the letter

Anti-Bangkok

สวัสดีครับลูกพี่

จดหมายฉบับนี้มาล่าช้าไปสักนิด นี่เขียนอยู่ที่บ้านในบางกอก (เมืองที่คนชอบใส่หน้ากาก)

ขึ้น BTS เมื่อวันก่อน ก็มีเสียงตามสายในขบวนมาเป็นระยะว่าแม้ทางกระทรวงแห่งสุขภาพจะบอกว่าไม่บังคับให้ต้องใส่หน้ากากแล้ว แต่ทางบริษัทขนส่งระบบรางยังอยากจะร้องขอให้ผู้โดยสารสวมใส่อุปกรณ์ที่ว่าเพื่อสุขอนามัยโดยรวม นับเป็นความปรารถนาดีที่น่าอึดอัดปนน่ารำคาญสำหรับมนุษย์บ้านนอกอย่างผมยิ่ง แม้ผมจะพกหน้ากากออกใส่กระเป๋าไปข้างนอกในบางวันบ้าง แต่อยู่มาร่วมหนึ่งสัปดาห์ก็ยังไม่พบเหตุการณ์ที่ใครมาบังคับขืนใจให้ต้องใส่หน้ากาก นี่แสดงว่าเป็นสำนึกของประชาชนชาวบางกอกร่วม 99% ที่พร้อมจะสวมหน้ากากเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและเพื่อนร่วมเมือง

ประโยชน์สุขที่ว่านั้นจะเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับการตีความและพยากรณ์ของแต่ละผู้คน แต่สำหรับผมมันคือการแสดงออกถึงความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพของตัวเองและผู้อื่น เป็นการแสดงออกถึงความกลัวตายด้วยการสวมหน้ากากประหนึ่งการห้อยพระเครื่อง เป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่พอๆ กับการผูกเนคไทไปร่วมงานประชุม แต่สำหรับคนปากเหม็นอย่างผม ถ้าให้บอกประโยชน์สุขอันดับหนึ่งก็คือทำให้เราไม่ต้องทนดมกลิ่นปากของคู่สนทนา (ฮา) 

ผลสองขีดของอุปกรณ์วัดอย่าง COVID-19 Antigen (Rapid Test) นั้นมีผลต่อแผนกบุคคลเสมือนใบรับรองแพทย์ให้ลาป่วย ถามต่อว่ามันป่วยจริงไหมก็อาจมีคำตอบได้หลากหลาย ผมคุยกับเพื่อนหลายคนที่มีผลทดสอบสองขีดก็บอกว่าไม่ได้ป่วยร้ายแรงจนทำงานอะไรไม่ได้ขนาดนั้น แต่ที่ลาก็เพราะกลัวที่จะไปติดคนอื่น ก่อนหน้านี้ในกลุ่มไลน์ของบริษัทเวลาที่มีใครสักคนได้ผลสองขีด นอกจากพวกเขาจะบอกว่าติดแล้วยังมักจะห้อยท้ายด้วยคำขอโทษ ผมอ่านหรือฟังด้วยความกังขาเล็กน้อยว่าการติดหวัดสร้างความรู้สึกผิดให้กับผู้คนได้อย่างไร มันกลายเป็นธรรมเนียมตั้งแต่เมื่อไรที่ผู้ป่วยต้องขอโทษคนที่อยู่รอบๆ ตัว

เล่ามาอย่างนี้ผมก็พร้อมที่จะถูกผู้คนประณามว่าเป็นพวก Anti-Vaccine หรือ Careless Person แต่ก็นั่นแหละสังคมที่ผมถวิลหาคือสังคมที่พูดและเอ่ยอะไรได้อย่างเสรี ผมจึงขอลองเล่าอะไรที่ค้านความเห็นส่วนใหญ่ของคนในประเทศนี้หรือในโลกบ้าง เวลาเราพูดว่าสังคมเผด็จการนั้นจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของผู้คน แต่สังคมที่เคร่งครัดเรื่องศีลธรรมอันดีงาม สังคมที่ให้ความสำคัญกับสุขภาวะจนเกินเหตุ หรือสังคมแห่งวัฒนธรรม woke ที่เป็นกระแสในปัจจุบันนั้นก็อาจกระทำการจำกัดเสรีภาพดังกล่าวพอๆ กัน 

ผมเพิ่งอ่านหนังสืออีกเล่มของสำนักพิมพ์ในอังกฤษที่ชื่อว่า What Adults Don’t Know About Architecture ก็เป็นเรื่องพื้นฐานง่ายๆ เกี่ยวกับความงามของอาคารและบ้านเมืองแหละครับ มีประเด็นนึงในเล่มที่คิดว่าน่าสนใจก็คือ การที่เราได้รับการปลูกฝังมาในทำนองว่า Beauty is in the eyes of the beholder. นั้นบางทีมันอาจทำให้เราเป็นง่อยๆ และยอมให้สิ่งน่าเกลียดปรากฏอยู่ในสังคมมากเกินไป ในเล่มมีพูดถึงการที่เราไม่สามารถแสดงความเห็นอย่างจริงจังถึงความงามนั้นอาจทำให้เกิดหายนะทางสายตาต่อเมืองและพื้นที่เราอยู่ด้วยซ้ำ

“It even started to feel rather rude to express a strong opinion about beauty. This is the ‘anything goes’ attitude, … . But this attitude turned out to be disaster. (P.46)

ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ขณะยืนพิงขอบหน้าต่างรถไฟฟ้าพลางชำเลืองอาคารน้อยใหญ่ในบางกอก ซึ่งถ้าเอาตามหลักการของหนังสือเล่มนี้แล้วอาคารส่วนใหญ่ 99% ในเมืองนี้น่าจะสอบตก ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหรอก ปรากฏการณ์อาคารน่าเกลียดนั้นน่าจะเป็นกันทั่วโลก ผมคิดว่า ‘รสนิยมกับเงินในกระเป๋ามักจะแปรผกผันกัน’ การพูดแบบเหมารวมน่าจะทำให้เป็นเป้าที่ง่ายต่อการโจมตี แต่การที่ไม่พูดในลักษณะนี้ก็ทำให้คนรวยจำนวนมากลอยตัวจากการสร้างอาคารทุเรศๆ ในเมืองใหญ่ที่มูลค่าที่ดินสูงลิบลิ่วและคนรวย (แต่ไร้รสนิยม) อาศัยอยู่จึงมักจะเต็มไปด้วยอาคารที่อหังการปราศจากเมตตาต่อมนุษย์ที่ต้องสัญจรผ่าน 

ไม่รู้ว่าพี่หนึ่งไปสยามสแควร์ครั้งล่าสุดเมื่อไร แต่ในช่วงเวลาแค่ 20 ปี ผมคิดว่าสยามสแควร์แม่งน่าเกลียดขึ้นประมาณ 2 เท่า สถาปัตยกรรมโบราณอย่างโรงหนังสกาล่าที่ใครๆ ในโลกล้วนพยายามอนุรักษ์ไว้ยังถูกทุบทิ้งอย่างง่ายดาย พูดแค่นี้พี่น่าจะนึกออกถึงอีกหลายอาคารแห่งสถาปัตยกรรมในประเทศนี้ที่มักจะถูกทุบทิ้งแล้วปลูกสร้างอาคารใหม่ที่แสนจะไร้รสนิยม 

ยิ่งนานวันที่ผมอยู่ห่างกรุงเทพฯ ออกไป ทุกครั้งที่กลับมาเยือนความโกรธและเกลียดที่มีต่อเมืองนี้ก็เพิ่มขึ้นไปทุกที หากจะนับสถานที่ที่ได้มาเยือนในรอบนี้ทั้งหมดอาจมีอยู่แค่หนึ่งแห่งที่ชื่นชูใจผมได้สักหน่อยก็คงเป็นที่ GalileOasis กลุ่มอาคารหลายวัตถุประสงค์ (Mixed Use) แถวบรรทัดทอง ผมรู้จากอาจารย์ป้อม (รัศมี เผ่าเหลืองทอง) มาสักพักแล้วว่าแกทำโครงการนี้อยู่ เพิ่งมีโอกาสได้ไปเยือนในรอบนี้เพราะมีร้านฟิชแอนด์ชิปส์ที่อยากลอง นอกจากได้กินเมนูที่มั่นหมายแล้วผมยังเพลิดเพลินกับสถาปัตยกรรมในโครงการที่แปลงตึกแถวเก่าสองชั้นให้เป็นร้านค้า โรงละคร แกลเลอรี่ และโรงแรม ในแบบที่โอบอุ้มเพื่อนมนุษย์ 

หนังสือเล่มที่ผมอ้างถึงข้างต้นก็ได้มาจากร้านชำป๊อบ-อัพในโครงการนี้ที่เพื่อนร่วมวิชาชีพอย่างป่านและพี่กุ๊กไก่เผอิญไปประจำการที่ร้านในวันนั้นพอดี ก่อนออกมาจากโครงการผมยังสังเกตเห็นอีกว่าในช่วงเย็นของเดียวกันมีงานเสวนาและนิทรรศการฝั่งประชาธิปไตยอยู่อีกงานที่ทั้งมีทั้งไผ่, ทนายอานนท์, มายด์ และลูกเกด ไปร่วมพูดคุย ก็นับเป็นความดีงามบางประการที่มุมเล็กๆ แห่งนี้ในบางกอกมอบให้กับคน Anti-Bangkok อย่างผม 

ได้ข่าวว่าพี่จะเดินทางเข้ากรุงฯ อยู่เหมือนกัน เห็นต่างอย่างไรอยากขอรับฟังในจดหมายตอบครับ

ด้วยมิตรภาพ

จ๊อก (ลูกน้อง)

ปล. เดี๋ยวนี้โคตรติดปากเรียกใครต่อใครว่า ‘ลูกพี่’ เรียกแล้วมันรู้สึกดีอะครับ แต่ทำไมคำว่า ‘ลูกน้อง’ ดันให้ความหมายไปในทางตรงกันข้ามจนไม่สามารถจะเรียกใครที่อายุน้อยกว่าด้วยคำนี้ได้ แม้ว่าจะมีความรู้สึกถึงความผูกพันใกล้ๆ กับความเป็นพี่น้อง 

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

ได้ยินคำเรียกตัวเองของคุณว่า ‘มนุษย์บ้านนอก’ แล้วก็ นะ ชีวิตช่างเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเสียจริง เติบโตในป่าคอนกรีตอยู่ดีๆ วันหนึ่งกลายเป็นไปชาวเกาะซะงั้น ฝ่ายเรา–มองจากระยะไกล ทีแรกก็คิดว่าคุณคงแค่ on vacation ไม่นานเดี๋ยวก็กลับมาเข้าสู่โซ่สายพานกับโลกที่คุ้นเคยในเมืองกรุง ผ่านไปปีหนึ่ง เรื่องมันชักจะยาวและสถาปนาตัวตนเป็นคนบ้านนอกเฉย

เรามองไม่ต่างจากเรื่องที่คุณเล่าหรอก และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เนรเทศตัวเองออกไปข้างนอก ไม่ได้ Anti-Bangkok นะ เพียงแต่มันอาจหมดเวลาสำหรับเรา ประมาณทำงานเลิกแล้วก็แยกย้ายกลับบ้าน

ไม่ใช่เรื่องรสนิยมอย่างเดียวหรอก เราว่ากรุงเทพฯ วันนี้ ทำยังไงก็ไม่งาม ทำยังไงก็ไม่น่าอยู่ เพราะมันไม่มีที่ว่าง ทุกอย่างอึดอัดแน่นเอี้ยดไปหมดแล้ว อดีตของเราสร้างชาติกันมาแบบกอดรัดทุกสิ่งไว้ที่นี่ ช่วงแรกมันอาจฟังก์ชัน มีที่ทางพอหายใจสบาย แต่ร้อยปีผ่านไป เมืองขยาย ประชากรเพิ่ม แรงงานต่างจังหวัดล้นทะลักเข้ามา (จะไม่มาได้ไง บ้านนอกมันไม่มีงาน) ประเทศกว้างขวาง แต่โอกาส อำนาจ เศรษฐกิจ ความรู้ กระจุกอยู่ที่เดียว อะไรมันจะไปเหลือ 

ปัญหายักษ์ใหญ่นี้แก้ไม่ได้ ไม่มีวันแก้ได้ ถ้ารัฐและผู้อำนาจไม่ปรับแนวคิดใหม่ ลำพังเสรีชนเราทำได้อย่างเดียวคือพิจารณาตัวเอง อยู่ไม่ได้ก็หาทางออกไป แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ง่ายอีก ชีวิตคนไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศ เราสัมผัสสัมพันธ์กับโครงสร้างของประเทศอย่างแยกไม่ออก ถึงที่สุดก็เลยอิลุงตุงนังกันไปแบบนี้ คนมีอำนาจในการกระจายทรัพยากรออกไปได้ก็ไม่ทำ คนอึดอัดอยากออกก็บอดไบ้ ไร้ทักษะ เรียกว่าออกไปก็อดตาย ไม่รู้จะทำอะไรกิน ความเคยชินมันฝังลึกเสียแล้วกับเมืองกรุง ฝังที่แปลว่าโดนเหยียบ และไม่มีช่องให้โผล่ขึ้นมาหายใจ

ไม่ว่าจะอย่างไร หรือต่อให้ยากเย็นกี่มากน้อย เราอยู่ฝ่ายดิ้นรนหาทางออก หาทางสร้างชีวิตใหม่ (เผอิญว่าเราเป็นคนบ้านนอกอยู่แล้วด้วยมั้ง ก็พอมีพื้นและภูมิคุ้มกันบางชนิด) ณ วันเวลานี้ เราเห็นว่าจำเป็นที่คนจำนวนมากต้องหาทางออก (โดยเฉพาะคนที่เข้ามาทำงาน / บรรพบุรุษไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ) คือมันไม่ไหวแล้วน่ะ ค่าครองชีพสูงขนาดนั้น อึดอัดยัดทะนานขนาดนั้น และเอาจริงๆ นะ ความรู้ คุณสมบัติและทักษะที่เราๆ ท่านๆ มี นับวันมันก็น้อยเกินไปที่อยู่เมืองหลวงแล้วจะรอด ในเมื่อรัฐไม่มีนโยบายกระจาย เสรีชนก็ต้องออกแรงกันเอง ใครมีกำลังออกไปสร้างงานได้ด้วยก็ยอดเยี่ยม จะมัวมานั่งหาข้ออ้างผัดวันประกันพรุ่งแบบเดิมๆ อีกไม่ได้ นี่เป็นยุคสมัยที่ต้องแยกย้าย ลดไซส์เมืองเทพสร้างเพื่อเทพเทวดา

เราพูดในความหมายที่แตกต่างจากเอ็นจีโอสายพอเพียงเมื่อสองสามทศวรรษก่อน ที่พร่ำสอนเทศนากันว่าคำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน หมดยุคสมัยโรมานซ์ไปนานแล้ว ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปวางรออยู่ที่ไหนหรอก ไม่รู้จะมีหรือเปล่าด้วย แต่จะมีหรือไม่มี สิ่งสำคัญขณะนี้คือคำถามต่างหาก และคำถามข้อที่หนึ่งก็หนีไม่พ้น–เราจะทนมีชีวิตอยู่กันต่อไปแบบนี้หรือ 

กับตัวเอง เราตอบชัดเจนไปนานแล้วว่าขอไม่ยอม ให้มากระจุกแออัดยัดเยียดกันอย่างนี้ ไม่เอา นโยบายเราคือออกไปหาที่ว่าง มีเวลาว่างก็ร่วมออกแรงผลักดันให้ทรัพยากรต่างๆ กระจายไปสู่ภูมิภาค แน่นอนว่า ‘น่านไดอะล็อก’ คือผลผลิตของความคิดนี้โดยตรง เราทำในส่วนของเรา ทำตามวิชาชีพ เราเชื่อมั่นว่าเมื่อคำถามถูกโยนออกไปอย่างทั่วถึง เรื่องเล่าเก่าๆ และ propaganda ที่กัดกร่อนทำลายสังคมไทยมานานจะเสื่อมและค่อยสิ้นสุด คำถามเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินไปถนนสายที่ทำให้มนุษย์เท่าเทียมกัน

สามสิบปีที่แล้ว แรงงานและคนหนุ่มสาวจำเป็นต้องเข้ากรุง ไม่มีใครบังคับก็คล้ายถูกข่มขืนบังคับ วันนี้เข็มนาฬิกาเดินกลับมาถึงจุดที่ต้องหาทางเปิดประตูที่ปิดตายออกไปให้ได้ มันไม่ง่ายหรอก แต่ฝืนอยู่ต่อไปยากกว่า แย่กว่า มหันตภัยโควิดก็มีส่วนมากนะเราว่า ที่มาช่วยกระตุ้นให้ต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเราควรมีชีวิตแบบไหน ถามแล้วก็พยายามลงมือทำ ทำได้มากได้น้อยก็ยังดีกว่ามึนๆ เบลอๆ แล้วก็ชราไปโดยไม่รู้ปรารถนาเบื้องลึก

คุณกลับเกาะ สวนกับที่เราเข้ากรุงพอดี รอบนี้ตั้งใจไปดูนิทรรศการ ‘6 ตุลา เผชิญหน้าปีศาจ’ ที่ Kinjai Contemporary Art Gallery พูดเรื่องนี้ก็อีกแหละ ต่างจังหวัดไม่มีหอศิลป์ให้ดู (สถานที่มีบ้าง แต่ไอเดียเดียวที่สมาทานคือการรับใช้ฝ่ายจารีตนิยม) เป็นจุดอ่อน เป็นความเหลื่อมล้ำของคนบ้านนอกที่ขาดแคลนโอกาส ซึ่งจะมางอมืองอเท้ารอความเมตตาจากรัฐก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เสรีชนคนไหนมีแรง มีทุน ก็ลองช่วยกันผลักช่วยกันสร้างแหล่งความรู้ คุณไปดูมาหรือยังไม่รู้ นิทรรศการที่ว่า โคตรดีงามน่ะ ปรบมือให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่นำเสนอประวัติศาสตร์แห่งโศกนาฎกรรมนี้ ในความเห็นเรา ถ้ารู้เรื่องหกตุลาฯ คุณจะเห็นเบ้าหลอมแห่งความลวงและโครงสร้างอำนาจในประเทศนี้แจ่มกระจ่าง รู้เรื่องหกตุลาฯ คุณจะเลิกเป็นทาสทางความคิด ภูมิศาสตร์โลกทัศน์จะพัฒนาไปสู่อารยะสากล

ประเทศเจริญแล้วเขาจะไม่หน้าบางและมุ่งปกปิดความจริงในอดีต ตรงกันข้าม ไม่ว่าเจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องศึกษาเรียนรู้มันอย่างจริงใจ เหนืออื่นใดคือไม่อนุญาตให้คนเขียนบท ผู้กำกับ และฆาตกรลอยนวลพ้นผิด

เราไม่ Anti-Bangkok หรอก เพียงแต่บางกอกควรลดตัวเองให้เล็กลง กระจายอำนาจและทรัพยากรออกไป เมืองหลวงกับบ้านนอกควรเป็นองค์ประกอบของกันและกัน เคารพพึ่งพิงกัน อย่างพะงันก็ควรมีนิทรรศการดีๆ ให้ดู (นอกจากฟูลมูนปาร์ตี้) น่านก็เช่นกัน สกลนคร ปัตตานี กำแพงเพชร ระยอง กาญจนบุรี ฯลฯ ประเทศตั้งกว้างใหญ่ กอดรัดไว้ทำไมแค่ที่เดียว ผู้คนตั้งมากมาย แซ่ซ้องทุ่มถวายอะไรนักหนากับคนกลุ่มเดียว

พลาดแล้วก็รีบปรับปรุงตัวเถอะลูกพี่ จะมาแข็งขืนดันทุรังเพื่อสิ่งใด.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...