อรุณสวัสดิ์ครับพี่หนึ่ง
จริงๆ อยากเขียนสวัสดีตอนเช้าให้พี่หนึ่งมาหลายครั้งแล้วครับ เพราะตอนนี้ส่วนใหญ่มักจะเขียนจดหมายส่งหาพี่ช่วงเช้า (มืด)
หลังๆ มานี้ไม่รู้ว่าเป็นด้วยวัยหรืออย่างไร ผมมักตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืดอยู่บ่อยๆ พอเราเข้านอนพร้อมกับลูกตั้งแต่สองสามทุ่ม ตีสองตีสามก็ตื่นแล้วครับ มวนยา (ตอนนี้ผมหันมาสูบบุหรี่แบบโรล) ชงกาแฟ แล้วก็มาเปิดคอมพ์ เขียนหาพี่
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเลยครับ ฝุ่นเริ่มจับหนังสือหลายเล่มที่อ่านไม่จบและยังไม่ได้อ่าน นอกจากจะต้องฝึกวิชาหมากรุกกับเพื่อนบ้านแล้ว ช่วงนี้ผมเริ่มเข้าไปสู่โลกคริปโตฯ ครับ ผมเริ่มอยากมีรายได้จากเงินดิจิตอล ส่วนหนึ่งก็เลยหมกหมุ่นกับมันค่อนข้างเยอะ หลายปีมานี้ผมไม่สนใจโลกการเงินจำพวกตลาดหุ้นหรือกองทุนอะไรเลย
ส่วนหนึ่งก็อาจด้วยเป็นเพราะผมอยู่ในโลกของการผลิต (ของที่จับต้องได้) ก็เลยรู้สึกมาตลอดว่า ถ้าเราจะมีรายได้อะไรก็ควรมาจากการทำหรือสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง แต่กับโลกคริปโตฯ ผมกลับนึกถึงมันในอีกแบบ ทางหนึ่งมันก็ดูท้าทายอำนาจรัฐดีครับ ใจความประมาณว่า ถ้ามีเงินสักสกุลที่ไม่ต้องการการรับรองจากรัฐๆ ใด หรือไม่มีรัฐใดมีอำนาจควบคุมหรือใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเบ็ดเสร็จ (พิมพ์แบงค์นี่คือกิจกรรมทำกำไรขั้นเทพนะครับ แบงค์พันใบนึง ค่าพิมพ์บวกค่ากระดาษไม่น่าจะเกินสองบาท ส่วนต่างที่เหลือคือราคาเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นใจของคนถือ และกำไรของรัฐ)
หากแต่มันมีอยู่ได้ด้วยกลไกการเขียนโค้ด และความเชื่อมั่นของผู้ใช้เงินสกุลนั้น นักอนาธิปไตยแบบอ่อนๆ อย่างผมก็อยากจะลองเป็นส่วนหนึ่งของมัน พอได้เริ่มทดลองซื้อเหรียญดิจิตอลมาถือไว้ ก็อดไม่ได้ที่จะคาดและหวัง
ไม่ต่างอะไรกับคนที่ซื้อหวยหรือเล่นหุ้นเลยครับ หวยยังมีเป็นงวดๆ ออกเดือนละสองครั้ง ตลาดหุ้นยังมีช่วงตลาดเปิดแค่วันละ ๘ ชั่วโมง หยุดวันเสาร์ อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์ แต่ตลาดเงินสกุลดิจิตอลเปิดตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ๗ วัน ๑๒ เดือน และคงยาวไปอีกหลายปี
จากการลุ้นรายปักษ์แบบหวย สู่การลุ้นแบบพนักงานบริษัทแบบหุ้น กลายเป็นลุ้นรายนาทีทุกทีที่มีเวลาแบบคริปโตฯ แม้จะลงทุนไปไม่เท่าไร แต่ผมก็อยากจะดูความเคลื่อนไหวตลอด แล้วทุกวันนี้กระเป๋าตังค์เงินดิจิตอลมันอยู่ในมือถือ ก็เรียกว่าวันๆ นึงมันได้เวลาจากผมไปไม่น้อยกว่าเฟซบุ๊กเลยครับ ด้วยว่าไม่มีใครควบคุมเงินเหล่านี้โดยเบ็ดเสร็จ ค่าเงินดิจิตอลที่เราถืออยู่ก็สวิงสวายตลอดเวลา เช้าอาจมีพอให้เรากินเบร็กฟาสต์โรงแรมหรู บ่ายอาจเหลือให้กินแค่ข้าวแกง
ระบบอะไรที่ทำให้มูลค่าเงินในกระเป๋าเราแกว่งได้เยอะก็อาจทำให้จิตใจของเราแกว่งไปได้มากเท่านั้น เหมือนจะแย่ใช่ไหมครับ แต่ทางหนึ่งมันก็สร้างความหวังนะครับ แกว่งเยอะอาจทำให้เราเสียเยอะ แต่ก็อาจทำให้เราได้เยอะด้วยเหมือนกัน
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ (จริงอาจเรียกว่าเห็นดีกว่า) จากตลาดเงินดิจิตอลก็คือ ทุกอย่างเคลื่อนที่เป็นคลื่นครับ จะขึ้นหรือลงก็มักจะเคลื่อนไปเป็นคลื่น จะขึ้นก็ไม่ได้ขึ้นแบบไม่หยุดหย่อน หรือขึ้นเป็นเส้นเฉียงแบบตรงๆ เห็นมาหลายครั้งว่าการลงบ้างทำให้การขึ้นไปอยู่ที่สูงนั้นมั่นคงถาวรกว่า เวลาเราบอกว่าเหรียญไหนขึ้น แวบแรกใครๆ ก็อาจคิดว่ามันเคลื่อนที่ขึ้นมาตรงๆ แต่พอได้ดูใกล้ๆ เป็นหลักวัน ชั่วโมง หรือนาที มันทำให้ผมเห็นเลยว่า เส้นทางที่มานั้นคดเคี้ยวหรือลุ่มๆ ดอนๆ กว่าที่เรานึกถึงมากนัก
นี่คือสิ่งที่ดึงเวลาไปจากผมในช่วงเดือนที่ผ่านมา ขณะนั่งเขียนจดหมายฉบับนี้ ก็เริ่มหาทางลดเวลาของตัวเองลงจากสิ่งนี้แล้วครับ มันอาจทำเงินให้เราได้ แต่เปลืองเวลาในชีวิตเกินไป มีอีกหลายสิ่งที่ผมควรใช้เวลาด้วยมากกว่า
ไม่กี่วันก่อนมีเหตุให้ผมหยุดสิ่งนี้ไปได้หนึ่งวันเต็มๆ เผอิญมีเพื่อนสมัยมัธยมมาเยี่ยม เพื่อนคนนี้เป็นนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ใช้ทักษะทางภาษา (เป็นล่ามและนักแปล) และการเทรดหุ้นเป็นรายได้หล่อเลี้ยงให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่สนใจ ขึ้นเกาะมาได้หนึ่งวัน เราก็ตกลงกันว่า รุ่งขึ้นเราพากันเดินเท้าสู่หาดที่เข้าถึงทางรถได้ยากที่ชื่อว่า หาดขวด (Bottle Beach)
เราออกเดินตอนสิบโมงเช้า กะว่าจะไปนั่งพักผ่อนชิลๆ กันริมหาดแล้วนั่งเรือกลับ ช่วงแรกเราเดินอย่างรื่นเริง ทางโปร่งและเห็นวิวทะเลสวยเป็นระยะ เดินไปเรื่อยๆ เริ่มมีปีนขึ้นและไต่ลง บางช่วงเป็นหินลาดริมผาที่เราต้องเดินอย่างระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการลื่นตะไคร่ซึ่งอาจทำให้พลัดตกเขาได้ง่ายๆ เส้นทางพาเราลึกเข้าไปในป่ามากขึ้น มือใหม่อย่างพวกเราอ่านทางหรือแผนที่ไม่แม่นหรอกครับ ยังดีที่ว่ามีคนทำสัญลักษณ์ด้วยการพ่นสีแดงและเหลืองไว้บนหินข้างทางเป็นระยะๆ ทำให้เราพอมั่นใจได้บ้างว่าควรเดินไปทางไหน น้ำในกระติกพร่องไปเกินครึ่ง ลูกชายผมเริ่มเหนื่อยล้าและงอแง ฟ้าเริ่มครึ้มคล้ายกับว่าอีกไม่นานจะมีฝน หน้าปัดมือถือบอกกับเราว่ายังเหลือระยะอีกหนึ่งกิโลเมตร
แต่ก็นะ จากที่ได้เดินมา หนึ่งกิโลเมตรในหุบเหวนี่อาจหมายถึงหลายกิโลเมตรในที่ราบ นอกจากจะต้องคอยจับตาดู จับมือ และเหนี่ยวรั้งตัวลูกชายในบางช่วงของทางเดินที่หวาดเสียวแล้ว ในช่วงที่เดินง่ายๆ ผมต้องคอยตอบคำถามเค้าตลอดว่า อีกกี่นาที อีกกี่ก้าวเดิน จึงจะถึงหาดขวด เบื่อจะตอบคำถามเข้า ผมกับภรรยาก็หาเรื่องมาคุยกับเค้า หาเกม (ที่เล่นด้วยการพูด อาทิ ใบ้คำ ผลัดกันบอกคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต่างๆ ฯลฯ) มาเบี่ยงเบนความเหนื่อยล้า
แต่เท่าที่สังเกต เจ้าลูกชายบ่นถี่มากๆ แค่ช่วงกลางๆ ของการเดินเท่านั้น (เข้าใจว่ายังพอมีแรงอยู่ ฮา) พอช่วงท้ายนี่ไม่บ่นไม่พูดเท่าไรแล้วครับ ก้มหน้าเดินท่าเดียว ในใจคงคิดประมาณว่า เอาวะ รีบๆ เดินให้ถึง จะได้ยุติความทรมานนี้ซะที
เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายสองโมง เมื่อเท้าเราสัมผัสกับทรายบนหาดขวด เดินมาสี่ชั่วโมง พี่หนึ่งคงคิดว่าน่าจะมีอะไรดีๆ แน่นอนใช่ไหมครับ แต่สิ่งที่ผมและคณะเห็นเมื่อไปถึงเป็นอย่างนี้ครับ กระท่อมผุพัง ขวดแก้วเกลื่อนกลาด ขยะเรี่ยราด ลมพัดแรง และคลื่นสีเทาแสนเกรี้ยวกราด (ซึ่งหมายความว่าการโทรฯ เรียกเรือให้มารับกลับนั้นเป็นไปไม่ได้)
เราเดินมาอีกหน่อยจึงมาเจอรีสอร์ทเปิดทำการ ซึ่งน่าจะเป็นแห่งเดียวจากร่วมสิบรีสอร์ทบนหาดแห่งนี้ เปิดแบบมีพนักงานแค่สองคนน่ะครับ เราสั่งข้าวกะเพราไก่ ไข่ดาวให้กับผู้ใหญ่ และข้าวไข่เจียวให้เด็กน้อย สั่งเหมือนๆ กันเพื่อจะได้อาหารออกมาเร็วๆ
เดินป่ามาสี่ชั่วโมงแบบไม่มีอะไรตกถึงท้อง ผัดกะเพราธรรมดาๆ ก็อร่อยกว่าปกติเป็นเท่าตัว พอได้พักดื่มน้ำ กินข้าว และสูบยาสักพัก ก็นึกขำและนั่งหัวเราะกับเพื่อนรุ่นน้อง คือคนที่นั่งเครื่องมาจากกรุงเทพฯ และใช้เวลาแค่สามวันบนเกาะ ไม่น่าและไม่ควรจะต้องมาเผาเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ไปกับสิ่งนี้ ฮา
ได้คิดเข้าข้างตัวเองว่า นี่อาจเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีระหว่างผมกับเขา ผ่านไปสักห้าปีสิบปีนี่อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่เราสองคนยังจำและระลึกถึงได้อยู่ นอกจากขำกับชะตากรรมของตัวเองแล้ว วันนั้นเป็นอีกวันที่ผมภูมิใจในตัวลูกชาย ดีใจที่เห็นเขาอดทนเดินข้ามเขามากับเราจนถึงหาด มีความรู้สึกดีและความผูกพันที่เกิดขึ้นในใจพ่อจากการผจญภัยร่วมกับลูกชาย ระหว่างพักกินข้าว พวกเราอดไม่ได้ที่จะชมเขาอยู่เนืองๆ
อาจด้วยเรื่องดีๆ สองเรื่องข้างต้น วันนั้นผมจึงปราศจากความผิดหวังที่ไม่ได้พบหาดทรายดีๆ หรือทะเลสวยๆ
ขากลับเราเลือกอีกเส้นทางที่ง่ายกว่า แต่ก็ต้องขึ้นและลงอยู่หลายสันเขา แม้ร่างกายจะล้าจากการเดินในช่วงเช้า แต่ผมรู้เลยว่าพวกเราทุกคนเดินได้ดีกว่าตอนขามาเสียอีก เป็นเรื่องจิตใจล้วนๆ เลยครับ ประสบการณ์จากตอนเช้าสอนให้เราเหยียบหินและรากไม้ได้ดีขึ้น
ความยากของเส้นทางเดินรอบเช้า ทำให้เรามองเส้นทางเดินรอบบ่ายว่าคล้ายๆ เป็นการเดินทางราบไปซะอย่างนั้น เราใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ก็กลับมาถึงรถ
ไว้ถ้าพี่หนึ่งมาเยี่ยมผมที่เกาะเมื่อไร ผมจะเตรียมกิจกรรมนี้ไว้คอยต้อนรับนะครับ หวังว่าทะเลและฟ้าที่หาดขวดจะสวยรอการมาเยือนของคุณวรพจน์
ด้วยมิตรภาพและความคิดถึง
จอห์น
ปล. วันนี้เพิ่งคุยตกลงรายละเอียดกับดีนเสร็จ ปีใหม่นี้ครอบครัวผมจะย้ายไปอยู่บ้านที่สร้างจากขวดพลาสติกของเขาแล้วครับ 🙂
ตอบ คุณจอห์น (มันกลับมาอีกล้วเหรอ ไอ้ฝรั่งคนนี้ ..ดีๆ)
1 ไปๆ มาๆ ชีวิตชาวเกาะของคุณก็ทำให้เราสองคนเข้านอนและตื่นในเวลาใกล้เคียงกัน อายุตัดออกไปว่ะ (เพราะเราก็ห่างไกลกันอยู่) เราว่าการอยู่ต่างจังหวัดบ้านนอกนั่นแหละเป็นเหตุผลหลัก ยิ่งคุณมีลูก ฝ่ายเราอยู่ป่า ไฟฟ้าห่วย ถามว่าประสาคนเหลวไหล ไม่นั่งดื่มดึกๆ ดื่นๆ บ้างเหรอ แหม เรื่องแค่นี้ ทำไมจะไม่ แต่ก็แค่บางคืน และนับวันก็ลดน้อยลง เอาว่าถ้าไม่มีพรรคพวกแวะมาเสวนา ส่วนใหญ่สองทุ่มก็จบเกม หมดไปอีกวัน จำได้ว่าตอนเล่าเรื่องนี้ให้แก๊งคณาจารย์บางกอกผู้มาเยือนฟัง (รู้จักคุ้นเคยตอนทำ ครก.112) สีหน้าแววตาทุกคนออกอาการงุนงง ประมาณว่ามึงนอนไปได้ยังไง ทุ่มสองทุ่ม ก็ต้องขอเรียนด้วยสัตย์ว่าได้ครับได้ ผมมันนักนอนรางวัลหมอนทองคำ (ข้อนี้เราไม่ได้บอกพวกเขาหรอก บางเรื่องก็ควรเก็บงำไว้เป็นความทรงจำส่วนตัว) ไม่ได้ภาคภูมิใจอะไร ในวิถีคนใช้ชีวิตตามแสงแดด เผอิญว่าเงื่อนไขรายล้อมเป็นเช่นนี้ ก็ว่ากันไป อยู่กรุงเทพฯ อินเทอร์เน็ตจ๊าบ เราก็ไม่นอนเร็วนักหรอก แต่ถ้านอนก็หลับ หัวถึงหมอนว่างั้น บางคนมีปัญหานอนยาก เวลาไปที่แปลกใหม่ เราไม่มีปัญหาเลย น่าจะเป็นพวกชอบนอนโดยธรรมชาติ เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สูง กินไม่พอ อยู่ได้นะ แต่นอนไม่พอนี่ไม่ชอบจริงๆ
2 เรื่องเงินดิจิตอล มีเพื่อนผู้ปรารถนาดีอภิปรายให้เราฟังมาตั้งแต่ต้น เล่าโครงสร้าง กลไก รายละเอียด ให้ฟังหลายครั้งหลายหน แต่จนบัดนี้คนโง่เขลาอย่างเราก็แค่ เออๆ อือๆ คือพอรู้แบบเด็กอนุบาล และเดาว่าคงจมปลักดักดานอยู่อนุบาลไปจนตาย เป็นพวกที่ฟังได้ ยินดีรับฟังความเป็นไป เปลี่ยนแปลง แต่จะให้ลงไปเล่นเกมนี้ด้วยมั้ย ยังนึกภาพไม่ออก คล้ายๆ ตอนมือถือเข้ามาใหม่ๆ มั้ง คนอื่นเขาสนุกสนาน รู้จัก ใช้สอย พัฒนา ไปถึงไหนต่อไหน เราน่าจะอยู่กลุ่มคนที่ใช้มันช้าที่สุด ช้าและไม่พัฒนาเลย ถึงวันนี้ก็ยังใช้สมาร์ทโฟนไม่เป็น (เริ่มคิดแล้ว) ซึ่งต่อไปมันคงมีปัญหา ถ้าไม่ยอมปรับตัว โลกคงไม่อนุญาตให้มีที่ยืน คงเป็นพวก อะไรที่ไม่จำเป็นจริงๆ ยังไม่คอขาดบาดตาย อะไรที่ยังพออยู่ไปได้ ก็หน้าด้านดันทุรังอยู่ไปแบบเก่า คิดเข้าข้างตัวเองว่า นิสัยนี้จำกัดอยู่แค่กับเทคโนโลยี เพราะถ้ามันลามไปทุกเรื่องนี่คงอันตราย ตกยุคสมัย ตามโลกไม่ทัน ซึ่งเราก็คงพอเห็นกันอยู่ บางเรื่องจำเป็นจริงๆ ที่ต้องทันสมัย ต้องเดินตามกระแสโลกเท่านั้น ขวางเมื่อไรก็เละ ใจร้าย ไม่เป็นผู้เป็นคน ตัวอย่างง่ายสุด คุณลองมองไปที่ประเด็นเสรีประชาธิปไตยกับเผด็จการ อำนาจนิยม ซึ่งเราคงมองไม่ต่างกัน
เรายังไม่ร่วมเกม เราไม่เข้าใจมันถ่องแท้ แต่ประเด็นเงินดิจิตอล เราเห็นคนสนใจมากและเอาใจช่วยเพื่อนพี่น้องทุกคน วันหนึ่งมันคงหนีไม่พ้นหรอก ตลาดเงินไม่ได้หยุดอยู่แค่ธนบัตรมานานมากแล้ว ใครเข้าใจเกลเกมใหม่ๆ ก่อนก็ไปได้ไกลกว่า เราผู้เชื่องช้าขออยู่แนวหลัง ค่อยต้วมเตี้ยมตามไป และเราคงพบกัน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ถ้านึกวันนั้นไม่ออก คุณลองมองมาที่ nan dialogue เรานี่มันสายกระดาษนะเว้ย โตมากับเครื่องพิมพ์ดีด แล้วดูสิ วันนี้มาทำสื่อออนไลน์ ข้อนี้คงเป็นหลักฐานว่าไม่มีใครยอมตายหรอก แค่บางคนตาไว บางคนละล้าละลัง บวกสันหลังยาว โลกมันก็มีคนหลายแบบ ที่พูดนี่ก็เหมือนเดิมคือไม่ได้ภาคภูมิใจในความอืดอาดของตัวเอง แต่มันทำได้เท่านี้ มันฝืนธรรมชาติของตัวเองไม่ได้ ก็เอา ช้าก็ช้า ใครวิ่ง ใครยิ่งใหญ่ ไปเร็ว เราปรบมือให้ ขอเป็นคนร้องเพลงเชียร์ด้วยความชื่นชม
3 การเดินขึ้นลงภูเขาอย่างเหนื่อยยากจนไปถึงหาดขวด แล้วเจอภาพแบบนั้น ไม่รู้ทำไมเราฟังแล้วคิดถึงการมีชีวิต เราว่ามันแบบนั้นเลย คือต่อสู้ ดิ้นรน ทุกข์ยาก วาดหวัง สุดท้ายก็เท่านั้น คือกระท่อมผุพัง ขยะเกลื่อน ลมแรง ไม่มีเรือ ไม่มีความงามอะไร แล้วก็ยิ้มกับมัน ไม่เศร้านะ และไม่ได้มองแบบพุทธว่าชีวิตเป็นทุกข์ เรามองว่าชีวิตเป็นทั้งความทุกข์และน่าชื่นชม มองการดิ้นรนเดินนั้นว่าเหน็ดเหนื่อย แต่ก็สนุกดี ชีวิตไม่สะอาดสะอ้านหรอก ชีวิตเต็มไปด้วยขยะ ประเด็นคือการเลือก ลงมือ แล้วก็รับผิดชอบ ซึ่งบั้นปลายเดาว่าก็ต้องรับผิดชอบกับความว่างเปล่าที่หามาได้นั่นแหละ
โคตรเชยเลยนะ กับคำพูดทำนองว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องราวระหว่างทาง
ทัศนะนี้มันไม่ผิดแน่ๆ และตรงปลายทางนั่นก็สำคัญไม่แพ้ แหม อุตส่าห์เดินไปจนถึง นาทีนั้นก็ควรเฉลิมฉลอง โอบกอดคนข้างๆ และดื่มให้กับตัวเอง
เงินมันไม่มีวันหยุด แต่ยังไงมนุษย์ก็ต้องมี และคนอย่างเรามันควรจะหยุดบ่อยหน่อย ทำได้จริงหรือเปล่าไม่รู้นะ เอาว่า สิ่งนี้คือนโยบาย.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน