the letter

ลาทะเล (ชั่วคราว)

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

ผมเขียนถึงพี่ในวันที่เราเดินทางกลับกรุงเทพฯ กันพอดี ครั้งนี้นานหน่อย กะว่าจะกลับไปอยู่ทั้งเดือนสิงหาคมเลยครับ

ส่งเพื่อนกลับประเทศบ้านเกิดกันไปหลายคน ครานี้ก็ถึงเวลาครอบครัวเราบ้าง 

ดีนและครอบครัวก็เพิ่งกลับอังกฤษไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นว่าจะใช้เวลาส่วนหนึ่งพบปะกับครอบครัว และอีกส่วนหนึ่งซ่อมแซมบ้านและห้องพักร่วมสิบห้องแถบเซาท์เอ็นในลอนดอน ไม่กี่วันแกยังส่งข้อความมาถามว่างานที่มอบหมายให้ทำที่บ้านพักในพะงันเสร็จรึยัง (ตัดหญ้า ทำความสะอาดพื้นที่รอบๆ แคมป์ไฟ และดูแลช่าง ติดตั้งแอร์ให้เรียบร้อย)

ผมเองก็คงจะทำอะไรคล้ายๆ กัน ต่างก็แต่การงานที่กรุงเทพฯ คือโรงพิมพ์ ไม่ใช่บ้านพักอย่างลูกพี่เค้า

จบปีการศึกษาที่หนึ่ง สมุดพกประจำตัวของนายจ๊อกกับห้องเรียนชีวิตที่พะงันจะถูกประเมินว่าอย่างไรดี

สิ่งหนึ่งที่รู้ตั้งแต่แรกๆ ก็คือว่า ผมรู้จักกับผู้คนมากมายในช่วงขวบปีที่ผ่านมา เกาะและความเป็นไปของชีวิตมันเอื้อต่อการนี้ จำนวนคนที่ผมรู้จักยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าแล้วมันจะมีวันถึงจุดที่ผมไม่สามารถรู้จักใครได้อีก หรือไม่อยากรู้จักใครเพิ่มอีกต่อไปไหม

ผมจำได้ ตอนอ่านหนังสือแนวประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติและญาติร่วมสายพันธุ์อย่างลิงใหญ่ จำนวนตัวเลขของคนที่เรารู้จักและมีปฏิสัมพันธ์ได้จริงๆ น่าจะมีประมาณ 150-300 คน (ขึ้นอยู่กับนิสัยและทักษะในการบริหารเวลากับผู้คน) ตอนทำโรงพิมพ์ใหม่ๆ ผมจำชื่อพนักงานได้หมด ตอนนั้นทั้งโรงพิมพ์มีคนทำงานไม่เกินร้อยคน สี่ห้าปีหลังมานี้เรามีจำนวนผู้ร่วมทำงานมากขึ้น โรงพิมพ์มีผู้จัดการแผนกบุคคลมาช่วยแบ่งเบางานดูแลพนักงานทั้งในเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ และปัญหาร้อยแปด ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ผมเริ่มคุ้นแต่หน้า แต่ไม่รู้จักชื่อ มันเหมือนข้อจำกัดทางกายภาพของสมองมันอนุญาตให้ผมทำได้แค่นี้

หนังสือที่ผมอ่านเล่าความเชื่อมโยงของขนาดสมองกับขนาดกลุ่มคนที่เราปฏิสังสรรค์ด้วย ว่ากันว่าลิงชิมแปนซีนั้นมีจำนวนลิงที่วันๆ ต้องข้องเกี่ยวด้วยน้อยกว่ามนุษย์ พวกมันจึงมีขนาดสมองเล็กกว่าเรา ขนาดสมองที่ใหญ่ขึ้นของมนุษย์ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการที่เรานึกถึงเพื่อนรอบๆ ตัวมากขึ้น เราคิดซับซ้อนขึ้น เราไม่ได้สนใจแต่ความหิวหรือความต้องการพื้นฐานของตัวเองเท่านั้น เรายังคิดผ่านแว่นหรือรองเท้าของผู้อื่น เรารู้ว่าใครคนไหนต้องการอะไรในเวลาใด เราแคร์และทำให้คนที่เราแคร์รู้ว่าเราแคร์ผ่านคำพูด การโอบกอด และของขวัญ ในวันที่เราอยู่ห่างไกลกันอะไรมันจะแทนและระลึกถึงความสัมพันธ์ได้เท่ากับข้าวของละ

ผมมีเสื้อยืดตัวนึงของเนีย (เพื่อนอิสราเอลที่เพิ่งกลับประเทศไปเมื่อเดือนก่อน) มาไว้ในตู้เสื้อผ้า แค่เสื้อยืดตัวเดียวมันทำให้ผมจำได้ถึงเหตุการณ์ที่ได้มันมา มันคือวันที่ผมและครอบครัวไปเยี่ยมบ้านพวกเขา เราไปทำราดหน้าเส้นกรอบให้พวกเขากิน วันนั้นเราเดินฝ่าฝนและเสื้อเปียกชุ่ม เนียหยิบเสื้อแห้งๆ มาให้ผมเปลี่ยน โมฮันก็เอาเสื้อของเธอมาให้ภรรยาผม ใครจะว่าผมเป็นพวกวัตถุนิยมก็ได้ ผมขอเนียว่าจะไม่คืนเสื้อให้เขาและจะเก็บไว้ใส่เอง ผมรู้ว่าสิ่งของพวกนี้มันทำให้เราระลึกถึงพวกเขาได้ดีกว่า เสื้อยืดของเพื่อนตัวนึงสามารถพาผมกลับไปว่ายวนเพื่อชื่นชมปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าของเสื้อในอดีตได้อย่างแจ่มชัด

วันๆ มนุษย์น่าจะใช้เวลากับความสัมพันธ์ไม่น้อยไปกว่าเวลากับการทำมาหากิน ปราศจากความสัมพันธ์ชีวิตอาจกลวงเปล่าเกินไป

ตั้งแต่มาอยู่พะงัน ผมเองลดความสัมพันธ์กับคนที่กรุงเทพฯ ไปโดยปริยาย พูดว่าลดความสัมพันธ์ก็ไม่ถูก ความสัมพันธ์มันยังคงอยู่แหละ เพียงแต่เวลาและสถานที่มันไม่อำนวยให้เราได้พบปะแลกเปลี่ยน นานๆ ไปก็ไม่รู้ว่ามันจะยังอยู่ดีหรือไม่ เพื่อนต่างชาติบางคนที่อยู่ไกลกันว่าครึ่งโลกก็เป็นแบบนี้ มาเที่ยวเมืองไทยทีก็ไปใช้เวลาด้วยกันที พอแยกย้ายไปอยู่ห่างกัน นานๆ จึงค่อยส่งข่าวอัพเดต

เวลานานๆ เจอกันที เพื่อนที่เคยสนิทหรือคนที่เคยรู้จักก็อาจจะเขิน เก้ๆ กังๆ ความสัมพันธ์ที่เคยมีร่วมกันไม่สามารถต่อติดทันทีเหมือนการเปิดสวิตช์ไฟ บทสนทนาที่อยากจะลงลึกก็ต้องเริ่มต้นผ่านบทสนทนาตื้นๆ อาทิ สบายดีไหม ทำอะไรอยู่ ครอบครัวเป็นอย่างไร ส่วนไอ้คำถามลึกๆ ประเภทที่หาคำตอบของชีวิต อาทิ ความสุขหน้าตาเป็นอย่างไร อะไรคือทุกข์แท้ๆ และเราควรใช้ชีวิตอย่างไร นี่อาจมาทีหลังคำถามก่อนหน้า 

คงเหมือนกับเซ็กซ์อะครับ เริ่มต้นมาจะปั๊มๆ เข้าประเด็นเลยก็ดูป่าเถื่อนไร้รสนิยมและไร้ความหมาย การเล้าโลมและสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันก่อนอาจเป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นสำหรับเซ็กซ์ที่น่าประทับใจ กับมิตรสหายที่เคยผ่านพบ บทโอ้โลมอาจใช้เวลาไม่นานเพราะเราต่างรู้จังหวะรับส่งภาษากันอยู่ แต่ก็จำเป็นต้องมี แต่ก็ไม่ได้มีเพื่อแค่มี เรามีมันเพื่อบทสนทนาที่ลึกซึ้งและจริงขึ้น 

หลายๆ ครั้งในวงสนทนา บทที่ดีที่สุดจึงมักจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายๆ ก่อนการแยกย้ายและจากลา

ทีนี้ทั้งหมดมันก็นำไปสู่ข้อจำกัดเรื่องเวลาและพื้นที่ เวลาคนเราก็มีเท่าๆ กัน จะจัดสรรอย่างไรให้เหมาะสม งานกับครอบครัวก็น่าจะหมดไปกว่าครึ่งแล้ว อีกครึ่งที่เหลือใช้ทำอะไรก็เป็นคำถามที่คิดว่าเราควรตระหนัก ผมเองขอใช้เวลาที่เหลือมีความสุขกับมิตรภาพทั้งเก่าและใหม่ สิ่งนี้มันหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่ ผมอาจเชื่ออย่างนี้มาสักพักแล้ว พะงันเพียงแต่ทำให้มันเข้มข้นและชัดแจ้งเท่านั้น

 

แด่มิตรภาพครับ

จ๊อก

ปล. เดือนสิงหาคมเป็นช่วงปิดเทอมของลูกชาย คนเป็นพ่ออย่างผมก็เริ่มคิดเหมือนกันว่าจะหาทางขี้เกียจบอกพี่หนึ่งว่าขอปิดเทอมด้วยจะดีไหม อีกอย่างเรื่องที่กรุงเทพฯ ก็อาจไม่มีอะไรให้พูดถึงนัก ยังไม่ตัดสินใจละกันครับ รอก่อนว่าครูใหญ่หนึ่งจะสั่งให้มาเรียนพิเศษระหว่างปิดภาคการศึกษาหรือเปล่า 555

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

ลูกปิดเทอม เราว่ามันก็เมกเซนส์อยู่นะที่พ่อควรจะได้ปิดเทอมบ้าง พ่อ แม่ ลูก จะได้ใช้เวลาร่วมกันเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เอางี้มั้ย สัปดาห์หน้า ‘น่านไดอะล็อก’ จะขึ้นสู่ปีสอง ไหนๆ ก็ไหนๆ ก่อนจะพัก ฝากคุณเขียนมาอีกสักฉบับ บอกเล่าสิ่งที่ได้เรียนรู้บนเกาะพะงัน (ที่จริงก็เล่ามาเสมอ) และแพลนสิงหาคมในเมืองหลวง ดีมั้ยๆ เรื่องหยุดพักนี่ขอให้บอก เราสนับสนุนมาก (การทำงานตลอดเวลาเป็นอัปมงคล) วิ่งมานานควรจะได้เบรก ชื่นชมสเปซและความว่าง หายเหนื่อยแล้วค่อยวิ่งกันต่อ เดือนหนึ่งน่าจะกำลังสวย มองโลกแง่ดีว่ามันจะทำให้หิวกระหาย อยากลงสนามอีก

หยุดมีสองอย่างนะเราว่า คือหนึ่ง, หยุดแล้วหิว ฮึด อ่านจุดอ่อนจุดแข็ง มีแรงแล้วกระโจนกลับมาด้วยวุฒิภาวะและความคิดถึง กับสอง, หยุดแล้วยาว เลยตามเลย หยุดแล้วหมดไฟ เอาใจช่วยว่าอย่างหลังจะไม่เกิดกับคุณ ม้าหนุ่มกำลังคะนอง พักกินน้ำกินหญ้าแล้วพเนจรไปด้วยกันต่อ.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...