the letter

มนต์ขลังของหนังสือ

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

เรื่อง Kibbutz ของอิสราเอลยังคงไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเล่าในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า

ตอนนี้มีหนังสือที่อ่านไปพร้อมๆ กันอยู่ 4-5 เล่ม และเรื่องอิสราเอลก็ยังไม่อยู่ในความสนใจในตอนนี้ ไม่รู้ว่าพี่หนึ่งเป็นไหมครับ เดี๋ยวนี้ผมอ่านหนังสือทีละหลายเล่มไปพร้อมๆ กัน คือบางทีอ่านบางเล่มแล้วเบื่อก็เปลี่ยนไปอ่านเล่มที่เราสนใจก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านเล่มเดิมต่อ การอ่านแบบนี้อาจต้องแลกมาด้วยการที่เราต้องพกหนังสือไว้ใกล้ตัวทีละหลายเล่ม และอาจทำให้เราขาดอรรถรสความต่อเนื่องในเล่มนั้นๆ แต่สิ่งที่ได้มาก็คือการไม่ต้องทนฝืนกลืนหนังสือเพียงเล่มใดเล่มหนึ่ง และที่สำคัญก็คือการได้คิดปะติดปะต่อเชื่อมโยงของสาระเนื้อหาของหนังสือแต่ละเล่มซึ่งอาจเชื่อมโยงหรือสอดคล้องกันพอดี

ไม่กี่เดือนก่อนผมเพิ่งมีโอกาสได้เข้าร้านหนังสือมือสองซึ่งตอนนี้น่าจะมีอยู่แค่แห่งเดียวในเกาะ 

ผมสอยมาอ่านสองสามเล่มแล้วก็พบว่าการซื้อหนังสือจากร้าน – อันหมายถึงการหยิบมันมาพลิกอ่านดู สัมผัสกระดาษ ดมกลิ่น เปรียบเทียบมันกับเล่มอื่นๆ ในหมวดเดียวกัน – สร้างแรงจูงใจในการอ่านมากกว่าการซื้อออนไลน์ การหยิบจับมันตัวเป็นๆ ก่อนตัดสินใจได้มันมานั้นคงสร้างความผูกพันมากกว่าการคลิ๊กหรือกดสั่งทางหน้าจอ

ร้านหนังสือที่ว่านั้นชื่อ Forget me Not จริงๆ ตั้งตามชื่อผลิตภัณฑ์อีกอย่างของเจ้าของร้านคนแคนนาเดี่ยน แกชื่อแพท ทำโยเกิร์ตขายตามร้านกาแฟและร้านอาหารบนเกาะพะงัน แพทเล่าให้ฟังว่าแกเห็นว่าผลิตภัณฑ์จากนมส่วนใหญ่ที่ขายในเมืองไทยนั้นล้วนนำเข้าจากต่างประเทศทั้งนั้น ทั้งที่ประเทศเราก็มีวัวและผลิตน้ำนมได้ ท้ังหมดมันอยู่ที่องค์ความรู้ แกจึงเริ่มทำโยเกิร์ตทดลองตลาดขายแค่บนเกาะพะงันก่อน บังเอิญอยู่เหมือนกันที่ผมมีเพื่อนแคนนาเดี้ยนอีกเหมือนกันชื่อฟิล รายนั้นชอบกรุงเทพฯ และอยู่มาสามสี่ปีแล้ว หลังลาออกจากงานในยูเอ็นฯ ฟิลก็เริ่มทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนมเหมือนกัน เขาเริ่มทำบลูชีสเองด้วยเหตุผลประมาณเดียวกับแพทนั่นคือ ทำไมไม่แปรรูปเองที่นี่ ทั้งๆ ก็มีวัตถุดิบอยู่ 

แพทน่าจะเป็นนักอ่านตัวยง แกจึงแปลงชั้นล่างของร้านเป็นร้านหนังสือขนาดย่อมๆ แกเซ้งหนังสือมือสองจำนวนหนึ่งมาจากร้านหนังสือมือสองที่ปิดตัวไปและเสริมคอลเลกชั่นด้วยหนังสือของตัวเองที่อ่านจบแล้ว ช่วงหนึ่งในบทสนทนาระหว่างเราแพทพูดถึงพวกเรา (นักอ่าน) ว่าเหลือกันอยู่น้อยเสียเหลือเกิน หนหลังที่ผมเข้าไปก็ได้หนังสือติดมือมาหลายเล่มอยู่ แล้วอย่างว่าครับหนังสือมือสองก็มักจะเป็นเล่มที่พิมพ์มานานแล้วทั้งนั้น บางเล่มพิมพ์มาแล้วร่วมสามสิบสี่สิบปี แต่ผมก็ยังอ่านมันได้ทั้งเรื่องทั้งรส ผมว่าสื่อในแต่ละยุคนั้นก็มีไวยากรณ์ของมัน ผมชอบงานเก่าๆ อ่านงานใหม่แล้วบางทีรู้สึกว่ามันพยายามเอาใจหรือกระตุ้น (เอนเตอร์เทน) นักอ่านเกินไป 

เคยฟังใครสักคนหรือหลายคนเล่าให้ฟังว่าหนังสือ non-fiction สมัยนี้มักตีหัวคนอ่านเข้าบ้านด้วยการทำให้บทแรกสนุกที่สุด บทอื่นๆ อาจมีไว้ประกอบสมมติฐานหรือแค่เพิ่มความหนาก่อนจบเรื่อง เท่าที่อ่านๆ มาก็เห็นด้วยอยู่ไม่น้อย เมื่อเทียบกับหนังสือเก่าๆ ที่แนวคิดทางการตลาดมีผลต่องานเขียนน้อยกว่างานเขียนในปัจจุบันก็ทำให้เราอาจพบว่าบทที่ดีที่สุดอาจซ่อนอยู่กลางหรือท้ายเล่มก็ได้  

พูดถึงเรื่องหนังสือนี่เหมือนกับการกลับไปเยือนถิ่นเก่าที่คุ้นเคย ในความทรงจำของผมนั้นมีเกล็ดเล็กเกร็ดน้อยเต็มไปหมด สำหรับผมหนังสือนั้นเป็นทั้งประตูสู่อนาคตและอดีต ผมสามารถเรียนรู้หลายเรื่องใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ในอนาคตจากมัน และในขณะเดียวกันก็สามารถรื้อค้นความหลังครั้งก่อนผ่านการหยิบจับหนังสือเล่มที่เคยอ่าน

จริงๆ แล้ววันนี้ตั้งใจจะเล่าอีกเรื่องแต่สิ่งที่เรียกว่า ‘หนังสือ’ มันพาให้ตัวอักษรพรั่งพรูออกมาง่ายดายซะอย่างนั้น เรื่องที่จะเล่าคือสุดสัปดาห์ที่แล้วผมมีโอกาสได้ขึ้นไปบนเขาที่ลูกชายไปค้างแรมสองสัปดาห์ก่อน ไปด้วยเหตุผลว่าอยากไปดูและไปช่วยดีน ซึ่งตั้งใจจะทำให้มันเป็นค่ายลูกเสือซะเลย แกเริ่มสร้างเพิงเล็กๆ ไว้นอนหลบฝน และเคลียร์พื้นที่รอบๆ รอบนี้แกพาเด็กไปสามคน ลูกพวกเราสองคน และเพื่อนลูกอีกหนึ่ง แกก่อสร้างเพิงจากฝาไม้ที่ไปขโมยมาจากบ้านร้างทรุดโทรมที่อยู่ใกล้ๆ หลังคาก็เช่นกันมุงด้วยสังกะสีเก่าๆ จากบ้านที่กลายเป็นซากปรักหักพังทันทีที่ความคิดสร้างสรรค์เชิงทำลายร้างของดีนบังเกิดขึ้น ส่วนเด็กสามคนก็พากันเอาเศษกิ่งไม้และใบไม้แห้งรอบๆ แค้มป์มาเผาเพื่อให้ผืนดินรอบโล่งเตียน เสร็จภาระกิจดีนพาเด็กไปรับรางวัลด้วยการแช่บ่อน้ำในน้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ ส่วนผมก็นั่งเฝ้าฐานทัพอย่างเงียบๆ และคอยเดินหาเศษไม้มาโยนเข้ากองไฟ 

นับเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาที่ผมโปรดปรานพอๆ กับการอ่านหนังสือเลยทีเดียว กลิ่นควันไฟ เสียงฟืนปะทุ แสงสีส้มของเปลวไฟ ให้ความรู้สึกสงบและบางทีทำให้จินตนาการเตลิดไปถึงอดีตกาลที่มนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ต้องรู้จักการสร้างและใช้ ‘ไฟ’ เพื่อให้มีชีวิตรอด 

จริงๆ บริเวณที่ทำสเก้าต์แค้มป์ (เรียกอย่างนี้ผมรู้สึกว่าเท่กว่า ‘ค่ายลูกเสือ’ เป็นไหนๆ) นั้นเป็นสวนเก่าที่ถูกทิ้งร้าง พื้นที่โดยรอบจึงไม่ได้รกเท่าไร ผมเข้าใจว่าที่ดินที่ดีนกำลังเล่นสนุกอยู่นี้เป็นของใครสักคนแน่ๆ เวลาที่ได้ยินเสียงรถผ่านมาทีไรใจผมมักเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ คือกลัวกว่าเจ้าของที่จะเข้ามาถามหรือตำหนิว่ามาทำอะไรในที่ของเขาได้อย่างไร ดีนบอกกับผมว่าเคยคุยและบอกกล่าวกับมนุษย์คนหนึ่งในบริเวณแห่งนี้แล้วว่าตั้งใจจะทำอะไร แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาคุยกันด้วยภาษาอะไรและคุยกับใคร ดีนบอกกับเราว่าไม่เป็นไร ถ้าเจ้าของที่มาห้ามใช้ประโยชน์ เขาก็จะยินยอมออกจากพื้นที่อย่างโดยดี 

ผมฟังคำตอบดีนแล้วรู้สึกว่าเหมือนอยู่กับมนุษย์ต่างสายพันธุ์กับผม เขาเป็นสายพันธุ์ประเภทที่ปราศจากความกลัว เชื่อมั่นในตัวเองอย่างสูง และยินดีที่จะใช้เวลาทำแล้วค่อยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องๆ ไปซะมากกว่าเสียเวลาวางแผนให้ซับซ้อน

ส่วนผมซึ่งเป็นนักอ่านนั้นน่าจะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ห่างจากสายพันธุ์ของลูกพี่ดีนอย่างสิ้นเชิง เราคบหากันด้วยความเชื่อมโยงในมิติอื่น อาทิ รักเพื่อนมนุษย์ และเกลียดสิ่งที่คอยบงการและขูดรีดเอาเปรียบมนุษย์ตัวเล็กๆ (สำหรับดีนก็น่าจะหมายถึงสมาคมลับที่ชื่ออิลลูมินาติ ส่วนผมหมายถึงอะไรพี่หนึ่งก็น่าจะรู้อยู่) 

ความเชื่อมโยงที่มีเล็กๆ แค่นี้ทำให้คนที่มีความแตกต่างจนแทบจะตรงกันข้ามอยู่เป็นเพื่อนบ้านกันมาก็จะร่วมปีแล้ว จากผู้เช่าและผู้ให้เช่าบ้านที่สร้างจากขวดพลาสติก เริ่มพัฒนาเป็นเพื่อนบ้าน จนเป็นเพื่อน และตอนนี้ถ้าจะใช้คำว่า ‘ครอบครัว’ ในความหมายของความรู้สึกเป็นพี่เป็นน้อง ผมก็ไม่กระดากปากที่จะเรียก

รัก

จ๊อก

ปล. ไม่กี่วันก่อนมีเรื่องที่ผมโคตรดีใจเกิดขึ้นอีกเรื่อง ช่วงนี้ศิลป์อินกับหนังสือชุดหนึ่งที่ชื่อ The 13-Storey Treehouse เขาเริ่มอ่านเล่มแรกของซีรี่ส์นี้จากห้องสมุด ชอบจนขอให้เราซื้อมาทั้งชุด (เพราะห้องสมุดมีไม่ครบ) แทนที่จะให้พ่อหรือแม่อ่านหนังสือให้เขาฟังตามปกติ คืนวันนั้นศิลป์ปล่อยให้ผมนอนอ่านหนังสือของผม ส่วนเขาก็อ่านหนังสือเล่มโปรดพลางหัวเราะความกวนของตัวละครของสองคนในเรื่องเป็นระยะๆ เกือบเจ็ดปีที่เราอ่านหนังสือให้ลูกฟังเกือบทุกคืน วันนี้ศิลป์เต็มใจอ่านหนังสือด้วยตัวเอง ผมรู้ว่ารูปพ่อลูกนอนอ่านหนังสือด้วยกันบนเตียงเป็นภาพที่สวยภาพหนึ่ง และควรส่งไปให้พี่ดู แต่อย่าดีกว่า เดี๋ยวใครๆ จะอิจฉาตาร้อนคนหลงลูกชายอย่างผมไปกันใหญ่ 555 

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

ตอบจ๊อกๆๆๆ สังเกตความห้วนของตัวเองมาสักพักแล้วละ คือไม่ว่าขึ้นต้นหรือลงท้าย ขณะที่ฝ่ายคุณเปิดเปลือยบอกเล่าอารมณ์ แสดงความรู้สึกน้อยมากหนักเบาสม่ำเสมอ ฝ่ายเรายังพูดอยู่คำเดียวว่า ‘ตอบจ๊อกๆๆ’ รักก็ไม่พูด คิดถึงไม่เคยบอก รำคาญก็ทำเฉย คนหรือก้อนหินวะกู เออ ลองดูกันต่อไปว่าสิ่งมีชีวิต ? ชนิดนี้จะมีพัฒนาการใดหรือไม่

พูดเรื่องหนังสือ การงานของเราทั้งคู่ว่าไปมันก็ขัดแย้งหน่อยๆ กับประเด็นที่คุณว่ามา คือเอนจอยหนังสือเก่าและเรื่องเล่าโบราณ แต่เรื่องเงินๆ งานๆ มันมาจากการผลิตหนังสือใหม่ โรงพิมพ์อยู่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่มีใครเอางานมาพิมพ์เลย และเช่นกัน, นักเขียนก็จบสิ้น ถ้านอนรอขอกินแต่บุญเก่า งานเก่า สำหรับเรา กินบุญเก่ามันไม่แปลกหรอก มีให้กินก็กินไป (ปัญหาคือเราๆ ท่านๆ มันมีเหรอ) แต่ระหว่างทางมันก็ต้องหมั่นสร้างงานใหม่มานำเสนอ ช้าเร็ว ว่ากันไป ดีเลว ไม่รู้ ที่รู้ๆ ตราบเท่าที่ยังมีชีวิต เราก็ต้องคิดต้องเขียน เสมือนหนึ่งชาวนา ฝนมาก็เตรียมเพาะกล้าหว่านไถ ปีนี้ข้าวจะได้ราคามั้ย นก หนู หนอน แมลง จะรบกวนกี่มากน้อย ไม่รู้ หน้าที่และชีวิตคือผลิตข้าว วิถีมันเกินกว่าคำถามและความรัก หรือชัง

ไม่ใช่แค่เนื้อหาหรือวิธีสื่อสาร แม้แต่ดีไซน์ เชื่อมั้ยหลายครั้งเราว่าหนังสือเก่าก็ทำได้ดีกว่า คล้ายบ้านและวัดวาหลายๆ แห่ง ของใหม่หรือรสนิยมร่วมสมัยสู้ของโบราณไม่ได้เลย แต่ก็นั่นแหละ พูดแบบนี้ถึงที่สุดมันก็เคสบายเคส ต้องดูเป็นเล่มๆ วิเคราะห์กันเป็นเรื่องๆ สรุปเหมารวมไม่ได้ กระทั่งถ้าบอกว่าของเก่าดีกว่าทั้งหมด โลกนี้ก็คงสิ้นไร้เสน่ห์ หมดความหวัง เราจะมีชีวิตไปทำไมกัน ถ้าอะไรๆ มันก็ถอยหลังลงคลองไปเสียทั้งหมด

สัปดาห์นี้เราดีใจกับการซื้อหนังสือใหม่สองเล่ม หนึ่งคือ ‘ฤดูกาลประชาชน’ บทสัมภาษณ์โดย ธิติ มีแต้ม และอีกหนึ่ง ‘ข้างขึ้น ข้างแรม’ ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ และ ขรรค์ชัย บุนปาน อยากอ่านทั้งสองเล่ม เชื่อถือในฝีไม้ลายมือ ดีใจที่ได้สนับสนุนสินค้าที่ดี จากผู้ผลิตคุณภาพ (ฟ้า พูลวรลักษณ์ เคยบอกเราว่าบางวันเดินเข้าร้านหนังสือ เขาจ่ายเงินเป็นหมื่นๆ และหอบหนังสือออกมา เขารักกิจกรรมนี้ และภาคภูมิใจที่มีส่วนสนับสนุนโลกหนังสือ มันเป็นธุรกิจที่น่ายืนเคียงข้าง –เราชอบไอเดียเขามาก เชียร์สสส ให้คนมีตังค์เหลือใช้ที่รักการอ่าน รักความรู้และการพัฒนา ทำแบบที่คุณฟ้าทำ)

ก็นั่นแหละ ที่สุดคำตอบคงเป็นเรื่องผสมผสาน ของโบราณส่วนไหนดี สปิริตน่าสนใจ ก็เก็บกักรักษาต่อยอด และปีกอีกข้างก็ทุ่มเทเวลาค้นหาความสมบูรณ์แบบใหม่ๆ บินไปข้างหน้า คล้ายทีมฟุตบอลที่ผสมผสานระหว่างตัวเก๋ากับดาวรุ่ง ใช้จุดแข็งของประสบการณ์และพละกำลังมามัดรวม ทำงานร่วมกัน ซึ่งมันจะเกิดสิ่งใหม่ไปอย่างไม่สิ้นสุด นี่คือข้อดีของความหลากหลายและการข้ามขนบสายพันธุ์ ถึงบรรทัดนี้ หากเรารู้สึกสนุกกับหนังสือเก่าก็ร่ายรำดำดิ่งไปกับมันให้บันเทิง ชีวิตประจำวันเราเสพข่าวสารร่วมสมัยอยู่แล้ว การได้ย้อนไปพินิจพิจารณาการงานของบรรพบุรุษบ้างในบางช่วงเวลาน่าจะทำให้บาลานซ์พอดีๆ

อดีตเราโตมากับหนังสือมือสองโดยแท้ (ไม่มีตังค์ซื้อของใหม่) เข้ากรุงไม่ทันยุคสิงห์ สนามหลวง แต่แผงแบกะดินแถบๆ คลองหลอด และท่าเตียน ท่าช้าง ท่าพระจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีงานรำลึกนั่นนี่ใน ม.ธรรมศาสตร์ ก็เป็นทำเลและโอกาสทองของการช็อป ราคาพอจ่ายไหว และได้ของถูกใจบ่อยครั้ง โลกหนังสือเก่ามันคาดเดาไม่ได้ เหมือนเสื้อผ้ามือสอง ของอย่างนี้ตาดีได้ ตาร้ายก็อาจจะไม่ถึงกับเสียหาย เพียงแต่ได้น้อยหน่อย ถัวๆ กันไป ใครจะได้ของดีทุกครั้ง

ทุกวันนี้เวลาเห็นหนังสือเก่าโผล่มาในหน้าฟีดก็ยังมีหวั่นไหว ทั้งที่ไม่คุ้นกับวงการค้าขายออนไลน์เลย คนมันเคยๆ น่ะนะ ที่ฮาก็คือพออายุมากขึ้น อยู่ในวงการนานเข้า หนังสือเก่าที่ว่ามันก็คือหนังสือเล่มแรกๆ ของเรานั่นแหละ

ปล. สัปดาห์นี้เห็นภาพทำนอง.. ‘พ่อแม่นั่งจ้องมือถือ หนังสืออยู่ในมือลูกน้อย’ หลายครั้ง มันจุกๆ อยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะอย่างไร เราว่าเป็นความจริงที่เปี่ยมด้วยความหวังนะ.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...