the letter

วัน way ลา

สวัสดีพี่หนึ่งจากเกาะสมุยครับ

อยู่ๆ วันนี้ผมก็ได้มานั่งเขียนจดหมายหาพี่จากเกาะเพื่อนบ้านซะงั้น

สาเหตุก็คือเมื่อวานผมกับหลินนัดเนียกับโมฮันทานอาหารเที่ยงกันเป็นมื้อสุดท้าย ก่อนที่พวกเค้าจะย้ายกลับอิสราเอล

มนุษย์บ้าช็อปปิ้งอย่างเนีย เวลาหนึ่งปีบนเกาะพะงันก็เพิ่มพูนข้าวของสัมภาระซะเยอะแยะ แทนที่จะคืนรถเช่าแล้วเดินลากกระเป๋าขึ้นเรือต่อเครื่องบินกับครอบครัว พวกเขาวางแผน (จริงๆ ตัดสินใจกะทันหันซะมากกว่า) ขับรถเช่าที่มีสัมภาระทั้งหมดที่อยู่เต็มหลังกระบะข้ามไปสมุย ผมดูปริมาณข้าวของอย่างกระเป๋าร่วมสิบใบ ลูกเล็กอีกสองคน ก็พอเข้าใจได้อยู่ถึงความทุลักทุเล หากต้องทยอยขนของเหล่านี้ลงเรือ ขึ้นเรือ ต่อรถเข้าโรงแรม ก่อนขนพวกมันไปที่สนามบินอีกที และทีนี้ก็เป็นเรื่องแล้วว่าใครจะเอารถกลับมาคืน

ไอ้คนซ่าส์แบบไม่ค่อยดูตาม้าตาเรืออย่างผม ก็ทำเท่บอกกับพวกเขาว่า สบายๆ เดี๋ยวกูไปกับพวกมึงแล้วเอารถกลับมาคืนให้เอง

ตอบไปก่อนแล้วค่อยมาคิดได้ว่าจะหาเที่ยวเรือกลับพะงันในวันรุ่งขึ้นได้รึเปล่า (ช่วงนี้เป็นเทศกาลฟูลมูนพอดี เที่ยวเรือเข้าพะงันเต็มแทบทุกเที่ยว) แล้วมานึกขึ้นได้อีกว่าในเวลาใกล้ๆ กันกับที่จะขึ้นเรือไปกับพวกเขา ผมมีนัดประชุมที่โรงเรียนลูก กลายเป็นว่าหลังจากที่ตกปากรับคำไปแล้ว แม่งยุ่งเลยครับ ตั้งแต่บ่ายโมงจนสี่โมงกว่านี่ต้องรีบและวิ่งแทบทุกจังหวะ รีบขับรถกลับบ้านไปจัดกระเป๋า แล้วขับกลับมาในเมืองเพื่อหารอบเรือเอารถกลับ รีบขับรถไปเข้าประชุมผู้ปกครอง ขอตัวออกมาก่อนประชุมจบเพื่อรีบขับกลับมาที่ท่าเรือ ถึงท่าเรือแค่สิบนาทีก่อนเรือออก พวกเราขึ้นเรือได้ทันและออกจากพะงันตอนสี่โมงครึ่ง เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือก็พอได้นั่งพักหายใจลึกๆให้คลายเหนื่อย

พอได้ตั๋วเอารถกลับในวันรุ่งขึ้นทันที หลินกับศิลป์ก็เลยตัดสินใจเดินทางมาสมุยด้วยในนาทีแทบจะท้ายๆ โดยที่ยังไม่ได้จัดและไม่มีเวลาเหลือให้จัดกระเป๋าหรือเตรียมอะไรทั้งสิ้น เช้าวันนี้หลินจึงใส่เสื้อผ้าของผมที่เตรียมมาเผื่อไว้อีกชุด ส่วนศิลป์ใส่เสื้อใหม่ที่โมฮันซื้อให้เมื่อวานกับกางเกงตัวเก่า

โมฮันบอกว่าฉากนี้เหมือนในหนังเลยที่ครอบครัวพวกเราเจอกันในวันแรกที่เกาะพะงันและได้จากลากันในวันสุดท้าย ในช่วงเวลาปีนึงที่พะงันก็พอมีเรื่องให้พวกเราสองครอบครัวผูกพันอะไรกันเยอะอยู่ นอกจากที่จะพบปะปาร์ตี้พูดคุยกันอยู่เรื่อยๆ ครอบครัวเรากับเขาก็พบกันโดยบังเอิญบนเกาะอยู่เสมอๆ พวกเขาเคยไปอยู่บ้านเราที่กรุงเทพฯ สี่ห้าวันในช่วงปีใหม่

เนียเป็นเนิร์ดทำงานสายการศึกษาที่จิตใจดี ทำอาหารเก่ง และไม่ชอบสังคมนัก

เนียกับจ๊อกเกลียดอะไรหลายอย่างบนโลกนี้เหมือนๆ กัน และชอบเรื่องไม่กี่อย่างบนโลกนี้เหมือนๆ กัน

เขากับผมรู้สึกโชคดีพอๆ กันที่มีโอกาสได้ผ่านพบและสนทนากัน โลกน่าอยู่ขึ้นเล็กน้อยเวลาเราพบคนที่คิดคล้ายๆ กับเราเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ส่วนโมฮันนั้นเหมือนนางฟ้า ไม่ได้หน้ารูปร่างหน้าตาสะสวยเหมือนนะครับ แต่ความเป็นตัวเธอคือความงามบริสุทธิ์ที่เปล่งประกายความรักแจกจ่ายให้กับผู้คนทั้งหลายบนเกาะตลอดเวลา

ทุกครั้งที่เราพบเธอเราสัมผัสได้แต่ความไร้กังวล ความรัก จะมีก็แค่สัปดาห์สุดท้ายบนเกาะเท่านั้นแหละที่เจอกันทีไรก็มักจะเห็นเธอร้องไห้ทุกที ร้องไห้ด้วยความเสียใจที่ต้องจากลาและซาบซึ้งในความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน

คนที่ ‘รักเป็น’ ย่อมมีโอกาสเสียใจมากกว่าคนที่ ‘ไม่เคยรัก’ บนโลกนี้มักจะมีมนุษย์บางประเภทที่มีความสามารถพิเศษสร้างสายใยเกี่ยวพันยึดโยงผู้คนจำนวนมากไว้ได้ ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นที่จะคิดถึงเธอ ผมคิดว่าใครอีกหลายคนบนเกาะก็จะคิดถึงเธอเช่นกัน

กว่าพวกเราจะเข้าที่พักและทานอาหารเย็นเสร็จก็ร่วมสามทุ่ม ผมและเนียเหนื่อยเกินไปที่จะไปไหนต่อได้อีก ก็เลยพากันอาสาเอาลูกเข้านอนให้ แล้วปล่อยให้สาวๆไปเดินเล่น นั่งดื่มยามค่ำคืนกันตามลำพังสองคน

ก่อนเช็กเอาท์ พวกเรานั่งกินอาหารเช้ากันที่โรงแรม คุยกันว่าทำอะไรกะทันหันกันอย่างนี้ก็ไม่แย่นะ ไม่ได้วางแผนไว้แต่แรก แต่พอทำแล้วรู้สึกดีก็ควรคิดได้ว่า อะไรๆ หลายเรื่องในชีวิตไม่ควรต้องคิดเยอะหรือกังวลมากนัก ผมเองก็ชอบที่มันเป็นอย่างนี้ อายุสี่สิบ แต่ยังทำอะไรแบบเด็กอายุสิบแปดได้อยู่ถือเป็นวาสนาของชีวิต ให้แบบไม่ต้องคิด รับแบบเต็มใจ การเดินทางมาด้วยอย่างกะทันหันเพื่อขับรถเช่ากลับไปคืนถือเป็นการให้อย่างเต็มใจจากผม ค่าที่พักโรงแรมอีกห้องในคืนที่ผ่านมาพวกเขาก็จ่ายให้โดยที่ผมเต็มใจรับ

ถ้าเลือกได้ผมอยากอยู่ในโลกที่ผู้คนให้และรับกันเยอะๆ รักที่ปราศจากการให้และรับอาจไม่ใช่รักในความหมายที่เคร่งครัด ให้และรับอะไรกันก็ได้ บ่อยครั้งมันเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมซะด้วยซ้ำที่มีคุณค่าความหมายกว่าสิ่งที่เป็นรูปธรรม หลังๆมานี้ผมเองก็ไม่ค่อยเกรงใจหรือปฏิเสธที่จะรับอะไรหรือน้ำใจจากใครเท่าไรแล้ว เพราะรู้ว่าในอนาคตผมก็จะให้พวกเขากลับ หรือที่ผ่านมาก็เคยให้อะไรกับพวกเขามาบ้างแล้ว พูดอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าในปริมาณที่พอเหมาะด้วย ของหรือน้ำใจที่มากเกินไปบางทีรับไว้ก็อาจทำให้เราอึดอัด

คนให้ไม่รู้สึกอะไรหรอก คนรับต่างหากที่จะรู้สึก ศิลปะของการให้และรับนับเป็นเรื่องดีงามที่ผมคิดว่าเราควรใคร่ครวญพิจารณา ผมเกลียดการทำบุญทำทานหรือการบริจาค เพราะมันดูหยิ่งยโสและไม่เห็นหัวผู้รับเกินไป จิตใจดีแค่ไหน ถ้าทำให้คนรับรู้สึกด้อยหรืออึดอัดก็นับว่าเป็นจิตใจดีที่ปลอม

ใช้ชีวิตที่เกาะมาเกือบปีเริ่มรู้สึกว่าเกาะพะงันเหมือนค่ายฤดูร้อน เราใช้เวลาอยู่ร่วมกับเพื่อนใหม่ค่อนข้างมาก ต่างคนก็มีที่มาต่างกันและอยู่ห่างไกลกันมาก่อน แต่พื้นที่และเวลาของพะงันมันทำให้พวกเรารู้จักและรู้สึกถึงกันได้มากเหลือเกิน ในเวลาปิดค่ายเราก็เลยรู้สึกกับเพื่อนใหม่ดั่งเพื่อนเก่าที่คบหากันมาเนิ่นนาน

ตอบขับรถไปส่งพวกเขาที่สนามบิน หลังจากช่วยขนกระเป๋าเพื่อไปต่อคิวขึ้นเครื่อง ผมคุกเข่าเรียกกัลและออ ลูกทั้งสองของพวกเขามากอด บอกว่าลุงอาจไม่เจอกับพวกเธออีกสองสามปี แล้วอวยพรให้พวกเขาเติบโตและมีความสุข จากนั้นก็เงยหน้าที่มีน้ำตาคลอขึ้นมองหน้าเนีย ผมกอดเขาแล้วบอกว่ากูรักมึง และตอนนี้กูร้องไห้แล้วนะ มันบอกว่า เออ กูก็เหมือนกันลูกพี่ มึงรีบๆไปเหอะ

ผมรีบเดินออกมากอดโมฮันพร้อมกับหลิน แล้วรีบขับรถออกจากสนามบิน เศร้าที่จะไม่ได้เจอกันอีกสักพัก แต่ก็ตื้นตันและดีใจที่เคยได้ใช้เวลาดีๆ ด้วยกัน เศร้าผสมตื้นตันแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี และถ้ามีโอกาสผมก็พร้อมจะทำอีก

ปกติผมไม่ได้ร้องไห้บ่อยเท่าไร แต่พะงันมันพาให้ผมเปิดเปลือยตัวเองและสัมผัสกับมนุษย์มากกว่าที่เคย น้ำตายังไหลอีกครั้งตอนที่ผมเขียนเล่าถึงฉากจากลาในจดหมายฉบับนี้

ร้องไห้

จ๊อก

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

ปีหนึ่งแล้วเหรอที่คุณไปอยู่พะงัน เออว่ะ มันพอๆ กับที่เราทำ ‘น่านไดอะล็อก’ เลย

ไม่นานหรอก ยิ่งสำหรับโลกของสื่อมวลชนก็นับว่าเพิ่งเป็นก้าวแรกๆ ที่พยายามหยั่งรากลงดินให้แน่น ลมแรงๆ พัดมาเมื่อไหร่จะได้ไม่โค่นล้ม แต่ไอ้ที่ว่าไม่นาน ปีหนึ่งเราก็ผ่านอะไรมาพอสมควร

น้องที่ขึ้นมาทำงานด้วยกัน (แดนซ์ / เยิงบอย) กลับสมุทรสาครไปแล้วตั้งแต่เมษาฯ ขี่มอไซค์มา แต่ขากลับ เข็นขึ้นรถกระบะที่ยืมพ่อขับมาขนข้าวของ (หนุ่มโสดและไม่ใช่สายช็อป ปริมาณสัมภาระย่อมห่างไกลกับครอบครัวอิสราเอลเพื่อนคุณ) บางวันเดินผ่าน ‘น่านไดอะล็อกบังกะโล’ ก็ยังได้ยินเสียงค้อนตะปู และภาพผู้ชายคนหนึ่งที่ทิ้งชีวิตเมืองกรุงมาเผชิญโลกใหม่ คุณอาจจะงงว่าค้อนตะปูอะไรของพี่มึงวะ คือเราไปเช่าบ้านหลังหนึ่งให้น้องอยู่ เช่าและต่อเติมใหม่ แบกประตูหน้าต่างมาจากบ้านป่า (ของเก่าเก็บ ซื้อมาจากร้านไม้เก่า อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา) จ้างช่างจบ (สะหล่าอันดับหนึ่งแห่งหมู่บ้านมณเฑียรที่เคยสัมภาษณ์ นึกออกป่าว ที่เป็นคนทำบั้งไฟ และขึงหนังกลอง) สองสามวันก็พอได้ห้องขนาดจิ๋ว นอนคนเดียวไม่อึดอัด แต่สุ่มเสี่ยงเล็กน้อยในวันฝนคลั่ง ด้วยว่าหลังคาส่วนต่อเติมมันมีรอยรู ถือว่าอยู่ชั่วคราว ขาดตกบกพร่องหน่อยก็ทนเอา อย่างน้อยก็ใกล้ห้องสมุด เดินมาทำงานสะดวก

บ้านเช่าหลังนี้ (บ้านเดี่ยว สองชั้น มีพื้นที่ใช้สอย จอดรถได้หนึ่งคัน) ราคาอยู่ที่สามพันบาท มีครอบครัวหนึ่งเช่าอยู่ก่อนแล้ว (สามคน พ่อแม่ลูก) แต่ชั้นล่างซึ่งถูกต่อเติมเป็นร้านค้า (จากผู้เช่าหนุ่มสาวคนก่อน) ยังว่าง เราจึงไปขอแบ่งอาศัย โดยหารค่าเช่ากันคนละครึ่ง เขาอาจรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวนัก เพราะมีใครก็ไม่รู้มาอยู่ใต้ถุนบ้าน (แยกห้องน้ำ บน/ล่าง) แต่ข้อดีคือจ่ายแค่ครึ่ง ต่อเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกไป คนที่อยู่ก็ต้องกลับมาจ่ายสามพันตามเดิม

สามพัน.. ดูไม่มากมายเลยใช่มั้ย สำหรับคนกรุง
แต่สังคมที่น่าน ยิ่งกับคนหาเช้ากินค่ำ มันไม่สบายเท่าไร ใครก็รู้ว่าเงินทองชั่วโมงนี้หายาก และที่ว่ายากนี้ก็ยังไม่ถึงก้นเหว เรายังจะดิ่งลงกันไปอีกเยอะ ..คุณลองมองหน้าผู้บริหารประเทศสิ ไหวปะล่ะ

กรกฎาฯ ปีก่อน ช่วงหน้าฝนแบบนี้แหละที่แดนซ์ขี่มอไซค์ขึ้นมาน่าน โควิดยังแรงอยู่เนาะตอนนั้น มาถึงก็เข้าบ้านป่า กักตัว เราเตรียมงานสื่อใหม่ไปพลาง และบางวันคอยส่งข้าวส่งน้ำ เมื่อวานฝนตกหนัก ขี่มอไซค์ไปได้ครึ่งทาง ต้องจอด หาเสื้อกันฝนใส่ ทางเละและลื่น ซ่อมมาหลายครั้งก็ยังคงสภาพนั้น ทั้งที่ขี่เข้าออกทุกวัน ชำนาญเส้นทาง ฝนหนักๆ อย่างนี้ก็มีลุ้นตลอด ล้อหน้าว่าตรงแล้วนะ แต่ล้อหลังยังปัดเป๋อยู่เรื่อย ทางมันชัน ต้องระมัดระวัง หมวกกันน็อกแม่งก็ไม่มีที่ปัดน้ำฝนไง ขี่ๆ ไป น้ำไหลลงมาบังพร่ามัวไปหมด เกร็งมือขวากำแฮนด์ มือซ้ายคอยหมั่นยกมาปัดหยดน้ำ กิ่งไผ่ กิ่งไม้แห้งระเกะระกะระหว่างเลียบไต่สวนยาง ถึงบ้าน ฝนยิ่งกระหน่ำ มองห้องเงียบงันนั้นบางทีคล้ายมีเสียงกีตาร์กังวาน กลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ค่ำลงควันไฟล่องลอยคละเคล้าเสียงมีดกระทบแก่นไม้เศษฟืน

แดนซ์กลับเมืองกรุง ‘น่านไดอะล็อกบังกะโล’ ยังอยู่ กำลังตัดสินใจว่าอาจจะรื้อออก ขนหน้าต่างประตูกลับบ้าน เพราะปล่อยนานไป ถ้าผู้เช่าใหม่มาใช้ส่วนนี้ อาจจะยุ่ง ยังไงคงต้องรื้อแหละ เพราะคิดเป็นเงินก็หลายบาทอยู่ จะโยนทิ้งไปเปล่าๆ ทำไม อีกอย่าง ปลายปีสมาชิกน่านใหม่แก๊งเจงจิ๋วก็คงค่อยๆ เคลื่อนขยับ เริ่มนับหนึ่ง ชั่วๆ ดีๆ สมบัติบ้าพวกนี้ก็มีประโยชน์

สัจจะพื้นฐานเรื่องคนเก่าไป คนใหม่มา เกิดขึ้นเป็นปกติ เก่าแปลว่าเคยอยู่ เคยทำ เคยเห็น เคยมีกิจกรรมร่วมกัน มากบ้างน้อยบ้าง อย่างไรการจากลาก็ย่อมสะเทือนความรู้สึก มีเหมือนกันที่วันแรกๆ คล้ายเฉยชา หากต่อมากลับเคว้งคว้างสับสน ความรู้สึกของบางคนมันเดินทางช้า อย่างที่คุณว่า ‘คนที่รักเป็น ย่อมมีโอกาสเสียใจมากกว่าคนที่ไม่เคยรัก’–แหม ยามจะโรมานซ์ พี่จ๊อก พะงันนี่เค้าก็ใช้ได้เลย
เอ้า ชนๆ.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...