สวัสดีครับพี่หนึ่ง
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะยุ่งกับเรื่องส่งเพื่
เทอมนี้ดีหน่อยที่คุณครูให้เด็
หลักสูตรแบบอังกฤษนี่มักจะเน้
ครั้งสองครั้งที่เค้าเคยบอกใครๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นนักเขียน ไม่ใช่เพราะว่ามันเท่หรื
ช่วงหนึ่งระหว่างที่อ่านข้อเขี
บางทีมันอาจให้อิสระมากกว่
ไม่กี่วันถัดมา พวกเราต้องไปโรงเรียนอีกครั้
กระบวนการดำเนินตรวจประเมิ
มีคำถามหนึ่งที่ลู
ผมฟังด้วยความโล่งใจและสมเพช โล่งใจเพราะคำถามที่ลูกตอบไม่
ผมรู้มาอีกว่าคำถามที่เด็กในชั้
เบธ ครูชาวอังกฤษที่เพิ่งอพยพมาที่
ก่อนมาพะงันเธอเครียดและถึงกั
ถ้าจะมีเหตุผลเดียวที่พวกเขาเลื
แคท ครูใหญ่ประจำโรงเรียนบอกว่าไม่
ปีก่อนผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่
เวลาเราอ่านหนังสือแล้วได้มาเห็
ผมไม่ได้มีปัญหากับการประเมิ
มีเรื่องขำๆ อีกเล็กน้อยในบทสนทนาของคณะผู้
ผู้ประเมินคิดว่าการที่จะบอกว่
เธอไม่เห็นว่าการที่เด็
อยู่พะงันมาเกือบปี จะมีก็วันที่เข้าไปเห็นการข้
ด้วยรักและมิตรภาพ
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
ตั้งแต่กลุ่ม กปปส. (ยังจำได้มั้ย) ใช้ธงชาติเป็นสื่อสัญลักษณ์แสดงพวกพ้อง แนวคิด และเป้าหมายอะไรบางอย่าง ความรู้สึกต่อธงและแถบสีแดง ขาว น้ำเงิน ของเราก็เปลี่ยนไปเลย ในอดีตเคยรู้สึกดีนะ เช่น ตอนนักบอลทีมชาติไทยแข่งกับชาติอื่น ก่อนเกม สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติกันมาก็คือเปิดเพลงชาติ เราจะได้เห็นธงชาติ มันสร้างจุดร่วมเสริมพลังฮึกเหิมได้ดีเหมือนกัน ซึ่งนั่นคือกีฬาน่ะ ถึงเวลาแข่งก็แข่ง สู้กันในเกม ผ่านพ้นเก้าสิบนาทีก็แยกย้าย
ความหมายของธงน้อยลงเรื่อยๆ เราเห็นอย่างนั้นนะ เรียกว่านอกสนามมวย สนามบอล หรือพ้นจากมิติเกมกีฬา นับวันธงชาติไทยดูจะมีความหมายไปทางโฆษณาชวนเชื่อมากกว่า พยายามยัดเยียดทุกแปดโมงเช้า หกโมงเย็น แต่สัญลักษณ์ที่มุ่งเน้นหล่อหลอมอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เวลาผ่านไปๆ ข้อมูลไหลออกมามากขึ้นๆ คล้ายมนต์ขลังมันจืดจาง ว่างเปล่า กลายเป็นยาหมดอายุ
ธงชาติไทยไม่มีเยื่อใยของความเป็นมิตร ไม่มีอะไรใกล้ชิดกับประชาชน ถามจริงๆ คุณยังรู้สึกดีอยู่หรือ ใครกี่คนที่เห็นธงชาติแล้วรู้สึก ‘ร่วม’ ในความเป็นชาติ นึกๆ ดู แม้แต่ความหมายที่เป็นฉันทามติต่อคำว่า ‘ชาติ’ เราก็ไม่เห็น ฟังไม่รู้เรื่องน่ะสรุปง่ายๆ ทั้งที่หลายคนพยายามอธิบายว่าความหมายของชาติคือประชาชน สิบปีมานี้ไปไหนมาไหนก็ได้ยินอยู่เรื่อย แต่เชื่อมั้ยว่าแท้จริงสิ่งนี้ก็ยังไม่ใช่ฉันทามติ มันเลยงงๆ ตกลงรัฐไทยสมัยใหม่มันเป็นแค่หมู่บ้านกระจัดกระจาย เป็นรัฐอิสระ เป็นรัฐซ้อนรัฐ หรือยังไงแน่
เช่นนี้แล้ว จะแปลกอะไรที่เจ้าศิลป์มันไม่รู้ คืออย่าว่าแต่เด็กเลย เจอเพื่อนฝูงเมื่อไร คุณลองไล่หาความหมายแดง ขาว น้ำเงิน บนธงผืนนั้นดู ไม่รู้สิ ให้เดา เราว่ามันเบาหวิวมากเลย ล่องลอย หาจุดร่วมไม่ได้ (ยังไม่ต้องพูดเรื่องความรัก) ความเป็นชาติมันอาจถูกวางไว้สูงเกินไป ห่างไกล สัมผัสแตะต้องไม่ได้ ส่วนการวิจารณ์นั้นก็อย่างที่รู้ เด็กหนุ่มเด็กสาวหลายคนแค่ลุกขึ้นมาถามยังติดคุก
ได้ยินคำว่า ‘การงานที่ไร้ค่า’ ของคุณแล้วเราคิดถึงทหาร บ้านเมืองของเราปล่อยให้ทหารใหญ่เกินไป มีอำนาจมากเกินไป มีจำนวนมากเกินไป นั่นคืออดีตซึ่งผ่านมาแล้ว แก้ไขไม่ได้ ทหารอาชีพหลายพันหลายหมื่นคนไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เพียงแต่พวกเขาและเธอสังกัดอยู่ในวิชาชีพที่อาจเรียกว่าจำเป็นต่อยุคสมัยน้อย สิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง
กำหนดให้เป็นวาระเร่งด่วนอย่างยิ่งคือการลดขนาดกองทัพ เพราะเมื่อลด งบประมาณและบุคลากรย่อมลดลงทันที เราว่ามันโหดร้ายมากที่ทุกวันๆ กองทัพยังจ้องวิ่งไล่จับแรงงานหนุ่มสาวเข้าไปเป็นกองกำลังที่ล้นเกิน ใช้จ่ายล้นเกิน มันน่าเสียดาย เราควรเอาคน เอาเงิน เอาเวลาและทรัพยากรที่มีคุณค่าไปใช้ในเรื่องที่มีคุณค่า
สัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้คุยกับหนุ่มสวิสคนหนึ่งชื่อ Vincent เขาลาออกจากอาชีพพยาบาลเพื่อเดินทางไกลหนึ่งปี (หรือจนกว่าเงินจะหมด) จากภูมิลำเนาในซูริค เขาบินไปอินโดฯ แล้วเข้ามาไทย เข้าใจว่าวันนี้น่าจะอยู่ลาว (เขาแพลนเรื่องพิกัดไว้หลวมๆ สนุกก็อยู่นาน น่าเบื่อก็ไปต่อ) Vincent เคยเป็นทหาร เป็นเพราะถูกบังคับ (คล้ายทหารเกณฑ์บ้านเรา) ข้อแตกต่างคือคนสวิสเลือกได้ว่าจะไปเป็นทหาร (18 สัปดาห์) หรือไปทำ social works หรือจ่ายเงิน (สามเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน / จำไม่ได้ว่าเป็นระยะยาวนานเท่าไร)
พยาบาลหนุ่มวัยยี่สิบสามรายนี้ (เกิดตุลาคม 1998 / เขาย้ำว่ายังไม่ยี่สิบสี่) เลือกไปเป็นทหาร (ไม่ได้ชอบ แค่อยากรู้ อยากลอง) ลองแล้วรู้แล้ว เขาขอเลิก ย้ายไปทำ social works (เช่น ช่วยงานในโรงเรียน ดูแลสวนสาธารณะ ป่าไม้ ฯลฯ) เขาไม่เข้าใจ เมื่อเราบอกว่าเมืองไทยเลือกไม่ได้ (จะเลือกก็ได้ ในตัวเลือกดังนี้คือ หนึ่ง, เรียน รด. สอง, จับใบดำใบแดง สาม, จ่ายเงิน ข้อหลังนี้ไม่โปร่งใสตรงไปตรงมาเหมือนสวิส จ่ายแปลว่าติดสินบน) Vincent เห็นเหมือนเราว่าการงานของทหารไม่รับใช้ ไม่ตอบโจทย์ ไม่ฟังก์ชั่นกับโลกวันนี้ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาจำนวนมากก็ล้วน stupid เขารับไม่ได้ เขารังเกียจวัฒนธรรมทหาร มันผลาญทรัพยากรเกินไป มันทำลายชีวิตและความฝันของคนหนุ่มสาว
ไอ้หนุ่ม Vincent คนนี้ขี่มอไซค์และขับรถยนต์ไม่เป็น เขาปั่นจักรยานไปทำงาน เมืองที่อยู่ไม่มีเหตุผลต้องใช้รถยนต์ เพราะระบบขนส่งมวลชนตอบสนองความต้องการครบ เขาทำงานปีเดียวก็มีเงินเที่ยวทั่วโลก ที่ลาออก ก็ด้วยปรารถนาศึกษาเรียนรู้ความหลากหลาย ลิ้มลองอาหารแปลกรส สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆ คบหาผู้คนใหม่ๆ การเดินทางคนเดียวเปิดโอกาสให้บทสนทนาเกิดขึ้นง่าย.. เงินหมดเมื่อไรค่อยกลับไปหางานทำ อาชีพพยาบาลตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เรียกว่าถ้าไม่เกียจคร้านเกินไป ไม่มีวันเดินเตะฝุ่น
ไทยแลนด์กับสวิตเซอร์แลนด์ไม่เหมือนกันหรอก ที่เล่ามาก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่เหมือน เพียงแต่หลายอย่างอันเป็นเรื่องสากล เราว่ามันทำได้นะ ถ้าผู้นำประเทศไม่ได้เติบโตมาจากการสมาทานอุดมการณ์ทาส ในมือไม่มีปืน และในหัวมีสมอง.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue