สวัสดีครับพี่หนึ่ง
ขออภัยที่ส่งจดหมายให้พี่แบบสัปดาห์เว้นสัปดาห์ในช่วงที่ผ่านมา ว่าไปผมก็หลุดฟอร์มเหมือนกับทีมลิเวอร์พูลในปีนี้อยู่เหมือนกัน เช้านี้ก็อิดออดอยากเบี้ยวส่งจดหมายให้พี่เพื่อสร้างสถิติไม่เขียนส่งติดต่อกันสองสัปดาห์ซะเลย แต่ก็นะ หลายๆ ครั้งมานี้เวลาจะทำอะไรไร้วินัยก็มักนึกถึงคำของลูกชายว่าทำไมไม่ควบคุมตัวเองให้ได้อย่างเขา เช่น ถ้าผมขอให้เขาใส่หมวกกันน็อก ลูกพี่ก็จะย้อนว่าแล้วป๊าล่ะ จนตอนนี้ที่บ้านเรามีหมวกอยู่สามใบบนชั้นวางของ เอาไว้ป้องกันทั้งอุบัติเหตุยามขับขี่ และเป็นเครื่องแสดงความยุติธรรมในครอบครัว (ในสายตาลูกชาย)
วันก่อนมีเหตุให้ผมต้องขอความช่วยเหลือเล็กน้อยจากพี่โด่งอีกครั้ง กรงเป็ดเริ่มมีกลิ่นจากความชื้นที่หมักหม่มอยู่ในฟาง ขี้เลื่อย และเศษใบไม้แห้ง ทางแก้ที่พวกเราเรียนรู้มาคือการตักเศษวัสดุรองพื้นดังกล่าวออกไปแล้วหาอันใหม่ที่แห้งๆ มาโรยแทน ตอนแรกว่าจะไปร้านไม้เพื่อซื้อไม้แล้วขอขี้เลื่อยมาใช้ คิดแล้วก็ดูกลับหัวกลับหางหรือเหมือนการขี่ช้างจับตั๊กแตนไปสักหน่อย ผมยังไม่ได้ต้องการไม้แผ่นหรือไม้กระดานอะไรในตอนนี้ ครั้นจะขับรถไปขอขี้เลื่อยจากโรงเลื่อยที่ไม่รู้จักมักจี่เอาดื้อๆ ก็ดันไม่กล้าซะอย่างนั้น จำได้เลาๆ ว่าน้องชายพี่โด่งทำงานเฟอร์นิเจอร์ไม้อยู่บนเกาะ ก็เลยขอให้พี่โด่ง ผู้รับเหมาประจำโครงการบ้านพักของเราช่วยโทรฯ ไปเกริ่นให้
ผมขับรถไปจอดอยู่หลังร้านพี่ชาญ น้องชายพี่โด่ง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแกไม่เท่าไร เปิดประตูลงไปก็ยกมือไหว้สวัสดีแนะนำตัว พี่ชาญว่าจำผมได้คร่าวๆ เหมือนกันจากการพบปะครั้งหนึ่งในวงเหล้าบ้านพี่โด่ง ผมเล่าว่าตัวเองหัดทำงานไม้กิ๊กๆ ก๊อกๆ อยู่เหมือนกัน พอแกได้ยินก็พาผมเข้าไปชมช็อปงานไม้ขนาดกะทัดรัด แกชี้ชวนให้ดูเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ นานาแล้วบอกถึงความสำคัญของพวกมัน มาถึงเครื่องตัวหนึ่งซึ่งแกเรียกว่าเครื่องไสชิด แกบอกว่าตัวนี้โคตรสำคัญ ปราศจากมันแล้วไม้แต่ละแผ่นจะไร้ความเสถียรในเรื่องฉาก (90 องศา) แกสาธิตให้ดูว่าต้องทำงานกับเครื่องมือตัวนี้อย่างไร ก่อนจบท้ายด้วยการยกนิ้วนางมือขวาซึ่งด้วนไปหนึ่งข้อให้เห็นถึงแสนยานุภาพของมันต่อร่างกายมนุษย์
พี่ชาญเล่าว่าวันที่เกิดเหตุแกวูบจากโรคความดันต่ำ ทำให้นิ้วข้อหนึ่งหลุดเข้าไปในช่องปั่นไม้ ช่างไม้อีกคนที่ทำงานอยู่ใกล้โชว์มือที่นิ้วด้วนไปสองนิ้วให้ดู พลางใช้นิ้วที่ไม่ด้วนชี้ให้ดูว่าเครื่องตัวไหนชิ้นส่วนใดเป็นตัวการ
พวกเขาแสดงบาดแผลให้ผมดูดั่งกับร่องรอยเหล่านี้คือเหรียญตราเกียรติยศของทหารผ่านศึก มันคือราคาที่หลายคนต้องจ่ายเพื่อการงานและปากท้อง ที่ผมรู้สึก (ใครอาจจะด่าได้ว่าผมโรแมนติไซส์) ก็คือมันมีความภูมิใจในน้ำเสียงมากกว่าความเสียใจเวลาพวกเขาพูดถึงบาดแผลเหล่านั้น ถ้าใครผ่านจุดนี้ไปไม่ได้ มัวแต่ฟูมฟายกับความผิดพลาดในอดีตก็คงมีชีวิต (ช่างไม้) ต่อไปยากลำบาก
บาดแผลทำให้พวกเขาระวังมากขึ้นและเป็นบทเรียนให้พวกเขาคอยเตือนคนรุ่นหลัง (อย่างผมและคนอื่นๆ อีกหลายคน) ให้เคารพเครื่องไม้เครื่องมือ
แผลที่นิ้วมือผมจากกบไสไม้ไฟฟ้าเมื่อสองเดือนก่อนสมานไปแล้ว ไม่มีริ้วรอยใดๆ เหลืออยู่ แต่การพบพี่ชาญวันนี้ทำให้ผมนึกถึงและรู้สึกถึงมันอีกครั้ง หลังๆ มานี้ผมใส่ถุงมือและหน้ากากเวลาทำงานเสมอ แม้จะร้อน อึดอัด และไม่คล่องตัว แต่ก็เป็นต้นทุนที่ถูกกว่าการสูญเสียอวัยวะ ว่าไป ที่ลูกชายผมมันเตือนพ่อเรื่องหมวกกันน็อกก็เรื่องเดียวกัน แต่ไอ้พ่อซ่าส์มันดันมองเป็นเรื่องการย้อนซะมากกว่าการป้องกันอุบัติภัย (ฮา)
คุยจบ เราจุดบุหรี่สูบกันคนละตัว ผมขอตัวเดินออกมาโกยขี้เลื่อยใส่กระสอบ บรรจุไปได้สักสองกระสอบ พี่ชาญเดินถือเบียร์กระป๋องเล็กขึ้นมากระดกก่อนออกปากถามว่าเอาสักกระป๋องไหม (เวลาขณะนั้นคือสิบโมงเช้า) แกว่าตัวเองเป็นโรคความดันต่ำ ดื่มเลี้ยงๆ ไว้ทั้งวันความดันจะได้ไม่ตก เช้าสองกระป๋อง บ่ายอีกสองกระป๋อง ตกเย็นเลิกงานก็เมาพอดีและหลับสบาย เอากับแกสิ (ฮา)
นึกๆ ดู ผมกับพี่ไม่ได้พบกันนานแล้วเหมือนกัน สงกรานต์ปีนี้ผมหิ้วเอาขันใส่น้ำเย็นไปรดพี่สักหนึ่งขัน ก่อนราดตัวเองอีกสักขันดีกว่า อากาศช่วงนี้มันร้อนและแห้งซะเหลือเกิน
ขอความสุขและสงบจงมีแด่พี่ครับ
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
นอกจากเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนและป้องกันการย้อนของเข้าศิลป์ คุณอาจจะต้องเคยถูกจับ ถูกปรับสักครั้ง (หรือหลายครั้ง) หมวกกันน็อกจึงเป็นความเคยชิน
ไม่ใช่หรอก แม้ความจริงเราจะเคยถูกจับ/ปรับมาแล้วหนึ่งครั้ง (สามสี่ปีแล้วละ เราสวมใส่เป็นปกติ แต่คนซ้อนไม่ได้ใส่ นึกออกเนาะ บ้านใครมันจะมีหมวกสองใบ เพื่อนมาหา/นั่งซ้อนท้าย เราก็มีแค่ใบเดียวเพื่อสวมใส่ให้ตัวเอง สรุปคือขับไปเจอด่าน) ที่บอกว่าต้องโดนก่อนถึงจะชิน จริงๆ คือแซวเล่น เราว่าใส่บ่อยจะชินไปเอง คล้ายขึ้นรถแล้วต้องคาดเบลต์ มันเป็นอัตโนมัติไปแล้วตอนนี้ ถ้าไม่ทำจะรู้สึกว่างๆ โหวงๆ ไม่สบายตัว หมวกกันน็อกเหมือนกัน (บางคนเรียกหมวกกันตำรวจ) เดี๋ยวนี้จะออกไปไหนใกล้ไกล มือมันจับใส่เองเป็นนิสัย ไม่ใส่แล้วงง หัวโล่งแปลกๆ คล้ายร่างกายขาดอะไรไปสักอย่าง
การมีลูก บางมุมก็เหมือนคนเขียนหนังสือ คือแต่ละบรรทัดมันจะมัดตัวเราไปเรื่อยๆ ผูกมัดและต้องพัฒนา ไม่งั้นสุดท้ายมันจะมีค่าเท่ากับถ่มน้ำลายรดฟ้า กลายเป็นคนเทศนาในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ มัดไม่ได้แปลว่าอึดอัด หรือเคร่งตึง กดดัน negative มัดคือหล่อหลอมให้แกร่ง ชัด พัฒนา ถ้ามัดให้ดี เราว่าในเกลียวเชือกที่แน่นเหนียวแข็งแรงมีความยืดหยุ่นอยู่ด้วย อยู่กับลูกและเขียนหนังสืออย่างถึงที่สุดแล้วจึงอาจหมายถึงเพาะกล้า กำหนด เพื่อจะปลดปล่อย แน่นอนว่าในช่วงเริ่มต้นอนุบาลก็อาจเหนื่อยหน่อย แก้เกมผิดๆ ใช้แรงเยอะ แต่เกิดผลน้อย ต่อเมื่อเริ่มจับทางได้ก็คงค่อยผ่อนคลาย หายใจหายคอโล่ง กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
สองสามสัปดาห์มานี้ ขณะที่คุณว่ายเวียนทบทวนอยู่กับเรื่องบาดแผล (ที่ต้องเอาให้ผ่าน) ทางน่านก็ชุลมุนและสนุกสนานกับการรับแขก เริ่มจากคณะ ‘ทะลุฟ้า’ ที่นำโดย ไผ่ จตุภัทร์ ช่วงนี้มีโปรแกรมทัวร์ภาคเหนือ เตรียมจับตาเฝ้าระวังเกมการเมืองก่อนเลือกตั้ง เจอเขาทุกครั้งปกติมีเวลาน้อย (เช่น ในคุก ในม็อบ) รอบนี้กินนอนบ้านเดียวกันก็เลยได้เห็นอีกหลายมุม ได้ฟังทัศนะและการงานของเขาละเอียดกว่าแต่ก่อน ฟังแล้วก็ทึ่งน่ะ เป็นคนหนุ่มที่มีไอเดียชัดและเต็มไปด้วยพลังงานอันไร้ขีดจำกัดจริงๆ เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวในขบวน (หลายคนโดน 112 และติดคุกมาแล้ว) ถ้ามีข้อมูลน้อยและมองไกลๆ ก็ง่ายที่จะเข้าใจผิด อ่านไม่ขาด ด้วยเพราะเห็นมุมเดียว เออ ที่แม่งแย่ สังคมของเราก็มักมองกันแบบนี้เสมอ เสพข่าวสารทุกวันคุณคงพอเห็นอยู่ คุณภาพการวิเคราะห์ลดลงสวนทางกับหมอกควันที่เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ และในหลายพื้นที่ชีวิตก็ถูกพิพากษาผิดๆ มาตลอด
ถัดจากคณะไผ่ เป็นคนไต้หวัน ไม่ได้มีสัมพันธ์มาแต่ปางไหน แค่บังเอิญเจอและได้คุย (เหมือนทัวริสต์ทั่วไป เจอหน้าก็ทักทาย) ที่ไม่เหมือนคือลูกพี่แกคุยเอาเป็นเอาตาย (วันละกว่าห้าชั่วโมง การใช้คำนี้คงไม่เว่อร์) เริ่มที่เพียงรู้ว่าเราเขียนหนังสือ เขาก็โวยวายขึ้นมาทันที–ทำไมเขาไม่ได้อ่าน ทำไมประเทศอยู่ใกล้กันเท่านี้ เขาจึงอ่านไม่ได้ ทำไมหนังสือภาษาไทยไม่แปลเป็นภาษาจีน ทำไม ทำไม ทำไม ฯลฯ
ฟังเขาแล้วมันก็สะอึกนะ คือเขาไม่ต้องอ่านหรอก ถ้าไม่ว่าง ไม่รู้จัก ไม่สนใจ ประเด็นอยู่ตรงที่ แล้วถ้าสนใจล่ะ ?
เราคงไม่ต้องแจกแจงความสำคัญ ไม่ต้องเสียเวลาพูดกันว่าประชากรจีนมีเท่าไร นึกออกเนาะ สำหรับคนสติสตางค์ปกติ ยังไงมันก็ต้องคิดต้องถาม ต้องช่วยกันหาคำตอบว่าทำไมหนังสือไทยไม่ได้แปลเป็นภาษาจีน ลองคิดเล่นๆ ก็ได้ เอาแค่กล้าปรับนโยบาย ลดการจ่ายในเรื่องความรักที่ไม่รู้จักพอเพียงลงสัก 0.01% เงินงบประมาณแผ่นดินแต่ละปีๆ นั้นนำมาแปลหนังสือได้เท่าไร ตลาดข่าวสารวรรณกรรมไทยจะก้าวไปได้อีกแค่ไหนในอุตสาหกรรมหนังสือโลก คำถามง่ายๆ การลงมือกระทำก็แสนง่าย ใช้เวลาไม่นาน เหนืออื่นใดคือทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ..ทำไมไม่ทำ
เราภาคภูมิใจ หรืออยากเป็นประเทศด้อยพัฒนาไปตราบจนนิรันดร์จริงๆ ใช่มั้ย เราว่าไม่ใช่หรอก บ้า ใครจะไม่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่คุณก็ดูดิ เรื่องที่ใช้นิ้วเท้าข้างซ้ายคิดก็ได้ เรื่องที่ไม่ต้องรอให้คนไต้หวันมาบอก เรื่องง่ายๆ ที่ใครก็รู้ แต่ทำไมไม่ทำ ไม่มี ไม่เคยเกิดขึ้นในระบบคิดของรัฐ
สามวันที่นั่งคุยกัน สรุปลงเอยด้วยยังไงรู้มั้ย เขาบอกว่าไม่ต้องรอรัฐหรอก พวกเราเองนี่แหละช่วยกันหา ช่วยกันออกแรงระหว่างประชาชนกับประชาชน (เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี / เคยเป็นบรรณาธิการนิตยสาร) เบื้องต้นคือหาใครสักคนที่เชี่ยวชาญภาษาไทย/ภาษาจีนก่อน คุยหลักการและรสนิยมให้ตรงกัน แล้วระหว่างนี้ทางเขาจะมองความเป็นไปได้ต่างๆ นานาในเรื่องทุน (เขาบอกว่าทุนไม่ใช่อุปสรรคใหญ่โต ต่อเรื่องแบบนี้ ปัจจัยที่จะมาชี้วัดความก้าวหน้าหรือล้มเหลว มันอยู่ที่วิชัน ปรารถนา และการออกแรง)
เรื่องพื้นฐานประการหนึ่งที่บอกสอนกันมายาวนานในสังคมไต้หวันคือ ไม่มี ก็ออกไปหา หรือถ้าคิดอะไรแล้ว ต้องทำมันขึ้นมาให้ได้ คล้ายๆ คนฝรั่งเศสที่มีความเชื่อว่า สำหรับเผ่าพันธุ์เลือดเนื้อและสปิริตของเขา ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
ฟังเพื่อนใหม่ซึ่งเป็นคนนอก คนไกล คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ เลยกับตลาดหนังสือไทยแล้วก็นึกถึงเรื่องเล่าของคุณ แผลมีไว้ให้ระวัง ตระหนัก เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แผลเก่าผ่านไปแล้ว อย่างี่เง่าทำผิดพลาดจนเกิดบาดแผลใหม่ๆ ..มันจริงอย่างไม่ต้องสงสัย จริงและยิ่งต้องรีบแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
คำถามก็คือนาทีที่เลือดพุ่งออกมาข้นคลั่ก หรือแผลเก่าที่กระจัดกระจายบนร่างกายจนแทบไร้ที่ว่าง พวกเราคนไทยมองเห็นกันหรือเปล่าว่านั่นคือเลือด, นั่นคือแผล.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue