สวัสดีพี่หนึ่งจากเกาะพะงันครับ
ผมกลับกรุงเทพฯ ร่วมสองสัปดาห์ จริงๆ ควรเขียนจดหมายถึงพี่สักสองฉบับ แต่ส่งได้แค่หนึ่ง ช่วงเวลาอันร้อนระอุและแห้งแล้งแห่งเมษาฯ ปี 2023 ทำให้เราควรจะผ่อนผันกับวินัยของตัวเองได้บ้าง อากาศร้อนจนทำให้เราไม่สามารถทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน แถมช่วงเทศกาลหยุดยาวประจำปีก็พลอยจะทำให้เราตกปากรับคำไปกินข้าวแฮงค์เอาท์กับญาติสนิทมิตรสหายไม่เว้นสักวัน
จดหมายที่ควรจะถูกส่งจากกรุงเทพฯ เมื่อสี่ห้าวันก่อน เพิ่งจะมาเริ่มเขียนที่พะงัน ผมตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืดเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่เข้านอนเร็ว ครั้งนี้ต่างออกไปหน่อยตรงที่เริ่มเขียนจดหมายโดยยังไม่ได้ดื่มกาแฟและสูบบุหรี่ มันเป็นความจงใจของตัวเองในวันวานที่จะไม่ตระเตรียมอะไรให้ตัวเองในวันรุ่งขึ้น สาเหตุก็แค่ไม่อยากขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อไปซื้อเม็ดกาแฟคั่วจากแมคโคร และอยากพักปอดตัวเองที่ช่วงนี้มักส่งสัญญาณเตือนผ่านการไอแห้งถี่ๆ มาร่วมเดือน และที่สำคัญ อยากลองสอนตัวเองให้อยู่อย่างขาดๆ บ้าง
ผมนั่งคิดดูก็พบว่าตัวเองมักสอนให้ลูกเผชิญกับความขาดแคลนหรือการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ ยิ่งหลังๆ มานี้ผมให้เขาตระเตรียมอะไรด้วยตัวเองโดยไม่ได้ไปตรวจเช็คซ้ำ ครั้นที่ลูกชายจะหยิบจับหรือหาสิ่งของอะไรที่ต้องการจากกระเป๋าแล้วไม่พบสิ่งนั้น ผมก็มักจะบอกให้เขาหาทางอยู่อย่างขาดๆ หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไป เพราะนี่คือสิ่งที่เขาจะพบเจอได้เสมอๆ ในชีวิตจริง หากไม่เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ว่าอะไรสำคัญ ต้องดูแลหรือจัดเตรียมให้พร้อม ชีวิตในอนาคตก็จะประสบปัญหาอยู่เนืองๆ ส่วนว่าอะไรสำคัญหรือไม่นั้นเป็นเรื่องวิจารณญาณของแต่ละบุคคล
ข้อความข้างต้นถูกเขียนขึ้นก่อนสองพ่อลูกจะออกไปใช้เวลาวันหยุดอีกไม่กี่วันก่อนเปิดเทอม หลังลูกชายตื่นนอน ผมพาเขาไปกินติ่มซำร้าน Rest Days เราหิ้วไข่เป็ด 8 ฟองไปฝากลูกพี่โน้ต ผลิตผลจากการงานเล็กๆ ของเราเริ่มมีมากเกินจะบริโภคเองได้หมด ผมคิดว่าเป็นการดีที่จะสอนให้ลูกชายแบ่งปันดอกผลจากการงานของเราสู่มือคนที่เรารักใคร่ชอบพอ กินเสร็จพี่โน้ตก็มากระซิบบอกเบาๆ ว่ามื้อนี้กินฟรี เนื่องในโอกาสต้อนรับกลับสู่เกาะและฉลองวันสงกรานต์
เสร็จจากนั้นเราพากันไปวาดวงสวิงเบาๆ กันที่สนามมินิกอล์ฟใกล้บ้าน ไปเล่นอยู่ครั้งสองครั้งจนเริ่มรู้จักเจ้าของสนามที่ชื่อคริส แกเป็นชายชาวสวีดิช อายุน่าจะมีเลขเจ็ดนำหน้า ย้ายมาพำนักบนเกาะพะงันได้ 15 ปีแล้ว แกเล่าว่าตอนเกษียณมาอยู่ใหม่ๆ สองสามปีแรก วันๆ ก็เอาแต่อ่านหนังสือ อ่านจนเบื่อเลยคิดหางานอดิเรกทำ แกเริ่มทำสนามมินิกอล์ฟเมื่อ 12 ปีก่อน ออกแบบเองแล้วหาเพื่อนชาวไทยและพม่ามาช่วยก่ออิฐเทปูน ตอนนี้มีมินิกอล์ฟอยู่ 3-4 แห่งบนเกาะ แต่ของคริสนั้นคือสนามแรกของเกาะ
ผมเองเคยเล่นกอล์ฟมาก่อน แต่ก็ร้างลาไปตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย ยังจำได้ว่าเหตุผลที่เลิกไปนั้นก็ด้วยความขบถแห่งวัยหนุ่มที่รักความยุติธรรม กอล์ฟที่ประเทศนี้และอาจจะหลายๆ แห่งในโลกนั้นคือกีฬาของคนรวย ไม่ใช่แค่มีเงินเท่านั้น หากต้องมีเวลาด้วย แถมจะเล่นทีก็ต้องใช้พื้นที่เป็นหลักร้อยไร่ ที่สำคัญต้องมีแคดดี้คอยแบกถุงและเดินตาม แม้ผมจะสนุกและรักเกมนี้แต่ก็ไม่อาจทนบริบทที่อยู่รอบๆ กีฬานี้ได้ ห่างมันมาร่วมยี่สิบปีก็มาถึงวันที่มีโอกาสแบ่งปันทักษะและปรัชญาของมันกับลูกชาย พอได้จับพัตเตอร์ความรู้สึกต่างๆ ก็เริ่มฟื้นคืน ลูกชายเองก็ดูท่าจะเอ็นจอยกับมันไม่น้อย
ข้อดีอย่างหนึ่งของกอล์ฟคือมันไม่ต้องการความแข็งแกร่งและการเอาชนะจากการปะทะ เราแข่งกับเพื่อนร่วมก๊วนก็ได้ หรือหากจะแข่งกับตัวเองในอดีตก็สนุกไม่แพ้กัน เราใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงในการจัดการให้ลูกบอลลงหลุมไปคนละ 24 หลุม ศิลป์สนุก แแต่น่าจะแอบเบื่อพ่อมันที่คอยสอนนู่นสอนนี่มากไปหน่อย (ฮา) การได้เห็นสีหน้าลูกชายตัวเองเวลาฟังเราพูดทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพูดมากอยู่เหมือนกัน
การเล่นกีฬากลางแจ้งท่ามกลางแดดเดือนเมษายนทำเอาสองพ่อลูกเหงื่อชุ่มได้อยู่ ตอนแรกผมมีนัดหมายกับเพื่อนร่วมวงการที่มาเยือนเกาะพะงันที่รีสอร์ตริมทะเลแห่งหนึ่ง แต่เธอโทรฯ มาเลื่อนนัดเนื่องด้วยความไม่พร้อมของลูกสาวและสามี ผมจึงพาศิลป์ไปบีชคลับแห่งอื่นที่ไม่เคยลองบ้าง เวลาจะลองอะไรควรไปกันเองก่อน เพราะหากนัดแนะกันไปหลายคนแล้วสถานที่แห่งนั้นไม่เวิร์กจะพาเอาบรรยากาศแห่งการสังสรรค์กร่อยเอาเสียเปล่าๆ
ผมกับลูกไปถึงตอนเกือบเที่ยง สั่งโซดาเปล่าให้ตัวเองและน้ำเปล่าให้ลูกชาย ก็เป็นอันได้สิทธิกระโดดสระลงไปแช่น้ำคลายร้อน เล่นกันได้ไม่นานก็มีชายชาวเอเชียคนหนึ่งเดินมาทักทาย คุยแล้วได้ความว่าแกเป็นชาวเวียดที่อพอพไปอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก ประโยคแรกๆ ที่เขาพูดกับผมคือ พวกนายไม่รู้หรอกว่าโชคดีขนาดไหนที่ได้อยู่บนเกาะพะงัน ที่นี้ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดีเหมือนแสงแดดอันเจิดจ้า ที่โน่น (น่าจะหมายถึงอังกฤษหรือบางประเทศในยุโรปเหนือ) ผู้คนหน้าบึ้งและดูเหมือนโกรธอยู่ตลอดเวลาดั่งอากาศที่ขมุกขมัวและหม่นหมอง
ตลอดช่วงเวลาสองสามชั่วโมงที่เราพักผ่อนกันที่บีชคลับแห่งนั้น แทนที่ผมจะได้อยู่เงียบๆ กับลูกชาย ผมกลับต้องนั่ง นอน และแช่น้ำฟังเรื่องราวอันดูเหลือเชื่อและบ้าบอของผู้ชายที่ชื่อ ฟุค (Phuc) คนนี้
แกเล่าว่าตอนนี้มีโครงการทำหนัง (แกตั้งใจจะให้เป็นหนังทำเงินที่จะทำให้คนทั้งโลกสนใจพะงัน) แกว่าถ้าจะให้ทำเงินต้องตัดให้เหลือไม่เกิน 100 นาที วันหนึ่งจะได้ฉายได้อย่างน้อย 8 รอบ เขียนบทและโครงเรื่องไว้แล้ว รอหาผู้กำกับอยู่ มันคือคอมเมดี้ที่มีดาราสาวสวยไม่ต่ำกว่า 50 ชีวิตมาประชันกัน ผมถามแกว่าแล้วใครเป็นผู้ลงทุน แกตอบผมอย่างหน้าตายว่าเป็น ‘นายสิบที่คุณก็รู้ว่าคนไหน’ ผมพยักหน้าก่อนตอบกลับไปว่าดูแล้วอาจเป็นไปได้ เพราะนายสิบที่ว่านั้นชอบพอเรื่องราวทำนองนี้อยู่ไม่น้อย (ฮา)
ฟุคเล่าว่าปีก่อนตอนบินกลับมาเมืองไทยจากเม็กซิโก ณ ซอกลืบแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แกได้พบหญิงสาว (lady) ผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนนายสิบและส่งข่าวว่ายินดีออกทุนสนับสนุนให้ แกเล่าว่าเดี๋ยวนี้เวลาแกไปไหนในพะงันก็สะดวกราบรื่นเพราะตำรวจบนเกาะเริ่มรู้แล้วว่าแกเป็นใคร ที่จะทำอะไร โดยมีใครอยู่เบื้องหลัง (เฮ้อ) ผมทนฟังสักพักก็ชวนแกเปลี่ยนเรื่อง หรือไม่นายฟุคอาจเห็นว่าผมออกอาการเบื่อหน่ายก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุย
แกเล่าเรื่องชีวิตอันน่าตื่นตะลึงว่ามีลูก 7 คน จากแม่ 6 คน อีกไม่กี่วันพวกเขา (ไม่แน่ใจว่ารวมบรรดาแม่ๆ ด้วยรึเปล่า) จะมาเยี่ยมที่เกาะ ทุกวันนี้หาเงินได้เท่าไรก็ส่งไปให้ลูกๆ เกือบทั้งหมด แกว่าให้กันตอนมีชีวิตอยู่ดีกว่าให้ลูกๆ ไปแบ่งกันตอนเขาจากโลกนี้ไปแล้ว (เท่าที่ฟังมา ท่อนนี้ดูเข้าท่าและเป็นผู้เป็นคนที่สุดแล้ว 55) แกรักชีวิตและมีความสุขกับมัน แล้วสำทับว่าตัวเองนั้นหนุ่มกว่าใครหลายๆ คนในวัยเดียวกัน เคล็ดลับมีแค่การกินทั้งอาหารและเมรัยอย่างมีสติ ที่สำคัญต้องอาบน้ำเย็นโดยปราศจากสบู่และแชมพู เรื่องแชมพูนั้นผมเข้าใจได้เพราะฟุคโกนหัวซะเกลี้ยงเกลา จะใช้แชมพูหรือไม่ก็คงไม่ต่างกัน
แต่เรื่องสบู่นี่สิ ศิลป์ฟังเข้าก็โพล่งบอกฟุคว่าเขาควรจะรู้จักกับดีน เพื่อนชาวอังกฤษอีกคนบนเกาะที่มีทัศนะเรื่องการทำความสะอาดร่างกายคล้ายๆ กัน ฟุคบอกว่าที่มีลูกเยอะอย่างนี้นั้นก็เพราะหญิงสาวที่เขาคบทุกคนล้วนแต่อยากจะมีผู้สืบสกุล นี่ถ้าเขาไม่ยั้งและตามใจหญิงสาวทุกคนที่คบหา ก็อาจมีลูกร่วมยี่สิบคนได้แล้วมั้ง
ฟุคเล่าเรื่องการเลี้ยงลูกเหมือนกับเรื่องเล่าที่อาโกวหรือแม่ผมเคยเล่าให้ฟังถึงอาม่า ลูกคนโตต้องช่วยเลี้ยงน้องและทำหน้าที่ประหนึ่งเป็นแม่คนที่สอง แกว่าบรรดาลูกทั้งหมดนั้นเป็นผู้ชายแค่คนเดียว ซึ่งนั่นช่วยได้มาก เพราะลูกสาวส่วนใหญ่สามารถนั่งเล่นกับเงียบๆ ได้เป็นชั่วโมงโดยไม่รบกวน
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น ศิลป์สอดแทรกคำถามเข้ามาเป็นระยะๆ ช่วงหนึ่งศิลป์ถามลูกพี่ว่าพักอยู่ที่ไหนบนเกาะ แกบอกว่าตอบไม่ได้ บางทีก็นอนเอาริมหาด บางทีก็เช่าห้องอยู่ เพราะการอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งนั้นจะทำลายพลังความคิดสร้างสรรค์ ผมฟังแล้วก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่าอันไหนเป็นเหตุอันไหนเป็นผลกันแน่
ก่อนจากลาฟุคก็นัดแนะว่าเราน่าจะพบกันอีกบ้างที่ไหนสักแห่ง ผมพยักหน้าก่อนตอบว่าเป็นไปได้ เกาะแม่งเล็กซะอย่างนี้ สักวันเราคงได้พบเจอ แต่ก็ปรารภกับฟุคด้วยว่าหนังจะออกเมื่อไรวานส่งข่าว กูจะได้ขนของย้ายออกจากเกาะนี้ทันทีที่พะงันโด่งดัง และนักท่องเที่ยวหลั่งไหลพรั่งพรูจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของแกและนายสิบ
อยู่เกาะนี้มาสักพักก็พบว่ามีคนบ้าๆ เยอะเหลือเกิน เท่าที่อยู่มาก็น่าจะเคยนั่งคุยกับคนบ้ามาแล้วหลายสิบหรืออาจจะเป็นร้อยชั่วโมง ไม่รู้ว่าเวลาพี่หนึ่งอ่านจดหมาย หรือเวลามิตรสหายเดิมๆ ของผมได้คุยกับผมในตอนนี้จะรู้สึกว่าคุยกับคนบ้าอยู่รึเปล่า (ฮา)
ด้วยรักและนับถือครับพี่
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
1 จดหมายของเราเริ่มต้นคล้ายๆ กันคือยามเช้าที่ไม่มีตัวช่วย (กาแฟและบุหรี่–อย่างหลังนี้อาจเป็นความขาดของคุณ เราอยู่ฝ่ายดื่มอย่างเดียวจึงไม่รู้รสหรอกว่ามันเดือดร้อนยังไง เวลาไม่มี) น่าสนใจดี ไอเดียคุณที่ชี้ชวนให้ลูกชายอยู่กับความขาดบ้าง ฝึกไว้ สร้างภูมิคุ้มกัน เพราะยังไงชีวิตก็วนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้ ต่อให้องค์ประกอบหรือต้นทุนเดิมดีพร้อมหาที่ติมิได้ มันก็มีเสมอกับวันที่พลาด นาทีที่ขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้ เอาว่าใครมีวัคซีนหรือเคยเตรียมตัวมาก่อนก็ได้เปรียบ
2 เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกอล์ฟเลย (ดูไม่เป็น ไม่รู้กติกา) พอไม่รู้ก็มองไม่เห็นความงาม (คล้ายเรื่อง 112 ถ้าไม่รู้ มันก็ไม่มีความรู้สึก) ที่พอเห็นมันก็เบาบางเกินกว่าจะพูด เช่น ตอนตีลูกลงหลุมไกลๆ สวยเหมือนเวลานักบอลทำประตู แต่ฟุตบอลเรารู้ไง รู้กับไม่รู้ มันต่างกันเหลือเกิน ประเด็นก็คือในความไม่รู้ ถ้าเรารีบ ‘ตัดสินพิพากษา’ ไปก่อน (แปลกดี คำนี้มีแง่ลบเสมอ) มันก็น่ากลัวน่ะ อารมณ์ราวๆ ที่คุณว่าเราก็เคยเป็น และเห็นพ้องกับ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ในเพลง ‘เขาใหญ่ 2’ ที่เขาเขียนเนื้อร้องว่า–กลางทะเลทราย ทำไมไม่ไปสร้างทำ เป็นที่เป็นทางประจำ ให้ไกลลูกตาลูกหู โรงแรมรีสอร์ต ไปสร้างพากันไปอยู่ อย่ามาสร้างความอดสู ออกไปให้พ้นเขาใหญ่..
3 ประมาณ 30 ปีที่แล้ว พงษ์เทพเขียนเพลงนี้ขึ้นมาต่อต้านสนามกอล์ฟและรีสอร์ตบังกะโลที่มีกว่า 300 ห้อง บนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขาบอกว่าห้วยขาแข้งเป็นมรดกโลกไปแล้ว แต่เขาใหญ่ไม่ได้เป็น ทั้งที่เป็นวนอุทยานแห่งชาติแรกของประเทศ เหตุผลอันนำมาสู่การเขียนเพลงนี้ก็ด้วยเจ็บปวดว่าที่ไม่ได้เป็นเพราะเขาใหญ่มีโรงแรมและสนามกอล์ฟ เออ มันเหลือเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ มันเคยเกิดขึ้นจริงๆ ในประเทศของเรา และศิลปินก็ทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียง เราเคยฟังเขาพูดหลายครั้งว่าไม่ได้รังเกียจกีฬาชนิดนี้ ชาวโลกเขาก็เล่นกัน แต่ช่วยหาที่ทางให้เหมาะสมหน่อยได้ไหม อย่าไปลุกล้ำคุกคามป่าเขาอันเป็นปอดขนาดใหญ่ เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตสำคัญของมนุษย์
4 นับนิ้วมืออาจจะไม่ถ้วนแล้วมั้ง ตั้งแต่คุณทิ้งกรุงเทพฯ ไปพะงัน แล้วเจอเพื่อนใหม่คนเพี้ยน เราว่าเอาเข้าจริงที่เรากำลังเมาธ์พวกเขาและเธอเหล่านั้นว่าบ้าว่าเพี้ยน จริงๆ มันก็คงพอกันทั้งสองฝ่าย หมายถึงทั้งเราและเหล่าคนบ้า ส่วนใครจะบ้าแค่ไหนอย่างไรก็ว่ากันไปตามดีกรีแสงแดด แสงดาวและดีเอ็นเอ ..แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่ะ รายหลังสุดนี้แม่งสุดจริง หากบังเอิญเจอกันคราวหน้าก็ฝากบอกหน่อยนะว่านักเขียนนักข่าวที่น่านอยากดูหนังลูกพี่มากๆ รอชมด้วยความระทึกในดวงหทัยพลันค้าบบ
5 สองเดือนมานี้เราคุยกะผู้คนใหม่ๆ เยอะ อยากจะเล่า อยากจะเอามาแข่งกับคุณ แต่ก็ยอมว่ะ เรื่องบ้าไม่น่าสู้ได้
6 มีแค่ประมาณนี้ ลองฟังดูเล่นๆ แก้เบื่อ เวลาเป็ดมันออกไข่มากเกินไป
7 เบอนัวร์ เป็นชายวัย 53 ปี ชาวฝรั่งเศส พ่อเป็นเกษตรกร (นาข้าวสาลี) ช่วงวัยรุ่นเคยช่วยงานที่บ้าน เช่น ขับรถลาก รถไถ แต่ดูทรงแล้วไม่รอด (เงินไม่แย่ แต่ไม่ชอบการงานและไลฟ์สไตล์) เลยพยายามมองหาทางอื่น วัยหนุ่มเคยถูกเกณฑ์ให้เป็นทหาร กำหนดหนึ่งปี เขาอยู่ได้สี่เดือนและโดนไล่กลับบ้าน โทษฐานวิชาทหารไม่เอาอ่าว วันๆ จ้องแต่กินเหล้า ดูดยา คงเป็นแผนของน้าแกนั่นแหละ ไม่ชอบถูกบังคับก็เลยทำเลวๆ ใส่ อะไรนอกรีตนอกรอย ทุ่มเททำสิ่งนั้น ผลลัพธ์ก็ถือว่าสมใจ และสะใจ เมื่อในอีกไม่กี่ปีถัดมา ประเทศฝรั่งเศสก็ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ตลกปะล่ะ บ้านเขาเลิกมาราวสามสิบปีแล้ว บ้านเรากำลังยื้อยุดหวงไข่ หม้อข้าวใบเบ้อเร่อน่ะนะ เรื่องอะไรนายพลผู้รักความโปร่งใสไม่โกงจะยอมทุบยุ้งฉางของตัวเอง
8 หลังโบกมือลานาข้าวและค่ายทหาร หนุ่มเบอนัวร์เดินเข้าสู่วงการร้านอาหาร (เขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย เทียบวุฒิบ้านเราก็จบแค่ ม.ปลาย) เลือกขายอาหารสเปนเป็นหลัก (เขาบอกว่าไม่ซับซ้อนเท่าฝรั่งเศส) อ้อ ทำร้านที่ว่านี่คือจ้างเชฟ ไม่ได้ทำเอง เขาบริหารจัดการ โดยมีงานหลักคือกินเบียร์ (อย่างหลังนี้อำตัวเอง แต่สีหน้าแววตาก็ไม่ได้พูดเล่นหรอก) สิ่งที่เราประทับใจคือของตกแต่งในร้าน น้าแกบอกเก็บๆ มา เจอของทิ้งขว้างริมทางเท้าปารีสก็เก็บเล็กผสมน้อย โต๊ะเก้าอี้ร้านนี้จึงแทบไม่มีตัวไหนหน้าตาเหมือนกันเลย เขาเปิดรูปให้ดู ชี้ข้าวของเครื่องใช้นานาภัณฑ์และตบด้วยคำว่าไม่เคยเสียเงินซื้อ ภาพและศิลปะ ตัวหนังสือ พ่อภรรยาซึ่งเป็นครูศิลปะช่วยเขียนให้ (อุตสาหกรรมครอบครัวดีจริง) การจัดวาง เลย์เอาท์ร้านปฏิเสธรูปทรงเรขาคณิตแบบไม่เผาผี (ขณะที่ฝ่ายภรรยาชาวอังกฤษของเขาชอบมาก อยากได้ แต่เรื่องนี้เขาไม่ยอมเธอ ขอทำตามแนวทางของตัวเองคือมั่วๆ เห็นว่าตรงไหนงาม เอาแบบนั้น) ชื่อร้านของเขาเอามาจากชื่อหนัง เราถอดความเป็นภาษาไทยว่า ‘วันนี้มีเฮ’ เปิดมากว่า 15 ปีแล้วและวันนี้มันยังอยู่ แต่เปลี่ยนมือมาบริหารงานโดยลูกพี่ลูกน้อง เขาอยู่ในสภาพว่าง ตกงาน เกษียณ หรืออะไรสักอย่างที่เจ้าตัวก็ยังงงๆ เลยบินมาเมืองไทยสี่เดือน ขึ้นเหนือลงใต้ ไปมาหลายที่ และกำลังจะเตรียมบินกลับในวันสองวันนี้ แต่โชคร้ายมาเจอเรา ความเหงาเลยแปรสภาพเป็นปากเปียกปากแฉะ คุยและสอนคนอยากเรียนหนังสือ
9 พูดถึงภรรยา (ตอนนี้เป็นอดีต) เขาบอกว่าเฟมินิสต์สุดๆ (คำของเขาคือผู้หญิงอังกฤษจำนวนมากก็แบบนี้) อันนั้นเรื่องของเบอนัวร์–ที่เราขำคือตอนที่เขาบอกว่าภรรยาว่ายน้ำไม่เป็น คือนึกออกเนาะ ในนามของคนฝรั่งเศสที่แทบจะเหมือนปลาคือเกิดมาก็ว่ายน้ำเป็น ทุกโรงเรียนต้องสอน สระว่ายน้ำมีทุกหัวระแหง มองไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีน้ำล้อมรอบ การว่ายน้ำไม่เป็น มันเป็นเรื่องเข้าใจไม่ได้ (เราบอก กูก็ว่ายไม่ได้ เบอนัวร์บอก อ้าว เหี้ย มึงเป็นเฟมินิสต์ด้วยปะเนี่ย 555)
10 เขาและเธอมีบุตรีสองคน (วัยสิบสองและสิบสี่) เริ่มดื้อหน่อยๆ ประสาวัยรุ่น แต่สายตาคนเป็นพ่อบอกว่าทั้งคู่น่ารักเสมอ สิ่งที่เบอนัวร์ทุกข์ใจอยู่ทุกวันนี้คือเวลาของการอยู่ร่วม แม่ของเด็กๆ ไม่ค่อยยอมปล่อยลูกสาวมาหาพ่อ สัดส่วนเวลาระหว่างพ่อกับแม่ไม่ลงตัว บางนาที เขาเปิดภาพถ่ายในมือถือให้ดู –เด็กสาวสองคนนั้นน่ารักจริงๆ
11 พอเราเล่าว่าเราก็มีลูก นอกจากอายุ เขาถามว่าชื่ออะไร
12 เข้าใจว่าน่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่คุยกับคนแปลกหน้าไม่นานนักแล้วถูกถามล้วงลึกไปถึงชื่อลูก (มึงจะรู้ไปทำไม 55) ถ้าภาษาที่ใช้คุยกันคือภาษาไทยมันก็ไม่ยากใช่มั้ย อันนี้เราก็ต้องคิดอยู่นาน ก่อนจะบอกว่ามีสองความหมายคือถ้าเป็นกริยาหมายถึงสายลมอ่อนๆ เย็นสบาย ส่วนถ้าเป็นคำนามหมายถึงต้นไม้ชนิดหนึ่ง ดอกสีเหลือง
13 ลูกสาวเขาคนหนึ่งชื่อ Leo– อะไรสักอย่าง เลโอเฉยๆ ใช้กับผู้ชาย แต่ลูกเขาเป็นผู้หญิงเลยมีคำขยายอีกนิดนึงซึ่งเราจำไม่ได้ และอันนี้คงไม่เกี่ยวว่ามาเมืองไทย (ครั้งแรก / ประเทศแรกในเอเชีย) เขาเลือกกินแต่เบียร์ลีโอ
14 เราบอกว่าไม่ชอบ เบียร์อะไรก็ไม่ชอบทั้งนั้นเพราะมันไม่มีทางเลือก เขาถามว่าเมืองไทยมีเบียร์กี่ยี่ห้อ เราบอกคร่าวๆ หาง่ายๆ ก็ประมาณสี่ เขาว่าแล้วไม่มีทางเลือกยังไง เราตอบด้วยคำถามว่าเบลเยี่ยมมีเบียร์กี่ยี่ห้อ เขาบอกสามร้อยกว่า เราบอก ก็เออไง ที่แย่อย่างหาที่สุดมิได้–ล่าสุด มีคนกินเบียร์และโพสต์บอกรสชาติ โดนปรับแสนห้า เขาบอกจริงดิ โคตรเหี้ย เราบอกอีกว่าเอาง่ายๆ นะ ถ้าวันนี้พวกเราทำขาย พรุ่งนี้ติดคุก เขาบอก เข้าใจๆ ระบบผูกขาด
15 เขาหันไปสั่งลีโออีกขวด เรานั่งกินน้ำเปล่า กับโยเกิร์ต ..เออ นี่ก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่คู่สนทนาเริ่มเมา ฝ่ายเราใสกิ๊ก ด้วยอยู่ในช่วงทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำใจให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ๆ แค่รู้สึกว่าอัดมาเยอะ ทุเรศตัวเอง ช่วงนี้อยากพัก
16 เบอนัวร์ถามว่าจะปล่อยให้เขากินคนเดียวจริงๆ เหรอ เราบอกว่าเออ รอบนี้เท่านั้นที่เอาแบบนี้ รอบหน้าเดี๋ยวมึงเจอกู เริ่มแก้วแรกเมื่อไร ปล่อยไหลไปยาวๆ ใครเลิกก่อนเป็นหมา
17 ตั้งแต่สงกรานต์ (ตอนนั้นอยู่เชียงใหม่) เขาดื่ม อย่าใช้คำว่าดื่มเลย เขาเมามาต่อเนื่องจนถึงวันนี้ สมมุติเริ่มแก้วแรกตอนห้าโมงเย็น เขาดื่มไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับซึ่งก็ไม่เคยเร็วกว่าห้าทุ่มเที่ยงคืน
18 แยกทางจากภรรยามาสองปีเศษแล้ว เท่าที่เราเห็น มวลความทุกข์ความเศร้ายังรายล้อมอยู่รอบตัวเขาไม่จบสิ้น เขาทนอยู่กับความเงียบนานๆ ไม่ได้ ไม่ว่าในช่วงเวลาดื่มหรือไม่ดื่ม เขาชอบหาที่ฟังเพลง แม้ว่าทุกครั้งของการหาก็ไม่ค่อยได้ดังใจหรอก
19 เขาชอบแจ๊สโบราณๆ ของฝรั่งเศส (เปิดให้เราฟังด้วย เออแม่งโคตรโบราณ แต่ก็ฟังเพลินดี)
20 เพลงสมัยใหม่ที่สุดของเขาคือ Neil Young (เขาคลั่งไคล้ Harvest Moon มากพอๆ กับเรา) ส่วน Bruce Springteen พอเราบอกว่าชอบ The Ghoast of Tom Joad มาก เขาหัวเราะเหมือนตะโกน ร้องเอะอะโวยวายขึ้นมา ก่อนจะบอกว่าอับอายมากที่ยังไม่ได้ตั้งใจฟัง เขาหลงใหลอัลบั้มก่อนหน้านั้น และงานที่เราชอบมันเป็นภาคต่อ
21 ค่าที่อายุเรากับเขามันรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ว่าคุยเรื่องเพลง (เช่น Tom Wait, Pink Floyd, Bob Dylan) ไม่ว่าเรื่องฟุตบอล มันก็เลยเชื่อมโยงกันรวดเร็ว ตลกดี บอลโลกเม็กซิโก 1986 พ่อปลุกเราขึ้นมานั่งดูแมทช์รอบก่อนรองชนะเลิศระหว่าง บราซิลกับฝรั่งเศส ดูและกินโค้กแก้ง่วง ทางฝั่งหนุ่มเบอนัวร์ที่นั่งดูอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง เขาก็นั่งกินโค้กกับพ่อเหมือนกัน ต่างกันก็แต่ โค้กของเขานำสู่ชัยชนะของทีมชาติฝรั่งเศส ส่วนกองเชียร์ซิโก้ โซคราตีส ฝ่ายพ่ายแพ้อย่างเราเข้านอนไปแบบตาค้าง ไม่ใช่เพราะโค้ก แต่มันเซ็ง นึกออกมั้ย ทรงบอลชนะเห็นๆ แต่ดาราอย่างซิโก้ดันยิงจุดโทษ (ในเกม) ไม่เข้า พอถึงช่วงดวลจุดโทษจริงๆ ทั้งที่ มิเชล พลาตินี่ ยิงนก ซัดข้ามคานเป็นวา บราซิลก็ดันพ่ายอีก โดยหนึ่งในความผิดพลาดเป็นของคุณหมอกัปตันทีม
22 เขาชอบเล่าเรื่องหนัง คุยๆ กันอยู่ ถ้ามีอะไรเกี่ยวโยงไปถึงหนังที่เก่าที่เขาเคยดู ไม่มีคำว่าเหนื่อยหรือขี้เกียจสำหรับการบอกเล่าอธิบาย เราเจอคนมาไม่น้อย เขาเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่เล่าเก่ง ขยันหาวิธีให้คนภาษาอ่อนๆ เรียนรู้ได้ เข้าใจเร็ว เราบอกว่าเขาโคตรน่าเป็นครู เขาบอกใช่ๆ เขาชอบเล่าเรื่องและทำให้คนเข้าใจ สิ่งที่ชอบมากอีกอย่างคือแก้คำผิด ภาษาฝรั่งเศสใช้คำว่า corriger เขาพยักหน้ารับโดยเร็วเมื่อเราทักเรื่องนี้ ชอบ แต่ไม่บ้าขนาดพวกแกรมมาร์นาซี คงแค่อยากช่วยเรา อะไรผิด อะไรไม่รู้ จะได้รู้ เช่น เราพูดว่า computer เขาแก้เป็น ordinateur และชื่นชมภาษาพ่อแม่ตัวเองว่าสวย มีเอกลักษณ์
23 หนังหรือเพลง ถ้าเขาจะรู้เยอะ เราไม่แปลกใจนะ ที่น่าทึ่งมากๆ คือหนังสือและนักเขียน เขาเล่าได้เป็นฉากๆ คม คล่องแคล่ว คล้ายครูวรรณกรรม นาทีที่เขาไล่ชื่อกวี ไล่ชื่อหนังสือ และรายละเอียดในหนังสือ คือฟังแล้วก็ เออว่ะ ตกลงมันหลอกกูหรือเปล่าว่าทำร้านอาหาร มันเกินไปน่ะ Rimbaud, Camus, Flaubert, Prevert, Zola, Hugo ฯลฯ คือพูดอะไรมา เล่าได้และมีความคิดเห็นต่อผลงานชิ้นนั้นชิ้นนี้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรมชาติ
24 เขาให้หนังสือเรามาเล่มหนึ่งชื่อ Une banale histoire ของ เชคอฟ นักเขียนรัสเซีย
25 เขาซื้อมาจากถนนข้าวสาร ส่วนอีกเล่มที่หยิบให้ดูเป็นของ Michel Houellebecq จะรับไว้มั้ย–เขาถาม และเล่าว่ามีบางฉากพูดถึงภูเก็ตและเมืองไทย มันอ่านยากนิดนึงนะ เราบอกอะไรก็ยากหมดแหละสำหรับเด็กอนุบาลอยากเรียนรู้โลก ไม่เป็นไร ค่อยๆ เดินไป ตอนเกิดมาใหม่ๆ ม้ามันก็วิ่งไม่เป็น–เขาบอก
26 เขาพกหนังสือบางๆ เกี่ยวกับประเทศไทยมาเล่มนึง นึกว่าซื้อที่ข้าวสารเหมือนสองเล่มเมื่อกี๊ เปล่า, เขาเก็บจากข้างถนนในปารีส
27 เขาใช้อินเทอร์เน็ตน้อย ใช้เท่าที่จำเป็นต้องใช้ เพราะไม่สนุกกับการอ่านในนั้น เขาพกหนังสือเป็นปกติ รักด้วย อ่านแล้วไม่ทิ้ง ถ้าไม่เจอเรา เขาตั้งใจว่าจะถือกลับบ้าน เราพลิกหนังสือที่รับมา หลายหน้ามีเส้นดินสอขีดใต้บรรทัด ใต้บางถ้อยคำ
28 เขาดูดบุหรี่ถี่มาก ดูดและทิ้งก้นไม่เป็นที่เป็นทางนัก เขาด่าตัวเองว่านิสัยเลว ชอบทิ้งขยะเกลื่อนกลาด ชอบทิ้ง ในขณะเดียวกันก็ชอบเก็บ เขาอวดหมวกใบหนึ่งให้ดู หมวกแก๊ปสีดำแบบที่เขาคงไม่ชอบหรอก ที่เก็บเพราะมันมีคำว่า Embassy United States of America
29 ทั้งที่มีหลักฐานหลายอย่าง บางทีเราก็ยังนึกว่าเขาล้อเล่นนะว่าชอบเก็บนั่นนี่ แต่พอเขารื้อกระเป๋าให้ดูอะไรบางอย่างอีกชิ้น คราวนี้เราเชื่อละว่าน้าเขาชอบจริง คุณจะทายมั้ย ขอโทษๆ เหี้ย ใครจะไปทายถูก –สิ่งสุดท้ายที่เขาภาคภูมิใจนำเสนอกับเราด้วยรอยยิ้มของเด็กผู้ชายที่อยู่ในวัยตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันคือ มันคือ.. ซากคางคกทับแห้งตัวแบนๆ เหมือนปลาหมึก
30 เขาเก็บมาจากเกาะเต่า ชอบมาก หลงใหล จะเอาไปใส่กรอบแขวนติดบ้าน มันมีชื่อด้วยนะ ชื่อภาษาไทย ชื่อบุคคลมากอำนาจ ออกเสียงชัดเชียวละ (ท่องมานาน) เขาบอกเรา แต่เราไม่กล้าบอกคุณ อยู่บ้านนี้เมืองนี้บางทีเราต่างก็เป็นพวกเซ็นเซอร์ตัวเองไปอย่างเจ็บช้ำ ใช่, มันไม่มีเสรีภาพ เรื่องพื้นฐานที่บ้านเกิดเบอนัวร์มี แต่พวกเราไม่มี ตอนที่กลับจากการดื่ม (เขาเบียร์ เราน้ำ) ระหว่างทาง เจอรถยนต์สีส้มเล็กๆ คันนึง ใครสักคนคงจอดทิ้งแบบทำใจแล้วว่าไม่เอาคืน บุรุษฝรั่งเศสเดินผ่านแล้วคาใจ วิงวอนให้เราเดินย้อนกลับ เราบอกไม่เอา กูเหนื่อย และง่วงจะตายห่าอยู่แล้ว (ตอนนั้นเที่ยงคืนหน่อยๆ เขากำลังมีความสุข ดื่มมาแล้วหลายขวด และวิ่งเข้าไปซื้อลีโอในเซเว่นฯ ทันพอดี ถือเดินดื่ม พูดคุย) เขาบอกได้โปรด ขออีกครั้งหนึ่ง แป๊บเดียว รถคันนี้น่าสนใจดี ดูสิ มันน่าจะเป็นรถญี่ปุ่นนะ แต่ทำไมแปะป้ายเบนซ์ เราผู้เหนื่อยและง่วง (และไม่ได้ดื่มเบียร์ 55) ไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ ใจมีอย่างเดียวคือเตียงนอน แต่เกมมาถึงขนาดนี้แล้ว เอาๆ น้า ว่ามา เอาไง น้าว่ามา เขาหยิบเหรียญมาให้เลือกหัวก้อยเพื่อโยนเสี่ยงทาย เราเลือกและแพ้ เขาบอก–แพ้ คุณต้องเขียนอะไรสักอย่างบนรถคันนี้ เขาจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ทั้งที่ง่วงและหมดแรง เราลากนิ้วมือเปลือยเปล่าเขียนคำว่า Liberté บนพื้นฝุ่นเปรอะๆ หน้ากระจก เขายืนมองครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้ววาดรูปกีตาร์ประกบข้าง รุ่งเช้ามา เราเดินไปดู ลายเส้นและถ้อยคำนั้นยังอยู่ และพออีกวันมันก็ซีดจางหายไป เช่นเดียวกับการจากลาของชายชื่อเบอนัวร์
ต่างก็แต่เบอนัวร์มีอยู่จริง เคยเจอตัวเป็นๆ ส่วนเสรีภาพที่เราเขียนแม่งไม่เคยมี ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องใช้เวลาอีกกี่เดือนกี่ปี เท่าที่บอกคุณได้ เราจะเขียนต่อไป.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue