินไปกับการให้ท้ายตัวเอง

ส่วนเรื่องเจ้าศิลป์เลือกสละเส้นผม และคุณตบท้ายว่าเด็กสมัยนี้มันฉลาดกว่า เราว่ามาถูกทางแล้ว นี่เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ คนใหม่ๆ ต้องเก่งกว่าคนเก่า เด็กต้องไปได้ไกลกว่าคนแก่ สังคมเราจึงวิวัฒน์ขึ้น ก้าวหน้าขึ้น คุณลองมองดูเถอะ คนแก่ที่สุมหัวเอออวยกันเอง แวดล้อมพวกเขาไม่มีเด็กเลยสักคน แม่งน่าเศร้า และที่น่าเศร้ากว่านั้น ก็คือประเทศของเรานี้แท้จริงมีเด็กหนุ่มสาวก้าวหน้าจำนวนมาก แต่ผู้ใหญ่ก็คล้ายจะคิดอ่านใดอื่นไม่เป็นเลย นอกจากการไล่ล่าจับลูกหลานขังคุก.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...