the letter

ศิลป์ไม่รู้ (และไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้)

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะยุ่งกับเรื่องส่งเพื่อนกลับบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว ผมกับหลินก็ใช้เวลากับเรื่องที่โรงเรียนลูกไม่น้อย นอกจากประชุมบอร์ด ใกล้ปิดเทอมโรงเรียนก็จัดงานให้บรรดาผู้ปกครองเข้าไปชมการแสดงของเด็กๆ และแวะชมผลงานของลูกตัวเองและเพื่อนๆ ในชั้น 

เทอมนี้ดีหน่อยที่คุณครูให้เด็กๆ รวบรวมผลงานที่ทำระหว่างเทอมมารวมเป็นเล่ม ผมเปิดอ่านสมุดบันทึกการทำงานของเจ้าลูกชายแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ถึงปริมาณตัวอักษรที่บรรจุอยู่ในนั้น ถึงว่าบางวันเจ้าศิลป์ก็มักจะบ่นกับพ่อแม่ว่าไม่อยากไปโรงเรียน เพราะเหนื่อย มีงานต้องทำเยอะ

หลักสูตรแบบอังกฤษนี่มักจะเน้นให้เด็กมีความเชี่ยวชาญทางภาษาอย่างเข้มข้นกว่าหลักสูตรอเมริกัน หนึ่งปีผ่านไปนอกจากจะสื่อสารภาษาอังกฤษผ่านการพูดและฟังได้ดีขึ้นมากแล้ว ลูกชายผมยังมีทักษะการเขียนที่ดีขึ้นมากเช่นกัน

ครั้งสองครั้งที่เค้าเคยบอกใครๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นนักเขียน ไม่ใช่เพราะว่ามันเท่หรืออะไรหรอกนะ แต่น่าจะเป็นเพราะพ่อมันทำโรงพิมพ์ซะมากกว่า (ว่ากันง่ายๆ คือกะจะพิมพ์ฟรี 555) แต่ว่าไปการเขียนก็นับเป็นสิ่งที่สร้างความอัศจรรย์และชุ่มชื่นใจให้ผมได้เสมอ 

ช่วงหนึ่งระหว่างที่อ่านข้อเขียนของลูกในช่วงกลางเล่ม มันมีอยู่บทหนึ่งที่เค้าเขียนถึงพ่อกับแม่ เนื้อความง่ายๆ ประมาณว่าดีใจที่ได้ใช้เวลาร่วมกันมา ขอบคุณที่สอนสั่งและให้ความอบอุ่น แค่นี้คนเป็นพ่ออย่างผมก็ร้องไห้ออกมา ทั้งๆ ที่ยังอ่านไม่จบ ผมว่าแปลกดีเหมือนกันที่ข้อเขียนบางชิ้น (รวมทั้งงานชิ้นนี้ของลูกชาย) ทำงานกับความรู้สึกได้ลึกและกระเทือนใจผมได้มากกว่าน้ำเสียงที่ผ่านการพูด 

บางทีมันอาจให้อิสระมากกว่าในการตีความของคนที่อ่อนไหวทางความรู้สึกอย่างผม ลูกเขียนง่ายๆ แต่ตัวพ่อตีความเกินเบอร์ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกท่วมท้นได้ง่ายๆ 555

ไม่กี่วันถัดมา พวกเราต้องไปโรงเรียนอีกครั้งในการร่วมกระบวนการสัมภาษณ์เพื่อตรวจสอบคุณภาพการศึกษาจากหน่วยงานกลางของรัฐไทย เราไปในฐานะผู้ปกครอง ผู้ประเมินเลือกทำงานประเมินผ่านโปรแกรมซูม พวกเขาสามคนนั่งดูไลฟ์เพื่อสำรวจห้องเรียนต่างๆในโรงเรียน แล้วสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทางออนไลน์ เราตอบพวกเขาอยู่ 3-4 คำถาม ก็เป็นอันเสร็จพิธี

กระบวนการดำเนินตรวจประเมินออนไลน์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผมกลับไปที่โรงเรียนช่วงบ่ายอีกครั้งเพื่อร่วมรอฟังผล ไปถึงครูใหญ่เล่าให้ฟังว่าศิลป์ก็ถูกสัมภาษณ์เช่นกัน 

มีคำถามหนึ่งที่ลูกชายของผมตอบผู้สอบไม่ได้นั่นคือ ธงชาติไทยมีกี่สี และแต่ละสีเป็นสัญลักษณ์แทนอะไร

ผมฟังด้วยความโล่งใจและสมเพช โล่งใจเพราะคำถามที่ลูกตอบไม่ได้นั้นเป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ สมเพชเพราะถ้าผู้สอบจะวัดระดับคุณภาพการศึกษาด้วยคำถามแบบนี้ ผมคิดว่าผมยอมให้ลูกอยู่ในโรงเรียนที่ไม่มีมาตรฐานการศึกษา (จากรัฐไทย) ซะดีกว่า 

ผมรู้มาอีกว่าคำถามที่เด็กในชั้นเรียนอื่นตอบไม่ได้ก็คือคำถามว่า กษัตริย์ไทยหรือราชินีไทยชื่ออะไร 555 นี่แหละคุณภาพการศึกษาไทย! ดีนะที่คำถามเหล่านี้ไม่ได้ถูกมาใช้กับผู้ปกครอง ผมน่าจะคิดคำตอบอะไรตลกๆ กับมันได้อยู่ อาทิ เสมอภาค เสรีภาพ และภราดรภาพ หรือไม่ก็ O, Nui and Goy อะไรประมาณนี้ ผมเอาใจช่วย และเห็นใจบรรดาคุณครูในโรงเรียนที่ต้องพยายามเล่นให้เป็นกับการตรวจสอบเพื่อให้ผ่านการประเมิน ถ้าไม่ผ่านสถานะของความเป็นโรงเรียนอาจสั่นคลอนได้ 

เบธ ครูชาวอังกฤษที่เพิ่งอพยพมาที่เกาะในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับครอบครัวผม เธอบ่นว่าในอังกฤษระบบก็แย่ไม่แพ้กัน สมัยที่เธอสอนอยู่ที่นั่น เธอต้องดูแลเด็ก 30 กว่าคนในคลาสตลอดวันด้วยตัวคนเดียว แค่นั้นยังไม่พอ ระหว่างปีจะมีการประเมินและตรวจสอบการทำงานของเธอเป็นระยะๆ ชั่วโมงการทำงานของเธอแต่ละวันจึงอาจมากได้ถึงสิบกว่าชั่วโมง

ก่อนมาพะงันเธอเครียดและถึงกับเป็นโรคนอนไม่หลับ ซึ่งแตกต่างอย่างมากมายกับปัจจุบันที่เธอได้มาทำงานที่นี่ จำนวนนักเรียนพอๆ กัน แต่ไม่มีความเครียดอะไรเท่าไร ชีวิตดีขึ้นเห็นๆ สิ่งที่ต้องปรับตัวอย่างเดียวก็คือรายได้ที่ลดลงกว่าตอนอยู่อังกฤษมหาศาล เงินเดือนครูโรงเรียนอินเตอร์ที่พะงันนั้นไม่สูงเลย 

ถ้าจะมีเหตุผลเดียวที่พวกเขาเลือกมาเป็นครูที่นี่ก็คงเป็นเพราะเกาะที่ให้คุณภาพชีวิตที่ดีกับพวกเขาได้ 

แคท ครูใหญ่ประจำโรงเรียนบอกว่าไม่กี่วันก่อน หลังเลิกงานที่โรงเรียน เธอกับสามีไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินกันริมหาด พลางคุยกันว่าดีที่เขาและเธอหลุดออกมาจากกับดักชีวิตในลอนดอนได้ เธอพูดถึงการประเมินที่อังกฤษว่าเป็นปัญหาและสร้างความกังวลให้กับบรรดาครูๆ ทั้งหลายเหมือนกัน มิหนำซ้ำการตรวจสอบดูจะเข้มข้นและเอาจริงเอาจังกว่าที่ไทยเสียอีก โดยปกติจะมีการแจ้งก่อนการเข้าไปประเมินแค่ 24 ชั่วโมงล่วงหน้า นั่นทำให้พวกเธอและทีมงานต้องกระฉับกระเฉงและเตรียมพร้อมอยู่ทุกขณะ และเมื่อต้อนรับคณะตรวจสอบก็ต้องรู้ว่าควรจะตอบอะไร คำตอบแบบไหนที่ผู้ประเมินอยากได้ยิน ทั้งที่บางทีสิ่งที่ตอบนั้นอาจไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเลยว่าพวกเธอดูแลเด็กๆ ได้ดีเพียงใด

ปีก่อนผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ David Graeber นักมานุษยวิทยาและนักอนาธิปไตยผู้ซึ่งล่วงลับไปไม่นานมานี้ หนังสือชื่อ Bullshit Job เขาเล่าถึงการงานหลายอย่างในโลกปัจจุบันว่านอกจากมันจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงแล้วยังทำลายความน่าอยู่ในสังคมอีกต่างหาก 

เวลาเราอ่านหนังสือแล้วได้มาเห็นเหตุการณ์จริงก็ทำให้เรื่องที่ Graeber เขียนเอาไว้ดูสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น 

ผมไม่ได้มีปัญหากับการประเมินหรือการตรวจสอบ แต่หากการประเมินนั้นไม่ได้มีเป้าหมายอื่นใดนอกจากเพื่อได้ประเมิน ผมคิดว่ามันคือ ‘การงานที่ไร้ค่า’ ข้อมูลทั้งตัวอักษรและตัวเลขในรายงานนั้นไม่ได้บอกอะไรกับใคร นอกจากบอกเพียงแค่ว่าได้ทำ (ประเมิน) แล้ว งานเหล่านี้กินเวลาและบั่นทอนบุคลากรทางการศึกษาที่ทำหน้าที่จริงๆ ในการโอบอุ้มและดูแลให้เยาวชนเติบโตขึ้นมาเป็นมนุษย์ที่ดี 

มีเรื่องขำๆ อีกเล็กน้อยในบทสนทนาของคณะผู้ประเมินกับครูที่โรงเรียน ผู้ประเมินถามว่าพวกคุณให้คะแนนตัวเองว่าดีเลิศได้อย่างไรในเมื่อมีเด็กจำนวนหนึ่งได้เกรดต่ำกว่า 3 

ผู้ประเมินคิดว่าการที่จะบอกว่าตัวเอง (โรงเรียน) ดีเลิศได้นั้น เด็กๆ ควรจะได้เกรด 3 ขึ้นไปทุกคน ครูต่างชาติท่านหนึ่งตอบกันเองภายในวงสนทนาของโรงเรียนว่ามาตรฐานหรือเกรดของแต่ละชาตินั้นไม่เหมือนกัน เกรด 3 ของไทยไม่เหมือนกับของญี่ปุ่นหรืออังกฤษ เด็กเข้าใหม่บางคนได้เกรดต่ำนั้นเป็นเรื่องจริงอันแสนธรรมดา 

เธอไม่เห็นว่าการที่เด็กบางคนได้เกรด 1 หรือ 2 นั้นจะเป็นปัญหา หากแต่มันคือความท้าทายว่าบรรดาครูประจำชั้นและโรงเรียนจะช่วยผลักดันให้เด็กคนนั้นๆ ดีขึ้นได้อย่างไรในเทอมนี้หรือเทอมถัดๆ ไป การประเมินเด็กๆ อย่างจริงใจเพื่อให้รู้จุดอ่อนจุดแข็งของเด็กแต่ละคนจะทำให้พวกเขาทำงานได้ดีและเข้าเป้ากว่า และนี่คือหนึ่งในงานที่พวกเขาภูมิใจและยึดมั่นว่ามันคือการงานที่ดีเลิศ 

อยู่พะงันมาเกือบปี จะมีก็วันที่เข้าไปเห็นการข้องเกี่ยวจากส่วนกลางของรัฐไทยครั้งนี้แหละที่ทำให้ตระหนักได้ว่า นี่กูยังอยู่ในเมืองไทยนี่หว่า

ด้วยรักและมิตรภาพ

จ๊อก

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

ตั้งแต่กลุ่ม กปปส. (ยังจำได้มั้ย) ใช้ธงชาติเป็นสื่อสัญลักษณ์แสดงพวกพ้อง แนวคิด และเป้าหมายอะไรบางอย่าง ความรู้สึกต่อธงและแถบสีแดง ขาว น้ำเงิน ของเราก็เปลี่ยนไปเลย ในอดีตเคยรู้สึกดีนะ เช่น ตอนนักบอลทีมชาติไทยแข่งกับชาติอื่น ก่อนเกม สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติกันมาก็คือเปิดเพลงชาติ เราจะได้เห็นธงชาติ มันสร้างจุดร่วมเสริมพลังฮึกเหิมได้ดีเหมือนกัน ซึ่งนั่นคือกีฬาน่ะ ถึงเวลาแข่งก็แข่ง สู้กันในเกม ผ่านพ้นเก้าสิบนาทีก็แยกย้าย

ความหมายของธงน้อยลงเรื่อยๆ เราเห็นอย่างนั้นนะ เรียกว่านอกสนามมวย สนามบอล หรือพ้นจากมิติเกมกีฬา นับวันธงชาติไทยดูจะมีความหมายไปทางโฆษณาชวนเชื่อมากกว่า พยายามยัดเยียดทุกแปดโมงเช้า หกโมงเย็น แต่สัญลักษณ์ที่มุ่งเน้นหล่อหลอมอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เวลาผ่านไปๆ ข้อมูลไหลออกมามากขึ้นๆ คล้ายมนต์ขลังมันจืดจาง ว่างเปล่า กลายเป็นยาหมดอายุ

ธงชาติไทยไม่มีเยื่อใยของความเป็นมิตร ไม่มีอะไรใกล้ชิดกับประชาชน ถามจริงๆ คุณยังรู้สึกดีอยู่หรือ ใครกี่คนที่เห็นธงชาติแล้วรู้สึก ‘ร่วม’ ในความเป็นชาติ นึกๆ ดู แม้แต่ความหมายที่เป็นฉันทามติต่อคำว่า ‘ชาติ’ เราก็ไม่เห็น ฟังไม่รู้เรื่องน่ะสรุปง่ายๆ ทั้งที่หลายคนพยายามอธิบายว่าความหมายของชาติคือประชาชน สิบปีมานี้ไปไหนมาไหนก็ได้ยินอยู่เรื่อย แต่เชื่อมั้ยว่าแท้จริงสิ่งนี้ก็ยังไม่ใช่ฉันทามติ มันเลยงงๆ ตกลงรัฐไทยสมัยใหม่มันเป็นแค่หมู่บ้านกระจัดกระจาย เป็นรัฐอิสระ เป็นรัฐซ้อนรัฐ หรือยังไงแน่

เช่นนี้แล้ว จะแปลกอะไรที่เจ้าศิลป์มันไม่รู้ คืออย่าว่าแต่เด็กเลย เจอเพื่อนฝูงเมื่อไร คุณลองไล่หาความหมายแดง ขาว น้ำเงิน บนธงผืนนั้นดู ไม่รู้สิ ให้เดา เราว่ามันเบาหวิวมากเลย ล่องลอย หาจุดร่วมไม่ได้ (ยังไม่ต้องพูดเรื่องความรัก) ความเป็นชาติมันอาจถูกวางไว้สูงเกินไป ห่างไกล สัมผัสแตะต้องไม่ได้ ส่วนการวิจารณ์นั้นก็อย่างที่รู้ เด็กหนุ่มเด็กสาวหลายคนแค่ลุกขึ้นมาถามยังติดคุก

ได้ยินคำว่า ‘การงานที่ไร้ค่า’ ของคุณแล้วเราคิดถึงทหาร บ้านเมืองของเราปล่อยให้ทหารใหญ่เกินไป มีอำนาจมากเกินไป มีจำนวนมากเกินไป นั่นคืออดีตซึ่งผ่านมาแล้ว แก้ไขไม่ได้ ทหารอาชีพหลายพันหลายหมื่นคนไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เพียงแต่พวกเขาและเธอสังกัดอยู่ในวิชาชีพที่อาจเรียกว่าจำเป็นต่อยุคสมัยน้อย สิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง

กำหนดให้เป็นวาระเร่งด่วนอย่างยิ่งคือการลดขนาดกองทัพ เพราะเมื่อลด งบประมาณและบุคลากรย่อมลดลงทันที เราว่ามันโหดร้ายมากที่ทุกวันๆ กองทัพยังจ้องวิ่งไล่จับแรงงานหนุ่มสาวเข้าไปเป็นกองกำลังที่ล้นเกิน ใช้จ่ายล้นเกิน มันน่าเสียดาย เราควรเอาคน เอาเงิน เอาเวลาและทรัพยากรที่มีคุณค่าไปใช้ในเรื่องที่มีคุณค่า

สัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้คุยกับหนุ่มสวิสคนหนึ่งชื่อ Vincent เขาลาออกจากอาชีพพยาบาลเพื่อเดินทางไกลหนึ่งปี (หรือจนกว่าเงินจะหมด) จากภูมิลำเนาในซูริค เขาบินไปอินโดฯ แล้วเข้ามาไทย เข้าใจว่าวันนี้น่าจะอยู่ลาว (เขาแพลนเรื่องพิกัดไว้หลวมๆ สนุกก็อยู่นาน น่าเบื่อก็ไปต่อ) Vincent เคยเป็นทหาร เป็นเพราะถูกบังคับ (คล้ายทหารเกณฑ์บ้านเรา) ข้อแตกต่างคือคนสวิสเลือกได้ว่าจะไปเป็นทหาร (18 สัปดาห์) หรือไปทำ social works หรือจ่ายเงิน (สามเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน / จำไม่ได้ว่าเป็นระยะยาวนานเท่าไร)

พยาบาลหนุ่มวัยยี่สิบสามรายนี้ (เกิดตุลาคม 1998 / เขาย้ำว่ายังไม่ยี่สิบสี่) เลือกไปเป็นทหาร (ไม่ได้ชอบ แค่อยากรู้ อยากลอง) ลองแล้วรู้แล้ว เขาขอเลิก ย้ายไปทำ social works (เช่น ช่วยงานในโรงเรียน ดูแลสวนสาธารณะ ป่าไม้ ฯลฯ) เขาไม่เข้าใจ เมื่อเราบอกว่าเมืองไทยเลือกไม่ได้ (จะเลือกก็ได้ ในตัวเลือกดังนี้คือ หนึ่ง, เรียน รด. สอง, จับใบดำใบแดง สาม, จ่ายเงิน ข้อหลังนี้ไม่โปร่งใสตรงไปตรงมาเหมือนสวิส จ่ายแปลว่าติดสินบน) Vincent เห็นเหมือนเราว่าการงานของทหารไม่รับใช้ ไม่ตอบโจทย์ ไม่ฟังก์ชั่นกับโลกวันนี้ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาจำนวนมากก็ล้วน stupid เขารับไม่ได้ เขารังเกียจวัฒนธรรมทหาร มันผลาญทรัพยากรเกินไป มันทำลายชีวิตและความฝันของคนหนุ่มสาว

ไอ้หนุ่ม Vincent คนนี้ขี่มอไซค์และขับรถยนต์ไม่เป็น เขาปั่นจักรยานไปทำงาน เมืองที่อยู่ไม่มีเหตุผลต้องใช้รถยนต์ เพราะระบบขนส่งมวลชนตอบสนองความต้องการครบ เขาทำงานปีเดียวก็มีเงินเที่ยวทั่วโลก ที่ลาออก ก็ด้วยปรารถนาศึกษาเรียนรู้ความหลากหลาย ลิ้มลองอาหารแปลกรส สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆ คบหาผู้คนใหม่ๆ การเดินทางคนเดียวเปิดโอกาสให้บทสนทนาเกิดขึ้นง่าย.. เงินหมดเมื่อไรค่อยกลับไปหางานทำ อาชีพพยาบาลตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เรียกว่าถ้าไม่เกียจคร้านเกินไป ไม่มีวันเดินเตะฝุ่น

ไทยแลนด์กับสวิตเซอร์แลนด์ไม่เหมือนกันหรอก ที่เล่ามาก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่เหมือน เพียงแต่หลายอย่างอันเป็นเรื่องสากล เราว่ามันทำได้นะ ถ้าผู้นำประเทศไม่ได้เติบโตมาจากการสมาทานอุดมการณ์ทาส ในมือไม่มีปืน และในหัวมีสมอง.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...