interview

จาก วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ถึง วัฒน์ วรรลยางกูร บันทึกไว้ ณ วันที่ไปส่งพี่โบยบิน

นี่เป็นอีกหนึ่งเทป อีกชิ้นงานบทสัมภาษณ์ที่ทำใจลำบาก

ไม่เหมือนหรอก แต่คล้ายๆ ตอนเขียนเรื่อง ไม้หนึ่ง ก.กุนที เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2014 ส่งตีพิมพ์ในนิตยสาร WRITER เพื่อนถูกยิง คนที่ยังอยู่ต้องมานั่งเขียนหนังสือ

หลังจากที่เราคุยกันมาสักพัก (หลายปี) พี่เคยบอกว่า–ทำเป็นเล่มเลย รับรองสนุกกว่า ‘portrait ธนาธร’

ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ในใจมีแต่เรื่องที่เรานัดหมายกันว่าหมดโควิด หรือเดินทางได้เมื่อไร ผมและเพื่อนๆ พรรคพวกเราจะบินไปหาพี่

ช่วงนี้งดดื่ม จริงๆ ก็หยุดมาเป็นปีแล้ว–พี่บอก

ตั้งใจพักตับ พยายามประคับประคองฟื้นฟูร่างกายบอบช้ำ เพื่อว่าเจอน้องๆ เมื่อไร จะได้ชนแก้ว ดื่มด่ำเสวนา

แต่ก็นั่นแหละ เป็นผมเองที่เชื่องช้าอีกแล้ว

ตื่นเช้ามาเห็นข่าวพี่ คุยกับลูกชายพี่ ฟังเสียงเขาร้องไห้ และผมก็เป็นไอ้บื้อ ไอ้โง่คนเดิมที่พูดอะไรไม่เป็นเลย บางขณะสับสน คิดถึงเทปเก่าๆ ของพี่ ที่เราคุยกันไว้ต่างกรรมต่างวาระ อย่างที่เคยเล่านั่นแหละครับ อยู่บ้านป่าบางวันผมเอาเสียบต่อเข้าลำโพง ฟังพี่พูดคุย เออ อย่างน้อยแม่งก็เหมือนนั่งฟังพี่อยู่ใกล้ๆ

ผมชอบฟังทั้งน้ำเสียงนุ่มๆ ทุ้มๆ และจังหวะจะโคนของพี่ ชอบเสียงหัวเราะ โคตรชอบ เสียงหัวเราะพี่ไม่เหมือนใครเลย มันมักจะเจือความสะใจ ไม่ยี่หระ บ่อยครั้งก็มีความขำขื่นๆ แบบตลกร้าย ส่วนเรื่องที่พี่เล่า บ่อยครั้งที่ผมอัศจรรย์ใจว่ามันสมองหรือหัวกะโหลกของใครคนหนึ่งมีความสามารถในการจดจำเรื่องราวนานาสารพันได้ขนาดนี้เชียวหรือ

ผมคิดกลับไปกลับมาหลายรอบ ว่านอกจากตั้งสติ ตั้งหลักนิ่งๆ ควรจะทำอะไรในวันนี้

สุดท้ายตัดสินใจว่าขอเปิดเทป (บางส่วน) วันที่ 11-13 พฤษภาคม 2019 ที่ผมกับเพื่อนไปส่งพี่ที่เวียงจันทน์ ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เราพบหน้ากันตัวเป็นๆ ถัดจากรอบที่ไปบ้านริมบึง (เพิ่งซื้อที่ ยังไม่เริ่มก่อสร้างด้วยซ้ำ ยังจำภาพพี่ยืนคุยกับ บินหลา สันกาลาคีรี ได้ชัด) 

ตัดสินใจถูกหรือผิดไม่แน่ใจครับ สิ่งที่แน่ใจ ผมคิดว่าเสียงของพี่มีความหมายต่อเสรีชน ต่ออารมณ์ผู้คน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในวันนี้ และแน่นอน, ในอนาคต

ปล. 1 ตัดมาให้อ่านพอสังเขป เนื่องจากฟังเสียงและทำต้นฉบับไปแล้วตาพร่า มองไม่เห็นจอ ขออภัยต่อผู้อ่านมา ณ ที่นี้

2 ภาพเปิด วัฒน์ วรรลยางกูร ชูหลักฐาน หมายเรียกตำรวจ คดี ม.112 ที่เขาจำต้องลี้ภัย

 

interviews nandialogue

 

อยากให้พี่บอกเล่าอารมณ์วันนี้ วันที่กำลังจะเดินทางไปฝรั่งเศส สภาพจิตใจ ความรู้สึกตอนนี้..

จิตใจมึนๆ ยังไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์เลย มึนๆ ต้องคิด ก ข ค ง จะออกชอยซ์ไหน นาทีต่อนาที จะว่าเครียดก็ไม่เครียด จะว่าปลอดโปร่งก็ไม่ปลอดโปร่ง เหมือนเราไม่รู้ว่าฝนจะตกหรือเปล่า ก็ อยู่กับความเป็นจริงไป อยู่กับปัจจุบัน ถามว่ากังวลอนาคตมั้ย มันมีเรื่องเยอะแยะ ถ้าจะกังวล แต่ก็ พยายามตัดความกังวล อยู่ไป ความรู้สึกแบบนี้มันผ่านมาเยอะ เยอะมาก เกือบจะตลอดชีวิต (หัวเราะขื่นๆ) ตั้งแต่สมัยหลังสิบสี่ตุลา หกตุลาฯ หลังหกตุลาฯ จนถึงทุกวันนี้ มันก็อยู่แบบนี้ ชีวิต มันไม่มีอะไรเสถียรเลยในเรื่องสวัสดิภาพ สิทธิเสรีภาพ ไม่เคยปลอดโปร่งเลย อึมทึม เราก็ต้องคิดหาทาง หลบ หลีก ลี้ ใช้สมอง ใช้พลังงานไปเยอะในเรื่องพวกนี้ อย่างวันนี้ตื่นมาตอนตีสี่ตี่ห้า วันนี้กูเจออะไรบ้างวะ เหมือนเขียนนิยาย ตัวละครเราจะเจออะไรบ้างวะวันนี้ แล้วแต่จะเจออะไร เราจะทำใจยังไง แก้ปัญหายังไง มันไม่ใช่ชีวิตมาตรฐาน วันนี้ไปนี่ๆ ต้องเจอสิ่งนี้ๆ บินไปตรงนั้น เจอสิ่งนั้น แต่ของเราเดาไม่ได้ ก็.. เจออะไรก็เจอ แล้วค่อยแก้กันไป เหมือนตอนเย็นวันที่หกตุลาฯ ขึ้นรถไฟจากสถานีหัวลำโพง ไปกับเพื่อนอีกคน ตายไปแล้วเพื่อนคนนั้น ก็.. แยกกันนั่งคนละที่ เวลาเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว เราก็จะ..เฮ้ย ตำรวจหรือเปล่าวะ จะไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า แต่มันก็รอด รอดมาเรื่อยๆ รอดมาหลายรอบแล้ว (หัวเราะ)

พี่ไปวันที่หกตุลาฯ พอดีเลยเหรอ

เย็นวันที่หก ผมไปเลย ถือหลักนี้มาตลอด เวลาถูกไล่ล่าคือต้องหนีให้เร็ว หนีให้พ้น ก็แค่นั้น หลักการในชีวิต เลยรอดคุกมาเรื่อยๆ รอดตายมาเรื่อยๆ ส่วนคราวนี้จะรอดหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้ เป็นเรื่องอนาคต เดินทางในวันที่คนไทยจะไปประท้วงสถานทูตเวียดนามพอดีเลย การหายตัวไปของลุงสนามหลวงกับสยามและยังก์บลัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก เคยกินนอนด้วยกัน ผมเคยทำหน้าที่เป็นพ่อครัวให้เขาอยู่สี่เดือน ตึกสี่ชั้นอยู่ด้วยกัน ผมอยู่ชั้นล่างสุด ห้องข้างครัว ผมนอนในห้องกินข้าว ทำกับข้าวให้เขากินกัน กับสยามนี่สนิทกันมาก คุยเรื่องเพลงลูกทุ่งกันได้ทั้งวัน คุยได้ทั้งวันจริงๆ เขาเป็นคนที่ใฝ่ศึกษา เขาดูดความรู้เรื่องเพลงจากผมไปเยอะ และผมยินดีให้เขาดูดไปอยู่แล้ว เพลงนี้ใครแต่ง อะไรยังไง ซึ่งมันอยู่ในตัวผมเยอะมาก เรื่องพวกนี้ คุณดูดทั้งวันก็ไม่หมด (หัวเราะ) แฮนดี้ไดร์ฟของคุณมันเล็กไปด้วยซ้ำ ข้อมูลที่อยู่ในเครื่องผม มึงดูดเลย ไม่มีวันหมด ทุกวันนี้ผมไม่ต้องเปิดฟังเพลงนะ เวลาคิดถึงเพลงอะไร มันจะมาอยู่ในตัวเราตลอด และไม่รู้มันมาได้ยังไง (ร้องเพลงขึ้นมา) คิดถึงบ้านน้อยเราอยู่เคียง.. เพลงของ อ๊อด บรั่นดี คือผมมารู้ทีหลังว่าอ๊อดเป็นคนแต่งเพลงนี้ ผมเลยทึ่งมัน แต่ก่อนนึกว่ามันเป็นแค่นักร้อง ดารา เพลงนี้อยู่ในหัวผมมาหลายวันแล้ว ลบก็ไม่ออก มันดังอยู่ตลอด

ทำไมมาดังช่วงนี้ แต่ไหนแต่ไรมาพี่ไม่เคยพูดถึงเลย

มันมาของมันเอง คงเกี่ยวกับการคิดถึงบ้าน มันมาและแม่งเจ็บปวด ผมสร้างบ้านเสร็จแล้วไม่ได้อยู่ วันที่ 18 พ.ย. ขึ้นอยู่จริงๆ บ้านเสร็จ ปี ’61 ถึงวันนี้ก็เกือบหกเดือน ก่อนหน้านี้ผมไปอยู่ตูบน้อยสีเขียวเกือบปี อยู่ตรงนั้น พอน้ำหายท่วม ผมเริ่มเตรียมการสร้างบ้าน วางแผน จะเขียนนิยาย เขียนความเรียง 5 years in exile ทีแรกมัน 4 years ปรากฏว่า 4 ไม่ทันไร โดนสั่งย้าย ถูกขอคืนพื้นที่ (หัวเราะ) ปีนั้นเซ็งทั้งปี จิตซึมเศร้าจนป่วย เข้าโรงพยาบาล ..เกือบตาย ไม่มีแรงจะเดิน ต้องให้เลือดสามถุง ให้น้ำเกลือสี่ถุง จึงมีแรงลุกขึ้นอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ทรุด เนื้อตัวเหี่ยวแห้งไปหมด กล้ามเนื้อหายหมดเลย กล้ามเนื้อร่างกาย กล้ามเนื้อจิตใจเหี่ยวไปหมด มันเหมือนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ตื่นเช้ามาไม่อยากขยับตูดน่ะพูดง่ายๆ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เป็นแบบนั้นเพราะอะไร จะว่าไป ก่อนนั้นก็เจอเรื่องหนักๆ มาตลอด

ก่อนนั้นร่างกายดี จิตใจดี คือมันอาจหลายปีแล้วไง อยู่ไปแล้วไม่มีอะไรขยับเขยื้อนในทางที่ดีขึ้น คิดถึงเหตุการณ์บ้านเมืองทีไร จิตใจก็เหี่ยวลงๆ ถ้าคิดเยอะ ก็เลยไม่อยากคิดไง หันไปสนใจเรื่องมวย วิเคราะห์เรื่องศรีสะเกษ (นครหลวงโปรโมชั่น) พยายามคิดเรื่องอื่น แต่มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย สถานการณ์บ้านเมืองแม่งแย่ลง และจะแย่ลงไปอีกในวันข้างหน้า บ้านเมืองว่าแย่แล้ว ตัวเรายิ่งแย่เข้าไปใหญ่ อายุมากขึ้น พอย้ายที่อยู่ ไปอยู่ในที่ที่จะเดินยังไม่มี มันแฉะไปหมด ขี่มอไซค์ยังติดหล่มเลย คิดดู ชีวิตกูโคตรเลย (หัวเราะ) เลยไม่อยากวิ่ง ปกติผมจะวิ่งไง ไม่อยากวิ่ง ปล่อยตัวเป็นปี ไม่ตายก็ดีแล้ว ไม่รักตัวเอง คล้ายๆ พวกซึมเศร้า แต่ยังดี ยังมีคนที่มาคอยช่วยฉุดเราขึ้นจากการจมปลักตรงนั้น ลูกบ้าง ผู้สาวบ้าง เพื่อนบ้าง ทั้งรุ่นเดียวกัน เพื่อนรุ่นน้อง มาช่วยรั้งเอาไว้

โดยมากเราอยู่คนเดียว เขามาแป๊บๆ ก็ต้องกลับเพราะทุกคนมีภาระของตัวเอง เลยไม่เรียกร้องใคร ตายก็ตายวะ กูอายุขนาดนี้แล้ว ไม้ เมืองเดิม อายุแค่ 37 เอง กูอยู่มา 64 แล้ว (หัวเราะ) เกือบสองเท่าของ ไม้ เมืองเดิม (หัวเราะ) โกวเล้งอยู่แค่ 47-48 ยาขอบ 49 กู 64 จะเอาอะไรอีกวะ (หัวเราะ) ตายก็ตาย บางวันตื่นเช้ามา มันไม่นึกอยากทำอะไร จะไปหาฟืนยังขี้เกียจเลย เลยไปซื้อเตาแก๊ส เออ แก้ปัญหาง่ายๆ (หัวเราะ) เมื่อก่อนเช้ามามีความสุขที่ได้ไปหาฟืน ..กูไม่อยากหาฟืนแล้ว ขี้เกียจฉิบหาย ทำไงดี ขี่มอไซค์ไปซื้อเตาแก๊ส หนึ่งพันหกร้อยบาท เออ มันก็แก้ปัญหาได้ (หัวเราะ) เรื่องง่ายๆ จะคิดให้แม่งยากทำไม ใช้เตาแก๊สดิ ขี้เกียจหาฟืน

ที่พูดนี่คือตอนอยู่บ้านหลังไหน

บ้านริมบึง เพิ่งซื้อ ตัดสินใจซื้อได้สักสองเดือน ที่จริงฟืนเยอะแยะ

ถ้านับเงินที่ใช้ก่อสร้างบ้านริมบึง..

(ตอบเร็วมาก) แสนเจ็ดหมื่นบาท เป็นเงินที่ได้จากครูไพบูลย์ให้มา ครูไพบูลย์ บุตรขัน ให้มาแสนสอง และ ‘ด้วยรักแห่งอุดมการณ์’ ห้าหมื่น รวมแล้วแสนเจ็ด ไม่นับพวกห้องน้ำ สามหมื่นห้า เป็นเงินก่อนหน้านั้น ต้องขอบคุณ หนังสือพวกนี้ไม่ได้พิมพ์ตามธรรมชาติเท่าไร มันพิมพ์ด้วยวิธีพิเศษ ความช่วยเหลือพิเศษ ตลาดหนังสือวิปริตแล้วช่วงนี้ ทั้งการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและการเมืองเศรษฐกิจ ผมได้มาขนาดนี้ถือว่าดีมากแล้ว ปกติผมอยู่แบบผู้ขอ เป็นภิกขาจาร อาศัยการช่วยเหลือจากมิตรสหายเป็นหลัก ช่วงไหนไม่มีเงินก็อยู่นิ่งๆ ใช้หลักการของหมาวัด ไม่ใช่วันพระก็ไปนอนอยู่ใต้ถุนศาลา พวกหมาวัด นอนนิ่งๆ ถ้าวันพระวิ่งกันพล่าน ของกินเพียบ (หัวเราะ) ไข่ต้ม ไข่เค็มเกลื่อนไปหมด เราก็เอาไข่เค็มไปขว้างหัวหมาเล่น หมาก็ได้กิน ใช้หลักการหมาวัด ชีวิตยามไม่มีของกินก็อยู่นิ่งๆ อย่าซ่าส์ แต่ไอ้เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องอยู่กิน

ตอนเก็บของหรือนาทีที่เดินออกมาจากบ้านริมบึง ความรู้สึกมันเป็นยังไง

เศร้า (กดเสียงหนัก) อยู่ได้แค่.. วันที่ 18 พ.ย. ขึ้นนอนคืนแรก พอ 12 ธ.ค. เกิดเรื่องสุรชัย (ด่านวัฒนานุสรณ์) โดนอุ้ม ฆ่า สามศพลอยแม่น้ำโขง และภาพแม่งโคตรสยอง ไม่ต้องบรรยายนะ และคนที่ถูกฆ่าทุกคน เรารู้จักใกล้ชิดสนิทสนม ภูชนะ อยู่ที่แคมป์เก่าผมสามปี นอนห้องติดกัน เขาก็ดีกับผม ภูชนะเขาจะเอาไฟไปดักแมลง ได้วันๆ หนึ่งครึ่งคุ ครึ่งถังน้ำ กินแมลงประจำ เขาเอาไปนึ่งก่อน เสร็จแล้วเอามาหมักด้วยรสดี น้ำปลา น้ำตาล อร่อย เขาทำอร่อย ตั้งแต่ผมกินแมลงมาทั้งหมด ภูชนะทำอร่อยที่สุด เอาไปทอดน้ำมัน ใส่น้ำมันครึ่งกระทะ ตั้งไฟรอให้มันร้อน และโยนลงไป กรอบ หอม หวาน เค็ม ที่ผมจำได้มากที่สุด เขาทำให้ผมกินประจำ ก่อนที่จะไปนึ่ง เขานั่งหักปีกแมลง ถ้าปีกแข็ง เอาว่ากินสะดวกปากมาก ไม่ใช่กินแล้วติดฟันติดปาก ไม่มี กรอบ ตัวไหนกินไม่ได้ เขารู้หมด เขาเป็นคนมุกดาหาร อยู่ด้วยกัน เคยออกไปเดินเที่ยวป่าด้วยกันที่แคมป์บนเนินเขา

เขารักผม ผมรู้ ส่วนเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องของเขา ผมไม่เกี่ยว

 

interviews nandialogue

 

พูดง่ายๆ ว่าเดือนเดียวที่เพิ่งอยู่บ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จ ก็เกิดเหตุการณ์..

เออ เดือนเดียว คุณคิดดู เหมือนคนแต่งงานใหม่ๆ แล้วคนรักตายไป ความรู้สึกมันแบบนั้น ผมไปซื้อเก้าอี้สีชมพูมา ตัวนั้นน่ะ กะเอามานั่งเขียนหนังสือ เพราะผมทำระเบียง ..ผมคิดไว้หมดแล้วว่าสูงขนาดนี้ นั่งเขียนหนังสือได้สบาย เขียนตรงไหนก็ได้ ที่เป็นระเบียง แล้วเอาเก้าอี้ตั้งบนชานที่ไม่มีหลังคา ระเบียงคือที่มีหลังคา แผนล้มหมดเลย จะเขียนนิยายเรื่องนางฟ้า โดยจะขยายจากเรื่องสั้นที่เคยลง ‘ต่วยตูน’ ปี ’53 เรื่องนี้เขียนได้เลย มันคล้าย ‘ภูตพิสวาส’ ความรักต่างมิติ จริงๆ คือเขียนให้เมียนั่นแหละ คิดถึงเมีย นักประพันธ์ไส้แห้งควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้นะ อะไรแบบนี้ นางฟ้าจะมาคอยดูแลนักประพันธ์ไส้แห้ง แม่งมันส์ฉิบหาย มาทำอาหารอร่อยๆ ให้กิน เธอผอมเกินไปแล้วนะ ..โอย สวย อยู่ในกระเป๋า ลงใน ‘ต่วยตูน’ ปี ’53 เพิ่งมาคิดออกตอนหลังไง กูเคยเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ไว้นี่หว่า มีคนหามาให้

พอเกิดเรื่อง ไม่มีอารมณ์เขียนหนังสือแล้ว ?

(สวนเร็ว) มันจะไปเขียนได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวก็ต้องย้ายบ้าน เกิดเรื่อง 12 ธันวาฯ พอ 13 เขาสั่งย้ายบ้านแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเราบอกอันตราย ย้ายกันทั้งหมด ไม่เฉพาะเรา หลายสิบคนที่อยู่ในประเทศนี้ ต้องย้ายกันหมด พอย้าย มีเพื่อนมารับผมเดินทางไกลไปหลายร้อยกิโลเมตร ไปก็ ไปโดนนั่นนี่ มีปัญหาอะไรต่อมิอะไร ยุ่งเหยิง เพราะเราไม่มีพาสปอร์ต เกือบต้องนอนคุก แล้วจะไปมีสมาธิเขียนหนังสือได้ยังไง พอลงมาก็หาเซฟเฮาส์ ช่วงนั้นมองจากภาพถ่ายทางอากาศลงมา เห็นหลังคาบ้านเราเลย หนังสือขอตัวกลับไทยแต่ละครั้ง มันจะมีภาพบ้านที่เราอยู่ทุกครั้ง แล้วผมก็ติดอันดับหนึ่งในห้ามาตลอด พวกลุงสนามหลวง สุรชัย อยู่อันดับ 1-2

ปาร์ตี้ลิสต์ ?

เออ (หัวเราะ) แล้วตอนนี้พวกอันดับหนึ่ง สอง หมดไปแล้ว ถามว่าแล้วใครจะขึ้นอันดับหนึ่ง ไอ้โยนกแม่งบอก ดีใจด้วยนะพี่ พี่ขึ้นอันดับหนึ่งแล้ว ..เออ ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูตบเลย มึงเอามาพูดเล่นได้ไง เรื่องนี้ กูจะตายทั้งคน มึงเห็นเป็นเรื่องสนุกเหรอ ด่าแม่งเลย บางวันขี่มอไซค์เข้าไปในป่า ป่าแถวนั้น มีที่หลายร้อยไร่ซึ่งชาวบ้านที่เป็นมิตรกับเราพาไป ทุกวันนี้ฝากบ้านไว้กับเขา ให้ดูแลไป จะได้กลับมาเมื่อไรก็ไม่รู้ สงสารบ้าน ..ดี ผมใจแข็ง ไม่ยอมเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว เที่ยวนี้ ไม่งั้นหนักไปใหญ่ ไอ้แหลม (ชื่อหมา) ผมตั้งใจเลี้ยงมัน ดีว่าโยนให้ตานวมเอาไปเลี้ยง แม่มันออกลูกมาเก้าตัว ผมเอาไปตัวนึง

คิดไว้แล้วว่า หมา แมว ไม่เลี้ยง ?

เออ มันผ่านมาแล้วไง เคยทิ้งหมาไว้ท่าเสา 4 ตัว เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ไม่อยากให้ซ้ำรอยอีก

บ้านริมบึงที่จริงเหมาะกับเลี้ยงหมาแมว ?

เหมาะมากเลย พื้นที่กว้าง ตั้งสามไร่สองงาน

เก็บกระเป๋าวันเดียว ?

แป๊บเดียว ไม่เอาอะไร กระเป๋าใบนั้นก็ลูกเขาซื้อให้ เอาแค่เสื้อผ้า หนังสือก็เอาเฉพาะหนังสือตัวเองสองสามเล่ม หนังสืออื่นๆ ทิ้งไว้ในห้องนอน เสื้อผ้าโละให้เพื่อนบ้านไปสองถุงปุ๋ย ก็แค่นั้นแหละ เดินทาง (เว้นวรรคนาน) ก็.. ความหวังคือไปนั่งในที่ที่มีสมาธิ จะเขียนหนังสือ อ่านหนังสือได้อย่างปกติ แล้วก็นั่งกินเหล้าอย่างเพลินๆ ไม่ใช่แบบ.. พอคนมา เฮ้ย ใครมาวะ อะไรแบบนี้ เบื่อชีวิตแบบนี้ กูไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไอ้เหี้ย แต่ต้องคอยระแวงว่าใครจะฆ่า มาไล่ล่า มาอุ้ม เวลามีรถเข้ามา เพราะว่าบ้านเราอยู่ติดหนองใช่มั้ย คนเขาก็จะมาหาปลา บางทีมาจากต่างอำเภอ ต่างจังหวัด ขับรถมาทีสามคัน มาหาปลา

สะดุ้ง ?

สะดุ้งสิ แม่ง รถใครก็ไม่รู้เข้ามา ต้องคอยจ้อง ช่วงนี้เขามาหาปลา มาซื้อซุ้มปลา คือคนท้องถิ่นเอาไม้สุมไว้เป็นรังปลาใช่มั้ย คนต่างถิ่นมาซื้อ ขายซุ้มละเท่าไร แล้วล้อมหาปลากัน มีตลอดเลย เราก็.. ใครมาทีก็สะดุ้งที กลางคืนคนเข้ามา สาดไฟ จับเขียด จับจิ้งหรีด มากันทีสี่ห้าหกคน ตรงมาบ้านเรา มาขอน้ำกิน ผู้หญิงทั้งนั้น (หัวเราะ) กูจะไปรู้เหรอ ใคร ผู้หญิงผู้ชาย มามืดๆ ขอน้ำกินหน่อยเด้อ พ่อตู้ (หัวเราะ) เป็นพ่อเฒ่าแล้วเดี๋ยวนี้

จะกินจะนอนมีแต่ความกังวล ?

มันกังวล แล้วจะไปเขียนหนังสือได้ยังไง กินเหล้ายังไม่สบายคอเลย พอกังวล ยังดีว่า ผมนอนหลับได้ทุกคืนเพราะกินกงสะเด็น (เหล้าลาว) สูบบุหรี่ที่ทายาหม่องกัญชา เรื่องนอนไม่มีปัญหา ร่างกายเลยยังโอเค ไม่งั้นเดี้ยงไปแล้ว โดยรวมถือว่าพอนอนหลับอยู่ แต่กิน บางวันแซ่บ บางวันไม่แซ่บ กินข้าวคนเดียวมันจะแซ่บได้ไง ถ้าช่วงไหนลูกมาจะกินข้าวอร่อย ลูกมา ผู้สาวมา กินข้าวอร่อย ถ้ากินคนเดียว บางวันผมกินข้าวมื้อเดียว บางวันกินข้าวเช้าตอนบ่ายสามโมง ..ตามอารมณ์ ปล่อยตัวมากเลย พอกินบ่ายสาม ตกเย็นก็ไม่หิว แล้วก็แดก ‘กงสะเด็น’ หลับ ซึ่งก็ไม่ได้หลับในห้องนอนหรือบนฟูก นอนนอกชานบ้าง

กินตรงไหนนอนตรงนั้น ?

เออ ชีวิตโคตรมีเสรีภาพเลย (หัวเราะสะใจ) บางทีหลับใต้ถุนบ้าน

ตอนเก็บกระเป๋าออกมา พี่คิดว่าจะได้กลับมาบ้านอีกมั้ย

ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะผมดูเกมการเมืองไทยนี่แม่งยังอีกยาว ทำไมยาว เพราะว่ารัชสมัยที่แล้ว 60-70 ปี เขาได้ฝังรากความ.. อะไรก็ไม่รู้ เยอะมาก ได้มีการทิ้งระเบิดใส่หัวคนไทยไว้ยิ่งกว่าที่อเมริกามาทิ้งระเบิดใส่แขวง แขวงอะไรวะที่ไทยพวนเยอะๆ

ใช่เชียงขวางมั้ย

เออๆ ใช่ คือโอบามายังคิดจะมากู้ระเบิดที่เชียงขวาง แต่ศักดินาไทยไม่เคยคิดกู้ระเบิดจากหัวสมองคนไทยเลย ผมนั่งคิดเปรียบเทียบแบบนี้ ระเบิดที่มันอยู่ในหัวคน มันเป็นงานหนักเกินแรงของกวีไส้แห้งอย่างเราที่จะไปกู้ให้หมด ผมรู้สึกแบบนั้น อาจจะชั่วชีวิตผมก็ได้ ถ้ายังเก็บกู้ระเบิดในหัวคนไทยไม่หมด ผมก็คงหมดหวังที่จะกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติที่ท่าเสา คิดไปคิดมา มันไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ความหวังนี้ ผมคงมีชะตากรรมแบบ ‘ศรีบูรพา’ หรือใครต่อใคร แต่ที่ผมจะไม่เหมือนศรีบูรพาคือผมจะทำงานต่อไป

ผมมีเรื่องอยากเขียนเยอะ ยิ่งแม่งเป็นแบบนี้ ถึงจะเก็บไม่หมด แต่ผมจะพยายามเก็บกู้ระเบิดออกจากหัวคนไทย โดยผ่านปากกาของผม ที่เราคิดนะ ขอให้ผมได้อยู่ในที่ที่มันสงบหน่อย ไม่ใช่แบบ.. เดี๋ยวย้ายๆ สันติบาลโทรฯ มา –พี่ ช่วงนี้เขาส่งกำลังเข้ามาเจ็ดร้อยนะ และบ้านพี่นี่คือเสียลับหมดแล้ว กูก็ต้องไปดิ จะอยู่เป็นเป้าทำไม และจะไปทำอะไรได้

ช่วงหลังยังดีที่สุดคือมีสมาธิในการอ่านหนังสือบ้าง หนังสือที่มีอยู่ก็อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก ‘มังกรหยก’ นี่อ่านไปสองสามรอบแล้ว อ่านสำนวน ว. ณ เมืองลุง บ้าง น.นพรัตน์ บ้าง อ่าน ‘สามก๊ก’ ฉบับวนิพกสองรอบแล้ว ของยาขอบ ไม่นับที่อ่านมาสมัยเป็นเด็กวัยรุ่น แต่ยิ่งอ่านมันยิ่งดี หนังสือดีๆ นี่ ReRead นี่มันดี ‘ปีศาจ’ ก็อ่านซ้ำไปแล้ว หนังสือมีไม่เยอะก็ดีตรงที่เราได้อ่านซ้ำ (หัวเราะ) และเป็นหนังสือที่เรารู้แล้วว่ามันดี ‘ปีกหัก’ ของ คาริล ยิบราน หรืออย่าง ‘ปรัชญาชีวิต’ ก็อ่านจนจำได้ อ่านจนโต้แย้งกับ คาริล ยิบราน ได้ เถียง อันไหนเราว่าไม่ใช่

ชักรู้เยอะ ขอเถียงหน่อย ?

นั่งเถียงกับ คาริล ยิบราน น่ะ (หัวเราะ) ชักเหิมเกริม ไปเถียงกับครูบาอาจารย์ เถียงกับ เสนีย์ เสาวพงศ์ ว่าทำไม สาย สีมา ไปเที่ยวชายหาด ไปเจอพี่เขยรัชนี มันบังเอิญเกินไปนะ แต่พอไปอ่านของกิมย้ง แม่งก็บังเอิญ ถ้าไม่บังเอิญ เรื่องมันเดินไม่ได้ (หัวเราะ) เมื่อก่อนเรารู้สึกอายนะว่า เฮ้ย ไอ้แผน (ชื่อตัวละครใน ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’) เจอโน่นนี่ แต่แม่งนิยายก็ใช้ความบังเอิญทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่บังเอิญแล้วมันไปต่อไม่ได้ นิยายก็ต้องแบบนี้ คุณจะเคร่งครัดตายตัว มันเขียนไม่ได้หรอก การเล่าเรื่องต้องมีความบังเอิญอยู่บ้าง แหม ไปเจอกันที่ชายหาดพอดี สาย สีมา ไปเจอพี่เขยรัชนีไปกับผู้หญิงอื่น โอย ไปดูใน ‘มังกรหยก’ มันบังเอิญฉิบหายหมด จอมยุทธ์มาเจอกันเต็มโรงเตี๊ยม (หัวเราะ)

เสร็จแล้วมันสนุกมั้ย สนุก ได้เรื่องมั้ย ได้เรื่อง มันส์มั้ย มันส์ นิยายมันก็แบบนี้ แต่อย่าบังเอิญมากเกินไป เอาเท่าที่จำเป็น นี่อ่านจนจับผิดครูอาจารย์ได้ และกูก็เอาบ้างดิ ครูยังทำได้ กูก็ทำได้ (หัวเราะ) เสนีย์ เสาวพงศ์, กิมย้ง อาศัยเหตุการณ์บังเอิญช่วย นี่ให้น้องๆ เขาหา ‘ภูตพิสวาส’ ให้ เพื่อจะได้เขียนนิยายเรื่องนางฟ้า คือชาวบ้านไม่เห็น นางฟ้าจะมาหาตอนกลางคืน หรืออะไรก็แล้วแต่ เหมือนภูตพิสวาส พระเอกเป็นทนายความหนุ่ม มีภูตสาวสวยมาอยู่เป็นเพื่อน ดูแล ทำอาหารให้กิน มันไปแนวเดียวกัน แต่ของเราจะเป็นอาหาร ตัวกวีต้องแต่งกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานของนางฟ้า คิดแล้วมันส์ เพราะเราเขียนกลอนได้ด้วย สูตรแกงส้มเขียนเป็นกาพย์ยานี เขียนไปเขียนมาแล้วเป็น cook book พิมพ์แล้วขายดี โดยการชี้นำของนางฟ้า นางฟ้าทำ ไอ้กวีนี่ไม่รู้เรื่องอาหาร แต่กินแล้วแซ่บ ก็เขียนบรรยาย แล้วรวมเล่มกวีเป็นหนังสือขายดี กวีไส้แห้งเลยอ้วนขึ้น อิ่มหมีพีมัน มีเงินใช้ ทีแรก บทที่หนึ่ง กวีเห็นหลอดไฟ แล้วมันอดมากไง เห็นหลอดไฟแล้วคิดว่ามันจะกินได้นะ พยายามกินหลอดไฟ (หัวเราะ) ผมเคยมีเพื่อนไง แม่งเคี้ยวแก้ว ไอ้นิรันดร์ สุขวัฒน์

มันจะเคี้ยวหลอดไฟไปทำไม..

ไม่รู้ มันเมา เฮ้ย มันเคี้ยวได้ว่ะ เหี้ย แก้วแม่งแดกได้ (หัวเราะ) นางฟ้ามารับใช้กวี จากเมียเรานั่นแหละ –สามสิบปี เล็กคือนางฟ้า ตกสวรรค์ลงมาไม่หน่ายหนี นางฟ้าเต็มใจรับใช้กวี ซึ่งไม่มีเงินทองกองเลากา– เขียนให้เมีย ตอนเมียตาย นิยายเรื่องนี้มาจากตรงนั้น ไม่ต้องไปค้นคว้าอะไรเลย เอามาจากชีวิตจริง การเมืองก็อยู่ในนั้น นางฟ้าคุยการเมืองกับกวีได้ นิยายจะออกมาสวย และวันหนึ่ง วันที่เธอลงมาในคืนที่พระจันทร์ยิ้มคู่กับดวงดาว แล้วเธอก็จากไปในคืนที่พระจันทร์ร้องไห้ โรแมนติก การเมือง cook book เพราะเราสนใจเรื่องการทำอาหารอยู่แล้วไง และนางฟ้าก็หมักไวน์ให้กิน (หัวเราะ) เป็นเรื่องที่อยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องไปค้นอะไรเลย มันจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับแกงส้ม ตำน้ำพริก โอ มันส์ฉิบหาย คิดแล้ว แต่ไม่มีสมาธิจะเขียน เดี๋ยวไปโน่นจะเขียน อย่างน้อยก็สองเล่ม ที่คิดไว้ อีกอันเป็นบันทึกกึ่งความเรียง นั่นเขียนมาตั้งแต่อยู่เขมร ต้นฉบับส่วนหนึ่งมีแล้ว จะมาตัดต่อ เขียนเชื่อม เขียนเพิ่ม เป็นบันทึกกึ่งความเรียง ผสมเรื่องสั้น ผสมบทกลอน สารพัดเลย อาจหาทางแปลเป็นภาษาต่างประเทศซึ่งถ้าเป็นที่สนใจ ฐานคนอ่านและโลกของเราจะเปิดกว้างขึ้น พอคิดตรงนี้ได้เลยหายซึมเศร้าไปเหมือนกัน มองเห็นทางที่จะเดิน จากเดิมที่แบบ.. โอย เดี๋ยวย้ายๆ เบื่อชีวิตน่ะ เหมือนไม่อยากอยู่ บางวันไม่ได้คุยกับใครเลย ไม่ใช่บางวัน ส่วนมากอยู่คนเดียวทั้งวัน คุยกับดาวจระเข้จนเบื่อ ขี้เกียจคุยแล้ว

พูดอะไรด้วยมันก็ไม่พูดด้วย ไม่ไหวนะ ?

เออ แม่งจะปีอยู่แล้วยังไม่พูดอะไรกับกูเลย (หัวเราะ) ทีแรกก็โรแมนติกดี พอนานไป ไม่ไหวแล้วมึงนี่ คบไม่ได้ (หัวเราะ) แหม โรแมนติกจริงๆ คุยกับดาวจระเข้ ช่วงแรกที่บ้านเสร็จไง สวีต สวาท เสวย สวีตมาก แต่พอวันหลังๆ เดือนหลังๆ ชักไม่ไหว มึงจะหันหางไปทางไหน เรื่องของมึง กูไม่สนใจแล้ว.

 

nandialogue

 

nandialogue

เรื่องและภาพ: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

You may also like...