สวัสดีพี่หนึ่งจาก I-mac เครื่องเดิม (ที่เคยใช้เขียนจดหมายส่งให้พี่ตั้งแต่ฉบับที่หนึ่ง) บนโต๊ะทำงานตัวแรกที่ผมกับหลินทำร่วมกัน
กลับมาอยู่พะงันประมาณ 1 เดือน เพิ่งจะมีโอกาสจับคอมพ์ตัวเดิมที่เคยใช้มาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่เกาะแห่งนี้ คอมพ์ตั้งโต๊ะก็ต้องมีโต๊ะ เมื่อไม่มีโต๊ะ มันก็เป็นแค่เหล็ก พลาสติก และแผงวงจรที่ไร้ประโยชน์ การลงทุนซื้อเครื่องไม้เครื่องมือประกอบสร้างของใช้ต่างๆ ในบ้านที่เรากำลังสร้างนั้นไม่อนุญาตให้ผมซื้อโต๊ะมาใช้ได้ทันที ต้องคล้อยหลังไปเกือบเดือนกว่าจะมีโต๊ะทำเองที่ขาเอียงๆ มาให้ผมใช้พิมพ์จดหมายถึงพี่
งานบ้านเป็ดไก่สไตล์นอร์ทแคโรไรน่าคืบหน้าไปพอสมควร งานโครงสร้างและหลังคาเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้เหลือผนังเบาและรั้วตาข่ายที่น่าจะใช้เวลาอีกไม่กี่วัน ทำไปทำมาผมกับหลินก็หมกหมุ่นอยู่กับมันเสียจนลืม และพลาดนัดหมายต่างๆ นานาที่โรงเรียนไปแทบทุกนัด บางวันก็ทำจนลืมเวลาไปรับลูกกลับจากโรงเรียนด้วยซ้ำ ผมเริ่มคิดว่าต้องจัดตารางเวลากันใหม่ให้ดี จะมัวมาก่อสร้างจนพลาดนัดหมายอย่างนี้นานไปอาจไม่ดี นี่ยังไม่นับงานการเล็กน้อยที่กรุงเทพฯ ที่ผมก็ควรจะมีเวลาให้ด้วย
ในขั้นตอนประกอบรั้วตาข่าย เราต้องใช้ไม้มายิงประกบกับโครงสร้างเหล็กเพื่อยึดตาข่าย ดีนพาผมไปโรงไม้ใหญ่ในตัวเมืองท้องศาลา เขาขับรถเข้าไปในลานไม้อย่างมั่นใจแล้วเลี้ยวอ้อมไปบริเวณด้านหลัง ลงจากรถก็ชี้ให้ผมดูกองเศษไม้เก่าๆ ที่ถูกคัดทิ้งไว้กองอยู่ริมขอบกำแพง ดีนให้ผมถามราคากับพนักงานชาวพม่าแล้วได้ความว่าราคาไม้พวกนี้ถูกกว่าไม้ในร้านกว่าครึ่ง เขาเลือกไม้ที่สภาพยังพอใช้ได้แล้วขอให้พนักงานเอาไปผ่าให้เหลือความกว้าง 7 ซม. ก่อนที่โยนขึ้นหลังรถ
ดีนเล่าให้ผมฟังว่าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในบ้านขวดพลาสติกของเขาที่ Coconut Lane นั้นใช้ไม้เศษๆ เหล่านี้ทั้งนั้น ว่าไปการแปลงของถูกๆ ให้ดูดีมีราคาขึ้นมานั้นเหมือนจะเป็นแพสชั่นของเพื่อนชาวอังกฤษคนนี้ของผม
กลับมาถึงไซต์ก่อสร้างบ้านเป็ดไก่ ดีนก็สาธิตให้ผมดูว่ากบไสไม้ (plainer) นั้นทำอะไรได้อีกนอกจากขัดผิวไม้ให้เรียบเสมอกัน เขาจับมันตะแคงแล้วไสไปตามขอบมุมของแผ่นไม้เพื่อลบเหลี่ยม ระหว่างรอลูกพี่ใหญ่ประกอบชิ้นส่วนอื่นๆ เข้ากับกรง ผมก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการใช้กบขัดเศษไม้ที่ซื้อหามาตามคำชี้แนะของอาจารย์ใหญ่ ตอนเริ่มทำก็ตะหงิดๆ อยู่ในใจแล้วว่าเรายังจัดวางโต๊ะและท่าทางในการทำงานไม่เหมาะ แต่ก็ยังระวังตัวและทำงานไปได้อย่างช้าๆ จนกระทั่งเริ่มกลับมาทำในช่วงที่สองหลังพักเหนื่อยเท่านั้นแหละ ความประมาทจากการขาดสติก็สร้างแผลแรกให้กับนิ้วชี้มือซ้ายทันที
ผมหยิบกบไสไม้แล้วกดปุ่มเดินเครื่องก่อนจะเอามือซ้ายไปโอบประคองด้านของล่างตัวเครื่องซึ่งมีดขัดไม้กำลังหมุนปั่นด้วยความเร็วหมื่นหกพันห้าร้อยรอบต่อนาที มีดปั่นหนังหุ้มข้อนิ้วชี้ข้างซ้ายเป็นแผลเหวอะหวะ ผมร้องบอกหลินว่าประสบเหตุ ก่อนจะเดินกลับมาล้างแผลที่บ้าน แล้วรอให้หลินช่วยหยุดเลือดและทำแผลให้
พอลซึ่งวันนี้มาช่วยงานด้วยเห็นรอยหยดเลือดที่พื้นจึงเดินมาดูแผลด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่าไม่เป็นไร ก็หยอกกับผมว่า ตั้งแต่เขาเกิดมาน้อยครั้งมากที่จะพบว่ามีใครประสบภัยจากกบไสไม้ ก็ใบมีดมันซ่อนอยู่ด้านล่างซะขนาดนั้น ใครกันจะเซ่อซ่าหาเรื่องเอามือเข้าไปแหย่ตรงนั้น (ฮา) ส่วนดีนดูไม่ตกอกตกใจ เขาคงคิดว่าการเลือดตกยางออกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของงานช่างอยู่แล้ว หนำซ้ำเขายังแนะนำหมอประจำครอบครัวเราว่า แทนที่ล้างแผลแล้วจะใช้พลาสเตอร์ยาพันปิดไว้ หลินควรใช้กาวตราช้างมาหยอดจะดีกว่า
ฟังในแวบแรกก็คิดว่าเป็นมุขตลก แต่เมื่อถามอีกทีดีนก็ยังยืนยันในความเห็นนั้น เขาเล่าว่าตอนเป็นนักดนตรี เขาสมานแผลที่นิ้วมือเวลาสายกีตาร์บาดด้วยกาวตราช้าง (Super Glue) อยู่บ่อยๆ หยอดเสร็จไม่เท่าไรก็จับกีตาร์เล่นต่อได้ หลินฟังแล้วนึกย้อนไปถึงเคสผ่าตัดบางเคสที่เธอเคยใช้กาวพิเศษหยอดเพื่อหยุดเลือด เธอเล่าว่ากาวทางการแพทย์หลอดเล็กๆ นั้นราคาเป็นหมื่น ดีนฟังแล้วตอบว่าอุตสาหกรรมยาและการแพทย์นั้นมีไว้ทำเงินซะมากกว่าช่วยเหลือคน กาวตราช้างนั้นหลอดนึงแค่ 25 บาท ทำไมพอแปะป้ายว่า Medical Grade ราคาถึงพุ่งสูงไปได้ขนาดนั้น
เช้าวันถัดมาผมถามพี่โด่งกับพี่สุด สองคู่หูผู้รับเหมาที่กำลังก่อสร้างบ้าน (คน) ให้กับพวกเราอยู่ว่า เคยใช้กาวมาหยอดแผลบ้างไหม พวกเขาส่ายหน้าแต่ก็ยอมรับว่าทฤษฎีของดีนนั้นมีเหตุผลอยู่ พี่โด่งว่าเขาเคยหยุดเลือดจากบาดแผลขนาดใหญ่ด้วยยาเส้นซึ่งมีสารให้เลือดแข็งตัว แม้หยุดเลือดได้แต่พอที่ไปโรงพยาบาลก็มักจะโดนพยาบาลบ่นว่าเอาของแบบนี้มาสัมผัสบาดแผลทำไม เล่าเสร็จพี่โด่งก็บอกกับช่างมือใหม่ให้เอาเสื้อใส่ในกางเกงให้เรียบร้อยก่อนเริ่มทำงาน เพราะชายเสื้อที่รุ่มร่ามอาจหลุดเข้าไปในเครื่องจักรแล้วสร้างความยับเยินให้กับร่างกายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ตกบ่ายดีนเข้ามาช่วยทำกรงต่อ ระหว่างพักเบรกช่วงบ่ายแก่ๆ หลินเสิร์ฟเบียร์เย็นช่ำให้พวกเราคลายเหนื่อย ขณะจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ดับกระหาย ดีนหันหน้ามามองเชิงถามผมว่ายูไม่ดื่มหรอ ผมบอกว่าติดนิสัยมาจากตอนทำงานโรงพิมพ์ที่เรามีกฏเหล็กไม่ดื่มของมึนเมาระหว่างการทำงานกับเครื่องจักร (อีกทั้งยังเข็ดกับแผลที่ยังระบมอยู่จากกบไสไม้เมื่อวานก่อน – ขนาดไม่ดื่มยังโดนเลย ถ้าดื่มแล้วจะขนาดไหน)
ดีนพยักหน้าว่าเข้าใจ แต่สำทับว่านี่ตรงกันข้ามกับวงการดนตรีที่เขาเคยคลุกคลีอยู่หลายสิบปีในกาลก่อนเลย พวกเขาดื่มเบียร์ เล่นโค้ก (Cocaine) หรือสปีด (Speed) กันตั้งแต่เช้าก่อนเริ่มงาน ตกบ่ายๆ จึงจะเริ่มหาอาหารมื้อแรกกิน เพราะฉะนั้นเบียร์หรือ Spliff (กัญชาผสมบุหรี่) ระหว่างการทำงานนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับเขา (ฮา)
ในช่วงสองสามวันมานี้บรรดาช่างทุกคนที่ผมได้พบเจอก็ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก บาดแผลเหล่านี้แหละที่จะเป็นสิ่งเตือนสติ หรือตัวส่งสัญญาณให้ระมัดระวังมากขึ้นในครั้งต่อๆ ไป ตราบใดที่ผมยังหัดและฝึกฝนในเรื่องราวที่ไม่ถนัดเหล่านี้อยู่ เรื่องในทำนองขาโต๊ะเบี้ยวหรือนิ้วแหว่งคงจะปรากฏในจดหมายฉบับต่อๆ ไปอีกสักพัก
ด้วยมิตรภาพและความยินดีต่อการเริ่มก่อสร้างโครงการคู่ขนานที่น่านของพี่จิ๋ว พี่เจงครับ
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
เป็นครั้งแรกที่มีกิจกรรม ‘ยืน-หยุด-ขัง’ ที่น่าน สองหนุ่ม ‘ติ๊กต่าย’ รับไม้แบมตะวัน เปิดหน้าสู้เพื่อปลดปล่อยนักโทษการเมือง ขออนุญาตลาไปเฝ้ารายงานข่าว แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue