สวัสดีพี่หนึ่งจากโรงพิมพ์อีกครั้ง
ขออภัยที่จดหมายฉบับก่อนทำตัวเกเร ไม่ได้เล่าอะไรเป็นเรื่องเป็นราวสักเท่าไร
สัปดาห์ที่ผ่านมาแม้จะยังอยู่กรุงเทพฯ แต่ผมทำตัวเป็นพะงันเนี่ยนมาเดินกรุง
ไม่แน่ใจว่าเคยเล่าให้พี่หนึ่งฟังรึยังว่า ครั้งหนึ่งเมื่อปลายปีก่อนตอนภรรยาผมมาสอบวัดระดับภาษาแถวสีลม ระหว่างเบรก เธอลงมาซื้อกาแฟและนั่งจิบริมถนนเพื่อดูผู้คน พลันสายตาเหลือบไปเห็นชายคนนึงผมเผ้ายาวรกรุงรังเดินอยู่ริมฟุตบาทด้วยกางกางขาสั้นมอมแมมเพียงตัวเดียว หนุ่มสาวออฟฟิศย่านนั้นพากันเดินเบี่ยงหลบชายผู้นี้ดั่งสายน้ำที่ไหลไปเจอหินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางลำธาร
หากเป็นเราก็คงทำแบบเดียวกับหนุ่มสาวเหล่านั้น ที่ตลกก็คือภรรยาผมบอกให้ลองนึกภาพว่า ถ้าผู้ชายคนนี้เดินอยู่ที่พะงัน นี่คือเรื่องปกติของเกาะ ในเชิงรูปลักษณ์ภายนอก คนบ้าในเมืองใหญ่อาจไม่มีอะไรแตกต่างกับโยคีแห่งจิตวิญญาณบนเกาะเล็กๆ
คนเราเวลาไม่ได้เป็นอะไรอย่างนั้นจริงๆ มักจะทำอะไรให้ใหญ่กว่าสิ่งนั้น ฝรั่งมีสุภาษิตว่า more catholic than the pope
ผมเองในบางเวลาก็อาจเป็นพะงันเนี่ยนมากกว่าพะงันเนี่ยนแท้ๆ ก็เป็นได้
สุดสัปดาห์ก่อนช่วงเช้าๆ ครอบครัวเราอันหมายถึงศิลป์ หลิน และจ๊อก ตัดสินใจเดินเท้าออกไปหาอะไรกินกัน เราเลือกร้านข้าวแกงริมบึงที่อยู่ห่างออกไปจากบ้านราวสองกิโลเมตร ลูกใส่เสื้อบอลรองเท้าแตะ เมียใส่ชุดออกกำลังกายกับรองเท้าผ้าใบ ส่วนผมนั้นกางเกงขาสั้นคาดเอวด้วยเสื้อแขนยาว (เผื่อไว้ตอนเข้าร้านนั่งกินข้าว) กับเท้าเปล่าๆ
เราเดินผ่านซอยเล็กๆ ในหมู่บ้านก่อนออกถนนใหญ่ ระหว่างทางผู้คนมองผมด้วยสายตาแปลกๆ อาจจะนึกรังเกียจ ขำ หรือประหลาดใจก็ไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่ารู้สึกสุขและสะใจเล็กๆ เวลาเห็นปฏิกิริยาของคนที่เดินผ่าน ผมเดินและวิ่งไปวิ่งกลับมาหาลูกและเมียบ้างเพื่อทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (ที่ใช้สูบฉีดเลือดจริงๆ ไม่ใช่หัวใจที่ใช้รู้สึก) และความทนทานของเท้า
เคยอ่านหนังสือเล่มนึงของ Daniel Lieberman ที่ชื่อ The Story of the Human Body เขาเสนอให้เราออกวิ่งเท้าเปล่าบ้าง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นของส่วนโค้งของเท้า (Foot Arch) ที่เชื่อมระหว่างปลายเท้ากับส้นเท้า รองเท้าสมัยใหม่ที่ออกแบบมาให้เดินหรือวิ่งอย่างกับมีสปริงติดที่เท้านั้นแม้จะสร้างความสบาย แต่อาจสร้างปัญหาใหญ่ในภายหลัง
พี่หนึ่งลองสังเกตดูก็ได้ครับว่าเวลาใส่รองเท้าดีๆ นุ่มๆ เรามักจะเผลอวิ่งโดยลงน้ำหนักไปที่ส้นเท้า กิจกรรมนี้อาจก่อให้เกิดอาการที่เรียกกันว่า Flatfeet (เท้าแบน) ซึ่งให้เกิดความเจ็บปวดเรื้อรังที่เท้าของบางคนได้
นี่ทำให้ผมนึกไปถึงอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับมนุษย์เพศผู้ แต่ก็มีข้อสรุปไม่ต่างไปจากกันในเรื่องเทคโนโลยีของสิ่งสวมใส่กับสุขภาพของมนุษย์ ใครสักคนบอกว่าการใส่ยกทรงนั้นน่าจะทำให้นมยานและเหี่ยวกว่าการไม่ใส่ เหตุผลก็คือการที่มีอะไรพยุงไขมันและเนื้อในส่วนนั้นไว้นานๆ ก็จะทำให้เรา (ผู้หญิง) สูญเสียความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอก ถ้าผมใคร่รู้และนึกอยากพิสูจน์ผมอาจจะลองไปค้นคลังรูปถ่ายเก่าๆ ว่าผู้หญิงสมัยก่อน หรือผู้หญิงในสังคมเข้าป่าล่าสัตว์โดยปราศจากยกทรงนั้นมีเต้านมที่เต่งตึงกว่าผู้หญิงในยุคปัจจุบันรึเปล่า
พอไล่การพิสูจน์หลักฐานมาถึงขั้นนี้ก็ติดปัญหาอีก ว่าเรา (ตัวผมเอง) จะไปหาผู้หญิงปัจจุบันคนไหนมาเปรียบเทียบอีก
เฮ้อ เล่าให้ฟังเฉยๆ ละกัน จริงแท้จะเป็นเช่นไรนั้น ผมละเว้นและขอถอนตัวออกจากกองพิสูจน์หลักฐานจะดีกว่า
ผมเดินกลางถนนโดยปราศจากรองเท้าและเสื้อด้วยความเชื่อของตัวเองอย่างสบายใจเพราะมีเมียกับลูกเดินอยู่ด้วย อย่างน้อยถ้ามีใครโทรฯ แจ้งโรงพยาบาลบ้าให้มาจับ ลูกกับเมียก็ยังพอยับยั้งและยืนยันกับเจ้าหน้าที่ได้ว่า พ่อหรือผัวคนนี้นั้นอาจจะบ้า แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องจับเข้าสถานพยาบาลอาการสมอง 555
กลับมาที่เรื่องอาหารเช้า เราเดินกันร่วมยี่สิบนาทีก็ถึงข้าวแกงร้านเจ้าประจำที่มักจะมากินกันช่วงสุดสัปดาห์ครั้งที่ยังอาศัยอยู่บางกอก กินเสร็จตอนจะจ่ายเงินก็พบปัญหาของการค้าในยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน พวกเราสามคนพกมาแต่มือถือ ปราศจากซึ่งเงินสด และทางร้านก็ไม่มีนโยบายรับเงินวิธีอื่นนอกจากเงินสดๆ เมียเดินกลับมาบอกว่าให้โทรฯ หาคนในครอบครัวให้เอาเงินมาให้ แต่ผมเองคิดว่าลองหาทางแก้อื่นๆ ก่อนดีกว่า จริงๆ ก็ว่าจะเดินไปถามพนักงานในร้านเพื่อขอโอนเงินเข้าบัญชีแล้วไถเงินสดมาจ่าย แต่ก็กลัวจะเกิดปัญหากับพี่เจ้าของร้านผู้หนักแน่นกับหลักการ ‘รับเงินสดเท่านั้น’
ผมจึงเดินไปยังร้านค้าที่อยู่ถัดออกไป พี่สาวเจ้าของร้านเธอขายส้มตำ กำลังเตรียมปรุงอาหารต่างๆ อยู่ ผมยกมือไหว้แล้วขอความเมตตากับเธอตรงๆ ว่าพอจะแบ่งเงินสดมาให้เราเพื่อจ่ายค่าอาหารร้านเพื่อนบ้านได้ไหม เราจะโอนเงินเข้าบัญชีไปให้ เธอบอกว่าได้เลย ไม่มีปัญหา ผมเดินกลับไปที่ร้านข้าวแกงที่เมียและลูกนั่งรอเป็นตัวประกันอยู่ แลกเปลี่ยนไปเป็นตัวประกันกับลูกแล้วให้เมียไปถอนเงินสดมาจากร้านส้มตำ ก็เป็นอันเสร็จพิธี
ผมเดินออกจากร้านข้าวแกงด้วยความสงสัยว่า ทำไม้ทำไมพี่เจ้าของร้านไม่ทำตามแบบร้านอื่นๆ บ้าง ลูกค้าเข้าร้านก็ค่อนข้างเยอะ ดื้อดึงไปอย่างนี้วันๆ ก็อาจทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ ไม่สะดวกได้อีก
ได้แต่คิดและไม่ได้พูดออกไปหรอกครับ แกก็อาจมีเหตุผลหรือทิฐิก็ไม่ทราบได้ที่ยังยืนยันจะทำอย่างที่ทำมา พวกเราเดินคล้อย ‘ร้านข้าวแกงเงินสดเท่านั้น’ ไปหน่อยก็ผ่านร้านส้มตำ ผมเอ่ยปากขอบคุณพี่สาวเจ้าของร้านอีกครั้งและสัญญาว่าจะหาเวลามาอุดหนุน
พูดเสร็จผมก็หาเรื่องมาสอนลูกชายได้อีกว่า ผู้คนส่วนใหญ่บนท้องถนนนั้นเป็นมิตรและเพื่อนที่ดีได้ เวลามีปัญหาอะไรให้ถามหรือขอความช่วยเหลือกับพวกเขาก่อนได้เลย ไม่จำเป็นต้องโทรฯ หาป๊าหรือม๊าในทันที ผมพยายามบอกกับลูกตลอดให้รู้จักไว้ใจหรือให้ใจกับคนแปลกหน้าไว้ก่อน
หลายสัปดาห์ก่อนก็เล่าเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงหรือแต่งให้ลูกฟังถึงวีรกรรมชาวนิวยอร์กคนหนึ่งที่คุยและให้ความช่วยเหลือกับโจรที่มาปล้นเขาแท้ๆ จนคนทั้งสองกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ผิดหรือถูกนั้นถกเถียงกันได้ ผมเชื่อว่าการสอนให้ลูกไว้ใจนั้นสำคัญพอๆ หรืออาจจะมากกว่าการสอนให้ลูกรู้จักระวังตัวด้วยซ้ำ เราจะมีสังคมที่น่าอยู่ได้อย่างไร หากเอาแต่พร่ำสอนเค้าให้ ‘อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน’ ผมไม่ได้บอกว่าให้ซื่อและโง่จนเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ตรงหน้าพูด แต่ในทางเดียวกันก็ไม่ควรกลัวและปฏิเสธคำพูดหรือไมตรีจิตจากคนแปลกหน้าดั่งคนหูหนวกตาบอดหรือคนไร้หัวใจ
ผมยืนยันว่าเราควรไว้ใจและให้โอกาสคน มีเจ็บปวดจากสิ่งนี้บ้าง ผมไม่เถียง แต่เจ็บแล้วจะทำอย่างไรต่อ สำหรับผมการลงโทษและตัดขาดจากคนที่ทำให้เราเจ็บจากการไว้ใจนั้นเป็นเรื่องที่ต้องไม่ละเว้น จากนั้นแล้วก็ควรสอนให้ลูกและบอกกับตัวเองให้ไว้ใจกับเพื่อนมนุษย์ต่อไป
ทางเสียก็ควรซ่อมทาง ไม่ใช่บอกให้ไม่ไว้ใจทาง คนเสียก็ซ่อมคน ไม่ใช่บอกให้ไม่วางใจคน การแก้ไขอะไรที่ผลนั้นย่อมทำให้เรากลับไปเจอปัญหาเดิมหรือปัญหาใหม่ได้เสมอๆ การแก้ที่เหตุนั้นแม้จะยากลำบากกว่า แต่ก็น่าจะสร้างความสงบสุขที่จีรังกว่า
ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust) คือรากฐานสำคัญที่สุดของลิงสมองโตอย่างมนุษย์ ผมคิดว่าลิงสายพันธุ์นี้ล่มสลายหรือสูญพันธุ์ได้เลยนะครับ ถ้าสมาชิกส่วนใหญ่ปราศจากสำนึกนี้ แล้วถ้าหากสังคมไม่ล่มสลายจากการณ์นี้ ลิงบ้าและโง่อย่างผมก็จะขอสูญพันธุ์ไปอย่างเงียบๆ เพียงตัวเดียวดีกว่า
ขอยุติจดหมายจาก (วอนนาบี) พะงันเนี่ยนดื้อๆ เพียงเท่านี้
เทคแคร์ โบรฯ
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
จดหมายฉบับนี้ของคุณไม่มีคำว่า ‘นักการเมือง’ สักครั้ง ไม่มีคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ สักคำ แต่อ่านแล้วให้รู้สึกถึงสองคำนี้ และก็เป็นอย่างที่คุณว่า คำพูดต่อๆ กันมาในทำนอง ‘แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์..’ ล้มเลิก ทำลายประชาธิปไตยบ้านเราครั้งแล้วครั้งเล่า ระยะเวลา 90 ปี สังคมของเราน่าจะไปได้ไกลกว่านี้มาก มั่นคงแข็งแรงมาก แต่คำสอนแบบนี้แหละที่เป็นอุปสรรค สอนให้ประชาชนหวาดระแวงประชาชนด้วยกัน
ว่าไปมันก็น่าแปลก สิ่งที่เป็นรูปธรรม เห็นอยู่ จับต้องได้ มีวาระชัดเจน เหนืออื่นใดคือผ่านการเลือกตั้งและมีกลไกตรวจสอบ ผู้มีอำนาจยัดเยียดความคิดความเชื่อใส่สังคมว่าอย่าไว้ใจ แต่สิ่งที่จับต้องไม่ได้เลย สถาปนาตนเองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเจ้านายเหนือหัว ไม่มีวาระ ขอบเขตพื้นที่อำนาจประเมินประมาณไม่ได้แน่นอน กลับสอนว่าจงก้มกราบ เชื่อฟัง อุทิศชีวิตพลีถวาย ตรรกะง่ายๆ และคนกลุ่มไหนน่าไว้วางใจกว่า ถูกหลอกหลอนโฆษณาชวนเชื่อจนหลายคนตรรกะพัง แยกแยะไม่ออก เสียงไหนดังกว่าชี้นิ้วกำกับทางก็เดินตามเป็นสัตว์ฝูง คำถามและความสงสัยในอำนาจสูญสิ้น
มันโคตรจะธรรมดาที่นักการเมืองบางคนอาจมีปัญหาบ้าง ถนนประชาธิปไตยบางแยกชำรุด เป็นหลุมเป็นบ่อ แต่พังตรงไหนก็ซ่อมแซมปรับปรุงไง ไม่ใช่จดจ้องรอจังหวะด้วยหื่นกระหายจะใช้เป็นข้ออ้างเอารถถังออกมาทำลายระบอบ
ทุกคำคมมีจุดอ่อนให้ถกเถียงอยู่แล้ว คำคมถูกเสมอในกาลเทศะหนึ่ง และบางมุมก็ผิด ใช้งานไม่ได้ มนุษย์ผู้ฝักใฝ่ในคำสอนจึงจำเป็นต้องสะสมวาทะปราชญ์ไว้ในกระเป๋าหลายๆ ชุด และเลือกหยิบใช้ให้ถูก อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ หลายครั้งข้อชี้แนะเหล่านั้นก็ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เช่น น้ำขึ้นให้รีบตัก กับ ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม เรียกว่าถ้าเลือกจะเชื่อตำรา มันก็น่าปวดหัวอยู่ไม่น้อยว่าตกลงจะเอายังไง ในท้ายที่สุด เราต่างก็ต้องวิเคราะห์ แยกแยะ เลือกใช้ และไตร่ตรองด้วยสติ เพราะโลกนี้ไม่มีคำคมที่ถูกที่สุด ยังไม่ต้องพูดว่าหากใครสักคนเลือกครองตนตามคำคมตลอดเวลาก็จินตนาการไม่ออก ว่าเขาและเธอจะถูกพายุน้ำลายพัดพาไปในทิศทางใด
เห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่งว่าเราต้องทวงคืนความไว้เนื้อเชื่อใจกลับคืนมา มันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ มันคือการเปิด คือโอกาส ขาดสิ้นความไว้วางใจเสียแล้ว โลกคงแห้งแล้งเป็นบ้า เป็นโลกที่ไม่น่าอยู่
ระแวงมากไปก่อให้เกิดความไม่สมดุล
ความระแวงบีบพื้นผิวของความสัมพันธ์ให้มีขนาดเล็ก แคบ และอึดอัด
การทำงานของเราที่น่าน ในนามของความแปลกหน้าต่อกัน เท่าที่เจอ ส่วนใหญ่ผู้คนค่อนข้างเป็นมิตร ไม่มีท่าทีหวาดระแวง (รูปลักษณ์และเครื่องนุ่งห่มอันเป็นปกติของเราก็ไม่ไกลจากอารมณ์สนุกในวันบ้าๆ ของคุณนัก) เราคุย เขาก็คุย เราเดินเข้าหา เขาก็ยิ้ม ต้อนรับขับสู้ เป็นฝ่ายเราซะอีกที่มักกังวลไปก่อน (ติดนิสัยที่อยู่เมืองกรุงมานาน) เจอคนที่อยากจะคุยก็มักละล้าละลัง คิดแล้วคิดอีก จนบางทีพลาด เขาหรือเธอขับรถไปไหนแล้วไม่รู้ ทั้งที่โดยสถิติก็ชัดเจนว่าขอให้เราเขี่ยบอลเริ่มต้นเท่านั้น เกมมักดำเนินไปด้วยดี หลายคนคุยจบ หาข้าวหาน้ำให้กินเสียอีก (และบางคนก็ชวนดื่มเสียจนถึงตอนนี้ก็ยังเขียนเล่าอะไรไม่ได้ เพราะเมื่อน้ำมา–น้ำเมา ก็คล้ายจะมีแต่น้ำ เนื้อเรื่องเบาบาง วนเวียน ไม่มีน้ำหนัก ซึ่งไม่ใช่ความผิดของใครเลย มันเป็นความปกติของวิชาชีพ คนหาปลาไม่ได้ปลาทุกวันหรอก คนทำสัมภาษณ์มันก็ผิดพลาดกันบ้าง พลาดก็เอาใหม่ เพราะข้อมูลเก่าไม่ได้หายไปไหน สะสม รอวันแก้แค้นเอาคืน)
ฤดูฝนสองสามเดือนมานี้ เราสังเกตว่าห้างหรือเถียงนาเป็นพื้นที่ที่ดีสำหรับการเริ่มต้นบทสนทนา ถ้าคิดละเอียด มันเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลที่เราไม่ควรล่วงละเมิด แต่ไม่คิดบ้างก็ได้ มองข้าม จอดรถและนั่งพูดคุย เราว่ามันก็ดีนะ ได้เห็นชีวิตชาวบ้าน ได้ฟังทุกข์สุขของพวกเขา แน่นอนว่าบางมุมมันคือการคุกคาม ขอโอกาส ขอใช้พื้นที่ แต่บางทีสิ่งนี้ก็คล้ายบันไดหรือสะพานที่นำไปสู่การเปิดเปลือยเรื่องที่ไม่เคยบอกเล่า
เป็นเวลาที่เราได้ผ่อนพักจากคำสอนจารีต ลดความกลัว วางอารมณ์หวาดระแวง และปลดปล่อยให้สัญชาตญาณอันเก่าแก่ที่สุดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ได้ทำงานของมัน.
ปล. เรื่องที่คุณขอถอนตัวออกจากกองพิสูจน์หลักฐาน Female Anatomy นั้น ศาล (เตี้ย) วินิจฉัยแล้วเห็นว่าเป็นสิริมงคลกับชีวิตพ่อบ้านโดยแท้ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งยืนนาน
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue