the letter cover
the letter

พ่อกับลูกชาย และคนเก็บใบไม้ที่เกาะพงัน

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

 

เกือบสองสัปดาห์ที่ผมย้ายบ้าน มาลงหลักปักฐานที่เกาะพะงัน

 

ว่าไปเวลาสองสัปดาห์ก็เป็นระยะเวลาที่ผมใช้ในการคิดใคร่ครวญก่อนตัดสินใจย้ายถิ่นฐาน เมื่อสักสองสามเดือนก่อน ผมเดินทางมากับภรรยาและลูก แล้วไม่กี่วันภรรยาก็ต้องกลับไปทำภารกิจที่กรุงเทพฯ ต่อ 

ผมเองก็เลยได้ใช้เวลาดูแลลูกด้วยตัวคนเดียวนานที่สุดเท่าที่เค้าและผมเกิดมา ก็ไม่เชิงว่าดูแลคนเดียวหรอก วันๆ เจ้าศิลป์ก็เที่ยวใช้โทรศัพท์ของพ่อโทรฯ หาแม่ และเหล่าญาติสนิทมิตรสหายที่เคยเลี้ยงดูมา

ก็คงคิดถึงกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ศิลป์คนเดียว คุยโทรศัพท์เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่แค่เสียง แต่โชว์หน้าโชว์ตาและภาพฉากหลังที่ตัวเองอยู่ด้วย

ก็คงพอได้หายคิดถึงและอิจฉาอยากมาเที่ยวกันบ้างละ

 

the letter

 

ไม่ใช่แค่นั้น เรามาเช่าบ้านพักในรีสอร์ท ทำให้มีเพื่อนบ้านอีกสองสามครอบครัวที่มีเด็กๆ วัยเดียวกัน 
เจ้าลูกชายผมก็ได้มีโอกาสได้ปฏิสังสรรค์กับเด็กๆ ข้างบ้านกันทั้งวัน ผูกสัมพันธ์กันเร็วกว่าพวกผู้ใหญ่อีก
วันหนึ่งๆ เล่นกันมากกว่าเล่นกับเพื่อนบ้านที่กรุงเทพฯ ทั้งอาทิตย์หรือทั้งเดือน

ผมมองลูกเราเล่น คุย ทะเลาะกับเด็กคนอื่นๆ แล้วภูมิใจว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องเหลือเกิน อย่างน้อยก็ในเรื่องนี้ 
มาคิดดูดีๆ พอเราอยู่ในที่ๆ เหมาะ การเลี้ยงลูกคนเดียวก็ไม่ได้เหนื่อย หรือต้องสละเวลาอะไรมากมายเท่าไร 

 

หลังจากลูกเราได้ผูกสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านแล้ว ฝ่ายผู้ใหญ่ก็เริ่มทำตาม วันที่สองที่มาถึงเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เป็นฝรั่งก็ชวนไปเดินเที่ยวน้ำตกกันสองครอบครัว

แกเป็นแคนาเดียน สอนหนังสืออยู่ที่ ISB โรงเรียนนานาชาติที่น่าจะดีที่สุดในเมืองไทย ภรรยาเป็นคนไทย มีลูกคนหนึ่ง หน้าตาฝรั่งจ๋า พูดไทยไม่ได้ วัยสามขวบกว่า ก็เลยได้ไปเดินป่าชมน้ำตกกันตั้งแต่ยังไม่ได้ลงทะเลเลย /ฮา

 

เวลาเดินเที่ยวธรรมชาติกันแบบนี้ ถ้ามีเด็กวัยเดียวกันมาด้วยอีกสักคน จะทำให้ลูกเรามีพลังในการเดินเพิ่มขึ้นสักห้าสิบเปอร์เซ็นต์

เดินขึ้นเดินลงอะไรก็แข่งๆ ตามๆ กันไป ไม่ค่อยจะปริปากบ่น

แต่บทจะต่อต้าน ประท้วงขึ้นมาก็น่าดูอยู่ เพราะมันจะรวมตัวรวมหัวกันทำ ทำให้เราต้องใช้วิธีแบ่งแยก แล้วค่อยๆ คุยเป็นครอบครัวๆ ไป

ช่วงหนึ่งในการเที่ยวน้ำตกที่เราต้องเดินย้อนทางเก่ากลับมาเพื่อจะไปอีกเส้นทาง ระหว่างหยุดพักเหนื่อย 
เจ้าศิลป์ประท้วงกับพ่อและแม่ของมันว่า จะกลับที่พักตอนนี้ หรือไม่งั้นก็กลับกรุงเทพฯ เลย คือฟังแล้วก็ขำดีครับ ศิลป์อาจจำมาจากตอนที่พ่อแม่ทะเลาะกัน แล้วนำวิธีการพูดขู่หรือประชดมาใช้บ้าง

 

ฝรั่งผู้พ่อคนนี้ขยันในการไปสำรวจนู่นนี่มาก ว่างเป็นชวนไปเดินชมวิว ดำน้ำ เราก็ไปเท่าที่ไหว แต่อย่างหนึ่งที่ชื่นชมก็คือ นิสัยในการไม่อยู่นิ่ง ว่างเป็นต้องขยับตัวตลอด บางเช้าลูกพี่เค้าก็พาภรรยาและลูกเดินจากรีสอร์ทไปยังท่าเทียบเรือ ระยะทางไปกลับร่วมห้ากิโลเมตร

 

เพื่อนบ้านอีกหนึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนและญาติ ที่มาพร้อมกับครอบครัวหนึ่งที่มีลูกสองคน

มาถึงวันแรกๆ ยังไม่ค่อยได้คุยเท่าไร ดูไม่ค่อยออกว่าใครเป็นพ่อใครเป็นแม่ เพราะพวกผู้ใหญ่ช่วยกันเลี้ยงหลายคน /ฮา

สักพักพอได้เริ่มทักกันบ้างก็ค่อยรู้ว่าคนไหนคือคนแม่ ผมเองก็ได้คุยกับคนแม่เยอะหน่อย เหมือนพอเราอยู่ไปสักพัก พกกาแฟ เก้าอี้ และหนังสือ ไปนั่งอ่านริมหาด เค้าอาจจะคิดว่าเรานั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้ ก็เลยเข้ามาคุย

 

บ้านนี้พาลูกเดินทางกันตลอด เรามาได้ช่วงที่เค้าเลือกจะมาอยู่เกาะพะงันเดือนหนึ่ง ลูกๆ ก็ต้องเรียนออนไลน์ที่บนเกาะ ถ้าเป็นผู้ใหญแล้วต้องทำงานออนไลน์ที่เกาะก็คงจะมีแต่คนอิจฉา

แต่กับเด็กที่นั่งเรียนออนไลน์บนชายหาด มีเสียงคลื่น เสียงเด็กคนอื่นๆ เล่นกัน ผมคิดว่าคงจะมีแต่คนสงสารและเห็นใจเสียมากกว่า

เจ้าลูกสาวคนพี่ที่ต้องเรียนนานกว่าน้องก็มักจะต่อรองกับแม่เสมอว่า ขอไม่เรียนและบอกว่าไม่เห็นยุติธรรมกับเค้าเลย ตัวแม่ก็ยืนกรานและหนักแน่นมาก ว่านี่คือวินัยที่ลูกจะต้องมี

 

คำบอกเล่าแรกๆ ของคนเป็นแม่ก็คือว่า เค้าให้ลูกสาวคนโตเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ ตั้งแต่อนุบาลฯ แล้วพอเข้าประถมฯ ค่อยย้ายมาโรงเรียนสองภาษา

เธอเชื่อว่าพื้นฐานต้องดีก่อน ลงทุนเยอะในตอนต้น แล้วค่อยๆ มาลดค่าใช้จ่ายลงตอนเริ่มโตขึ้น

“ชาวบ้านอย่างเรา ส่งลูกเรียนอินเตอร์ฯ ได้ ก็ถือว่าสุดแล้ว” เธอพูดกับผมในวันหนึ่ง

 

วันหลังๆ ที่เราได้คุยกัน ก็ (เหมือนจะ) สารภาพกับผมว่า ตอนนี้ไม่ได้ทำงานแล้ว ประมาณว่ามีเงินเก็บไว้จำนวนหนึ่ง

เลิกทำงานเพื่อจะมาใช้ชีวิต “ชีวิตมันต้องออกแบบ วางแผน มันเป็นศิลปะ” เธอเชื่อและทำอย่างนั้น

 

วันแรกที่เข้ามารีสอร์ทก็เห็นรถบ้านจอดอยู่คันหนึ่ง ก็ปรากฏว่าเป็นรถของครอบครัวเธอนั่นแหละ

ครั้งแรกที่ผมได้ฟังว่ามีเงินเก็บไว้แล้ว ด้วยความอยากรู้มากกว่าความอยากจะเป็นคนมีมารยาท ก็ถามเธอไปว่าเยอะนี่คือเท่าไร เธอได้แต่ยิ้ม และบอกคำเดิมว่า “เยอะ” 

คุยๆ ไปก็คิดว่าน่าจะมีเยอะอยู่ ส่งลูกเรียนอินเตอร์ฯ ได้ มีบ้านที่กรุงเทพฯ มีบ้านที่หัวหิน มีบ้านเคลื่อนที่อีกหนึ่งคัน 

 

เธอเล่าว่าธุรกิจที่ทำก่อนเลิกคือทำแบรนด์ยีนส์ มีหน้าร้านที่จตุจักร และส่งขายทั่วโลก 

เธอบอกว่าเงินที่ได้มามันเยอะเกินไป คือประมาณว่าคิดกับตัวเองว่าทำไมมันทำเงินได้เยอะขนาดนี้

มันก็คงจะเยอะจริงแหละครับ เธออายุรุ่นเดียวกับผม เริ่มต้นจากไม่มีอะไร 

อายุสิบห้าก็เริ่มทำงานหาเงินเอง ตอนเริ่มทำธุรกิจยีนส์กับสามี ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานหามรุ่งหามค่ำ เธอบอกว่าก็เหนื่อยกันมาเยอะ เวลาที่เพื่อนๆ เธอ หรือเพื่อนๆ สามีเธอ กินดื่มเที่ยวเล่นกันอยู่ เธอกับเขายังขี่มอ’ไซค์แบกผ้ายีนส์อยู่บนถนนวิภาวดีอยู่เลย

แล้ววันหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน สองสามีภรรยาก็ปรึกษากัน และตกลงกันว่าพอเถอะ ไปใช้ชีวิต

 

ตอนนี้เล่าให้ผมฟังว่ากำลังทำธุรกิจใหม่กับเพื่อนอยู่ ประมาณว่าอยากจะพิสูจน์กับตัวเองอีกครั้ง ว่าไอ้ครั้งก่อน

มันฟลุก หรือเป็นเพราะความสามารถของเธอเอง

 

the letter

 

เอาครับ เล่ามาทั้งหมดยังไม่มีเรื่องของตัวเองเลย

สั้นๆ ก่อน เพื่อจะได้มีเรื่องไว้เล่าครั้งต่อไป กิจวัตรแทบจะไม่ต่างกันสักวันเลยครับ

ตื่นเช้า ชงกาแฟ อ่านหนังสือ ทำอาหารเช้าให้ลูก หลังๆ บางทีศิลป์ก็ขอทำเอง ไข่เจียว ไข่ดาว ง่ายๆ น่ะครับ

แปดโมงเช้าไปทำความสะอาดสระว่ายน้ำของรีสอร์ท (ผมไปขอลุงฝรั่งที่ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่สองสามวันแรกว่า

ขอช่วย อยากเรียนรู้)

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงขอ แต่พอเริ่มทำแล้วก็รู้สึกดี มันจะมีอยู่ขั้นตอนหนึ่งก็คือ การใช้เครื่องดูด ดูดเศษใบไม้และฝุ่นที่ก้นสระ ทำแล้วรู้สึกมันส์ดี เวลาเห็นฝุ่นหายไป เหลือแต่พื้นสระที่ใสสะอาด

 

ลุงแกเป็นฝรั่งอังกฤษที่ไม่ค่อยพูดมากเท่าไร เวลาจะทำอะไรก็ต้องคอยสังเกต และทำตามเอา แกเคยเล่าว่าเมื่อก่อนแกทำงานก่อสร้างแผนกดัดเหล็ก (Steel Fixer)  คือคำนี้ผมจำแม่นเลย เพราะตอนแรกนึกว่า Fixer คือเหมือนกับ ตัวละครหนึ่งในซีรี่ส์เรื่อง Breaking Bad ที่ Fixer คือคนที่คอยทำหน้าที่เก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่ให้มีหลักฐานในธุรกิจมืด คือคาแรกเตอร์ลุงแกก็ได้อยู่อ่ะครับ โกนหัวโล้น เห็นรอยสักบนหัว แขน หลัง เจาะร้อยหมุดที่คอและหน้าอก มีอายุแล้ว แต่ยังมีกล้ามอยู่

 

ดูดิ จะเล่าเรื่องตัวเองกลายเป็นเรื่องคนอื่นไปอีกแล้ว

งานที่สระก็เอาเรื่องอยู่ ทำๆ ไปมันเริ่มรู้สึกว่าต้องทำอีกๆ คือประมาณว่าเห็นเศษอะไรเล็กๆ ในสระชิ้นเดียวก็จะดูดหรือกวาดขึ้นมาให้ได้

แม่งก็เลยเหมือนวนอยู่อย่างนั้นไม่จบไม่สิ้นสักที แทนที่ทำไปๆ จะใช้เวลาน้อยลง ก็กลับใช้เวลามากขึ้น

 

ถ้าวันที่ ‘ลม’ เป็นใจ ก็งานน้อยหน่อย เพราะใบไม้จากต้นที่ปลูกอยู่รอบสระจะร่วงไม่มาก
แต่คืนที่เขียนอยู่นี้นี่ลมแรง ตื่นมาเขียนก็เพราะได้ยินเสียงลม และเสียงอะไรล้มตกลงไปชั้นล่างนี่แหละ
กว่างานที่สระจะเสร็จก็สายแก่ๆ แล้ว ผมก็มีเวลาพักอีกนิดหน่อยก่อนหาอะไรกินกลางวันกันประสาพ่อกับลูกชาย

 

ขอแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่จะเมื่อยตาเปล่าๆ 
ผมเองเวลาอ่านในจอนานๆ ก็มึนเหมือนกัน

 

คิดถึงและหวังว่าจะได้พบกันเร็วๆ นี้ 

จอห์น (ฝรั่งเจ้าของมันเรียกผมอย่างนี้ในวันแรกที่มาถึง –ผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ ก็เปลี่ยนที่อยู่แล้ว แปลงชื่อซะหน่อยจะเป็นไรไป /ฮา)
 
เช้ามืดในคืนวันหนึ่งปลายเดือนสิงหาคม

 

nandialogue

 

ตอบ จอห์น พะงัน

หนึ่ง, หากการประท้วงของศิลป์ยังอยู่ในกรอบสันติวิธี หวังว่าบุพการีของเขาจะไม่ออกใบอนุญาตให้ใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง

สอง, งานอาสาทำความสะอาดสระว่ายน้ำของคุณสร้างความละอายใจแก่บรรณาธิการ nan dialogue อย่างมาก รายนั้นนอกจากไม่ยอมแปดเปื้อน ลงมือเอง ยังตัดสินใจใช้เงินจำนวนสามร้อยบาท จ้างวานเจ้าพนักงานเทศบาลคนหนึ่งมาเก็บกวาดขยะวัชพืชจนสะอาด ดีต่อใจ บางบ่ายมองเห็นปลาช่อนตัวโตแหวกว่ายชื่นชมชีวิต แต่มันก็เป็นอย่างที่คุณว่า คล้อยหลังไม่กี่ทิวาราตรี วัชพืชผู้ขยัน มั่นคงและไม่รู้จักคำว่าแพ้ ก็กลับมาเขียวชอุ่มคลุมสระน้ำกลางป่าดังเดิม

ฝ่ายหนึ่งเก็บกวาด อีกฝ่ายรุกล้ำ เปื้อนเปรอะ

วนเวียนไม่จบสิ้น

กำลังคิดว่า ถ้าใช้ถุงก๊อบแก๊บคลุม มัดปากให้แน่น แบบตำรวจเฟอร์รารี่เขาทำ มันจะเวิร์กไหม
พอนึกใบหน้าและคำตอบคุณจอห์นออก ว่าพี่แม่ง–

 

ดีใจที่ได้รับจดหมายจากพะงัน ดีใจที่ได้ข่าวสารของคุณ มันคล้ายมีเสียงคลื่นเสียงลมลอยอบอวลมาด้วย ยิ่งในยามที่เดินทางยากอย่างนี้ ไม่แน่ใจในตัวเองว่ามันช่วยทุเลา ผ่อนคลายให้หายคิดถึง หรือยิ่งคิดถึงมากขึ้น

แต่การได้ฟังเรื่องใหม่ๆ ก็เหมือนเสียงเปิดเบียร์ขวดใหม่ คนหนึ่งเล่า อีกคนริน และหวังว่าเวลาแบบนี้เจ้าศิลป์มันคงไม่ประท้วง.

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (หรือ จอห์น) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน


 

 

You may also like...