นัท-โอชวิน จันทร์สุข มีพ่อเป็นครูวิทยาศาสตร์ แม่เป็นครูภาษาไทย ใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ อ.ท่าวังผา ในบ้านพักข้าราชการมาตั้งแต่เด็ก สมัยอยู่ ม.ปลาย นัทเป็นนักกีฬาหมากกระดาน บอร์ดเกม ครอสเวิร์ดมือรางวัล เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนระยะสั้นในประเทศนิวซีแลนด์และอเมริกา จบมัธยมฯ ที่โรงเรียนปัว แล้วเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาบอกว่า “ตอนนั้นสอบติดอะไรก็เรียนๆ ไปก่อน เรียนเพราะต้องเรียน ไม่ได้รู้สึกว่าเรียนเพราะอยากเรียน”
อีกเหตุผลสำคัญคือ ไม่ชอบกรุงเทพฯ เคยมีประสบการณ์ไปทัศนศึกษาพบว่าเมืองหลวง รถติด วุ่นวาย ตลอดชีวิตทั้งเรียนและทำงาน ถ้าเลี่ยงกรุงเทพฯ ได้ เขาเลี่ยง เป็นคนพูดน้อย ออกจะขี้อาย ไม่ชอบเจอคนเยอะ เอ็นจอยชีวิตสาย introvert ปัจจุบันอายุ 28 ปี ทำงานอยู่ที่น่าน เป็นยามเฝ้าสภาพอากาศ
ทำไมคุณถึงเลือกทำงานนักอุตุนิยมวิทยาการบิน ?
ตอนเรียนจบ อยู่เชียงใหม่ไปแบบว่างๆ พยายามหางานไปด้วย ดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง จบวิทยาศาสตร์เคมี งานที่จะทำค่อนข้างจำกัด เลยกลับบ้านก่อน
เกือบปีเหมือนกันกว่าจะได้งาน ที่บ้านไม่ได้เดือดร้อนอะไร พ่อแม่ไม่ได้กดดัน เขาบอกให้ค่อยๆ หาไป แต่ผมรู้สึกว่าอยู่แบบนี้ไม่ได้ เคยฝันว่าอยากมีชีวิตวัยรุ่น Full Time Trader ดูข้อมูลจาก ยูทูบ กูเกิ้ล เอาเงินก้อนที่เก็บจากตอนเรียนมาลงทุนไปกับการทำเทรด นั่งอยู่หน้าคอมทั้งวันทั้งคืน ได้บ้างเสียบ้าง เป็นช่วงที่พยายามฝืนจะทำให้ได้ มันเสียไม่เยอะแต่ได้มาน้อย ถ้าเป็นไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่มีเงินกินข้าวแน่ๆ มันไม่รู้จะทำอะไรเพราะหางานไม่ได้ทะเยอทะยานเป็นไปในความหมายทางลบ ค่อนข้างหมกหมุ่น พ่อแม่ก็ถามว่าลูกทำอะไรอยู่หน้าคอมพ์ไม่ยอมออกมาข้างนอกบ้าง ผมไม่บอกอะไรเพราะพูดไปผู้ใหญ่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
มีช่วงที่กลับไปเชียงใหม่อีกครั้ง ไปเที่ยวหาเพื่อนที่ยังคงเรียนอยู่ เพื่อนไถฟีดไปเจอตำแหน่งงานนักอุตุฯ ก็มาถามว่าสนใจอยากลองดูมั้ย ปีนั้นรับตำแหน่งเป็นร้อย
ทำไมถึงรับเยอะ
ประเทศไทยโดนองค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization) มาตรวจ พบว่าสนามบินในเมืองไทยไม่ผ่านมาตรฐานหลายข้อ เรียกว่าติดธงแดงต้องแก้ไข ไม่งั้นสนามบินประเทศไทยจะติด warning หนึ่งในเหตุผลที่ติดธงแดงก็คือ สนามบินไม่มีนักอุตุฯ ประจำอยู่ มีแต่พนักงานอุตุฯ มีแค่พนักงานซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดของเขา ทางแก้ก็คือต้องรับนักอุตุฯ เข้ามาทำงานเพิ่มแล้วส่งไปประจำที่สนามบินในแต่ละจังหวัด
ทำไมก่อนหน้าถึงไม่มีนักอุตุฯ ประจำที่สนามบิน
ไม่มีนักอุตุฯ ระบบการบินก็ทำงานได้ แต่ไม่ครบถ้วนตามมาตรฐานตามที่ตั้งไว้
พอรู้ว่ามีงานแล้วทำยังไง
ก็ลองไปสอบ คิดว่าถ้าต้องไปไกลบ้านมากก็จะไม่เอา สอบข้อเขียนรอบหนึ่ง ข้อสอบไม่ได้ลึกมาก หลักๆ จะมี คณิต ฟิสิกส์ คำนวนเบื้องต้น ภาษาอังกฤษ และมีสัมภาษณ์อีกหนึ่งรอบ เรียงคะแนนเรียกชื่อตามลำดับและจะมีโควต้าให้ลงตามจังหวัด ผมได้ที่สี่สิบกว่าๆ จากร้อยยี่สิบกว่าตำแหน่ง สองคนก่อนหน้าผมเลือกน่าน ที่น่านมีโควต้าสามตำแหน่ง ผมลุ้นว่าจะได้มั้ย จริงๆ มีจังหวัดแพร่ไว้ในใจด้วย ถ้าน่านเต็มยังไงก็ขอใกล้บ้านไว้ก่อน สรุปว่ายังไม่เต็มก็เลือกที่น่าน
งานเป็นยังไง
หน้าที่หลักๆ จะทำงานตรวจสอบและเฝ้าระวังสภาพอากาศ ดูแลเรื่องข่าวการบินเรียกว่า METAR เป็นรายงานสภาพอากาศให้กับผู้รับบริการ คือ วิทยุการบิน (ATC air traffic controler) หรือ เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ นักอุตุฯ จะสื่อสารกับ ATC โดยตรงจากนั้น ATC จะทำหน้าที่ประสานกับนักบินอีกทีหนึ่ง เพื่อกระจายข่าวออกไป ทุกๆ ต้นชั่วโมงคือสิ่งที่ต้องทำ
นักอุตุฯ จะมีเครื่องตรวจสภาพอากาศที่เรียกว่า AWOS automatic weather observation system หรือ ภาษาไทยเรียกว่าเครื่องตรวจสภาพอากาศอัตโนมัติ จะมีช่องให้กรอกข้อมูลลงไปและใช้อ่านค่าจากตรงนั้น สรุปเป็นฟอร์มออกมาให้เอามาทำเป็นข่าว ต้องใช้ตาสังเกตด้วยถึงต้องมีมนุษย์มาเป็นผู้ตรวจเช็กความถูกต้อง เพราะเครื่องไม่ได้อ่านค่าเป๊ะขนาดนั้น อย่างเรื่องของทัศนวิสัย เครื่องอาจจะโชว์ว่า 10 กิโลฯ แต่พอมองจากหอบังคับการบินอาจเห็นหมอกเพียงแค่ 3 กิโลฯ เมื่อไม่ถูกต้องก็แก้ข้อมูลให้เป็นไปตามที่ผู้สังเกตการณ์มองเห็นใกล้กับความเป็นจริงที่สุด คอยควบคุมเหมือนการขับรถอัตโนมัติต่อให้นั่งหลังพวงมาลัย เราก็ต้องเช็กว่ามันปกติดีมั้ย
ข่าว METAR จะออกทุกต้นชั่วโมง กรณีสภาพอากาศเลวร้าย เช่น มีกลุ่มฝนก่อตัวใกล้สนามบินช่วงที่เครื่องบินใกล้จะลงจอด ATC จะประสานงานมาที่นักอุตุฯ และขอคำพยากรณ์ว่าจะเข้ามาในสนามบิน ฝนจะตกนานมั้ย ข่าวรายงานสภาพอากาศร้ายจะเรียกว่า SPECI จะใช้ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง แย่ลงก็ใช้ ดีขึ้นก็ใช้ หมายความว่าตอนส่ง METAR สภาพอากาศอาจจะแย่อยู่ พอครึ่งชั่วโมงผ่านไปฝนอาจตกเบาลง เราก็ต้องส่ง SPECI รายงานว่าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงแล้ว และ ATC จะดูข่าวอีกทีว่า นักอุตุฯ ส่งข่าวอะไรมา พูดง่ายๆ คือ นักอุตุฯ เหมือนเป็นยามสภาพอากาศ เฝ้าทั้งวัน
นักอุตุฯ ทำงานกี่โมง เลิกกี่โมง
ตามกำหนดของแต่ละสนามบิน ส่วนใหญ่ที่น่านจะเริ่มบินตั้งแต่หกโมงเช้า ข่าว METAR ต้องได้รายงานแล้ว เดินทางจากที่บ้านพักข้าราชการของสถานีอุตุฯ อยู่แถวๆ โลตัส ประมาณสิบนาทีไปสนามบิน ถึงที่ทำงานอยู่บนชั้นสามเริ่มตรวจเช็กดูว่าเครื่องตรวจสภาพอากาศ AWOS ระบบต่างๆ ทำงานได้ปกติมั้ย แล้วก็เดินดูสภาพอากาศบนหอบังคับการบิน ดูว่าวันนี้สภาพอากาศเป็นยังไง
ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ในการส่งข่าว METAR มีจดบันทึกด้วยลายมือตรงนี้ก็จะนานนิดนึง ทั้งๆ ที่ตอนทำงานก็ส่ง METAR ผ่านระบบไปแล้ว แต่ยังต้องเขียนด้วยลายมือเพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าได้ทำการตรวจแล้ว ช่วงเช้าๆ จะมีสายการบินต่างๆ โทรฯ เข้ามาเพื่อขอข้อมูลว่าสภาพอากาศในวันนี้เป็นอย่างไร ระหว่างวันก็เฝ้าระวังต่อไป ดูสภาพอากาศต่างๆ ในแต่ละช่วง สแตนด์บายรอเครื่องบินเที่ยวต่อไปจะมา ถ้ามีผู้รับบริการร้องขอก็เตรียมข้อมูลให้ ผู้รับบริการหลักๆ จะมีสามที่คือ สายการบิน ท่าอากาศยาน และ ATC
ทำงานจนถึงเที่ยวบินสุดท้าย ปกติสนามบินน่านจะสิ้นสุดหกโมง และสายการบินเที่ยวสุดท้ายจะมีปัญหาที่สุด เจอปัญหาเรื่องเวลาล่าช้า ก่อนหน้าจะมีโควิด ช่วงฤดูหนาวจะทำงานตั้งแต่ตีห้าครึ่งเลิก งานสี่ทุ่ม เที่ยวบินเยอะ เพราะเป็นเทศกาลท่องเที่ยว วันๆ หนึ่งทำงานอย่างต่ำ 12 ชั่วโมง
การทำงานมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันบ้างมั้ย
ก็นอนเยอะหน่อย (หัวเราะ) บางทีมันล้าเหมือนกัน ถามว่าออกไปข้างนอกได้มั้ย ก็ไปได้ แต่ต้องกลับเข้ามาให้ทันส่งรายงาน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำเท่าไหร่ เพราะไม่รู้เลยว่าระหว่างนั้นจะมี flight พิเศษเข้ามาหรือเปล่า เพราะเที่ยวบินมาลงจอดแบบไม่รู้ล่วงหน้าก็มีเซอร์ไพร์สอยู่ตลอด บ่อยมากด้วย พักกลางวันถ้าไม่เตรียมมาเองก็สั่งเดลิเวอรี่มา ไปโรงอาหารไม่ค่อยสะดวกต้องสแตนบายรออยู่ในหอคอยการบิน
ช่วงโควิดที่เครื่องบินงดบิน ค่อนข้างผ่อนคลาย เพราะไม่มีสายการบินเลย แต่ก็ต้องไปอยู่ไปเฝ้าทำงานเหมือนเดิม ส่งรายงานประจำทุกชั่วโมงเหมือนเดิม แม้จะไม่มีการบินก็ต้องมีข้อมูลตรงนี้ส่งให้การทางศูนย์ตลอด
นักอุตุฯ เป็นใครก็เข้าไปทำได้ ?
จริงๆ มันไม่ได้ฟิกซ์อะไรขนาดนั้น สิ่งที่ต้องการคือประสบการณ์และความคุ้นเคยในพื้นที่ เพราะสภาพอากาศของสนามบินแต่ละที่ไม่เหมือนกัน พวกอุปกรณ์ก็สามารถฝึกฝนกันได้
สภาพอากาศของที่น่านเป็นยังไง
ที่น่านจะมีหมอกและฝนตกหนัก ฝนก่อตัวได้เร็วมาก เรียกว่าเมฆคิวมูโรนิมบัส เป็นเมฆก่อตัวทางตั้ง จะมีฐานเมฆที่ต่ำและมียอดเมฆค่อนข้างสูงใช้เวลาก่อตัวแป๊ปเดียว ซึ่งการตรวจด้วยอุปกรณ์เรดาร์สามารถหากลุ่มฝนได้ก็จริง แต่ต้องตรวจทุก 15 นาที ซึ่งการเกิดคิวโมโรนิมบัส มันอาจจะเกิดกึ่งกลางระหว่างเวลา 15 นาทีก็ได้ ตรวจอยู่บนหอคอยการบินอาจเห็นว่าสภาพอากาศสดใส ส่งข่าวไปตามนั้น พอผ่านเวลาไปนิดเดียวอากาศก็อาจจะเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของระบบการแจ้งเตือน ฉะนั้น มอนิเตอร์สภาพอากาศตรวจด้วยแค่เรดาร์อย่างเดียวไม่ได้ ทุกครั้งที่ใกล้จะส่งข่าวประจำชั่วโมง ต้องลุกขึ้นไปดูสภาพอากาศให้ชัวร์
เคยเกิดเหตุการณ์อะไรบ้างมั้ยจากความไม่ชัวร์
เครื่องบินจะขึ้นไม่ค่อยมีปัญหา เคยมีครั้งหนึ่งเครื่องลงไม่ได้เพราะฝนตกหนักแบบว่ามองเห็นทัศนวิสัยได้แค่หนึ่งกิโลฯ นักบินมองไม่เห็นจากห้องควบคุมเป็นจังหวะที่เครื่องจะแลนดิ้งลงมาถึงพื้นแล้ว ปรากฏว่าเครื่องเชิดหัวกลับขึ้นไปอีก ผมเห็นครั้งแรกตกใจมาก ตอนแรกผมก็ส่งข่าวเตือนไปแล้วว่าสภาพอากาศจะแย่ประมาณ 20 นาที ต้องบินวนรอไปก่อน ไม่คิดว่าเขาจะลงเลย แต่นักบินกับ ATC เขาคงตัดสินใจกันเอง นักบินบางคนเขาประสบการณ์เยอะ มองสภาพอากาศแล้วคิดว่าลงจอดได้เขาก็ทำเลย นักอุตุฯ เป็นเพียงคนให้ข้อมูลเท่านั้น
เมื่อก่อนไม่มีนักอุตุฯ ในสนามบิน ตอนนี้คุณคิดเห็นยังไง ?
มันจำเป็นต้องมีตามมาตรฐาน เมื่อก่อนมีพนักงานอุตุฯ จากสถานีมาเวียนกันทำงาน แรกๆ ที่ผมมาประจำยังไม่ได้ทำงานก็ไปดูพนักงานอุตุฯ ของสถานีคนก่อนหน้าทำงาน ตอนนั้นงานไม่เป็นอย่างที่ผมทำแบบทุกวันนี้ พอได้มาทำด้วยตัวเองก็พบว่ามันมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นมากกว่าคนที่ทำงานก่อนหน้าเยอะมาก เขาไม่ต้องพยากรณ์สภาพอากาศใดๆ ถึงชั่วโมงรายงานข่าวส่งเสร็จแล้ว ไม่ต้องเฝ้าระวัง การทำงานมันไม่เหมือนกันเลย
เงินเดือนนักอุตุฯ เท่าไหร่
เริ่มต้นสตาร์ตที่ 15,900 บาท ส่วนใหญ่ข้าราชการจะเรตราคาประมาณเท่านี้เลย ตอนนี้ทำงานมา 4 ปี ได้เงินเพิ่มมาเป็นสองหมื่นสี่ร้อย ประเมินปีละสองครั้ง เงินเดือนขึ้นประมาณ 500-1000 บาท โอทีมีให้เบิกได้ 2,000-3,000 บาทต่อปี
นอกจากต้องเฝ้าดูสภาพอากาศ นักอุตุฯ ทำอย่างอื่นอีกมั้ย
มีงานเอกสารที่ควบคู่กับงานราชการ ถึงแม้จะทำงานอยู่ใต้กระทรวงดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม เอกสารหลายๆ อย่างยังต้องเขียนด้วยลายมือเป็นระบบอนาล็อกอยู่ มีเอกสารหนึ่งเล่มที่ต้องเขียนขั้นตอนการทำงานออกมาว่าทำอะไรบ้าง มีอีกเล่มหนึ่งเป็นคู่มือบันทึก อีกเล่มจะเป็นคู่มือวิธีทำงาน ทั้งสามเล่มจะต้องสอดคล้องอ้างอิงกัน ค่อนข้างยุ่งยาก
ปี 2021 แล้วนะ ยังต้องนั่งเขียนอยู่อีก
บางอย่างไม่ค่อย make sense แต่ก็ต้องทำตามไป งานไม่ค่อยมีปัญหา มีที่คนมากกว่า
ยังไง
ถ้าพูดในมุมมองของผู้น้อยพูดถึงคนที่อายุมากกว่าและตำแหน่งสูงกว่า คืออยากให้ใจกว้างและลองรับฟังก่อน เพราะบางเรื่องที่เขาพูดมาผมไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด เข้าใจดีว่าคนที่มีอายุงานมากกว่าย่อมมีมุมมองที่ยึดและทำกันมานาน แต่ผมเองที่มาใหม่ก็มีเหตุผลบางอย่างที่คิด อยากพูดให้พวกเขาฟังถึงปัญหาที่เจอ สมมติจะทำเอกสารอะไรสักอย่าง รูปแบบของการทำงานที่ผู้ใหญ่ทำกันมามันอาจจะมีวิธีอื่นที่ทำได้ ซึ่งไม่ได้ผิดหลักอะไร อาจจะสะดวกกว่าและผลลัพธ์ที่ต้องการยังเหมือนเดิม ผมแค่อยากปรับวิธีการทำงานให้สะดวก ไม่ใช่แค่ผม แต่กับทุกๆ คนเลย พยายามยกเหตุผลมานำเสนอ แต่ด้วยตำแหน่ง ด้วยอายุ เขาก็อาจจะไม่รับฟังเรามากเท่าที่ควร
การรับฟังอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ผมเข้ามาอยู่ในระบบ แต่ไม่ได้คิดว่าต้องทำตามนั้นทุกอย่าง ผมมองว่าจะสามารถเปลี่ยนตรงไหนได้บ้างมั้ยในสิ่งที่ทำๆ กันอยู่ทุกวัน คือเวลาผ่านไปควรจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น สิ่งที่พยายามบอก คือมันสามารถวัดผลได้ เห็นผลที่แตกต่างจากเดิมจริงๆ ผมอยู่กับสมติฐานการทดลอง สรุปผล และเอามาวิเคราะห์ อยู่กับวิธีคิดนี้ ได้ซึมซับตรงนี้มาหลายปี ตรงนี้แหละที่เอาการเรียนวิทยาศาสตร์มาใช้
คุณคิดว่า ปัญหาในการทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองมั้ย
พูดยากนะ แต่ทุกวันนี้ติดตามข่าวสารอยู่ตลอด การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกๆ อย่างคนที่บอกว่าไม่เห็นต้องเอาการเมืองมาเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องเลย เขาอาจจะไม่เข้าใจ หรือไม่มีควาามรู้ ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ควรสนใจนะ ทุกๆ งาน ทุกๆ ที่ มันคือการจำลองระบบการเมืองของประเทศมา เราทุกคนต้องต่อกรกับประยุทธ์ในเวอร์ชั่นของตัวเอง
ในฐานะคนรุ่นใหม่ หวังกับการเปลี่ยนแปลงแค่ไหน
ผมมองว่าการรื้อระบบได้เป็นสิ่งที่ดี อยากจะให้รื้อ เราก็รู้ว่าคนที่เขาทำงานอยู่มานาน ส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยเอาอะไรแล้ว เขาอยากจะอยู่กับความมั่นคงของเขาไปแบบนั้น ทำแค่นี้ ถึงจะโดนเอาเปรียบก็ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่อยากเดือดร้อน ไม่อยากมีปัญหา คนรุ่นก่อนมีมายด์เซ็ตที่ว่าโดนเอาเปรียบก็อยู่เงียบๆ ไป อดทนเอาไว้ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง
มีครั้งหนึ่งผมเคยโทรฯ ไปปรึกษารุ่นพี่ที่เกษียณแล้ว ว่าปัญหาเป็นแบบนี้ๆ ผมจะลุยเลยดีมั้ย ทนไม่ได้แล้ว รุ่นพี่ก็บอกว่าอย่าเลย เดี๋ยวจะผิดใจกัน ทั้งๆ ที่ผมก็มองว่าเรื่องที่ทำเป็นสิ่งที่ถูก ผมรู้สึกว่าจะต้องทนไปทำไม ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ข้อเสียก็คือถ้าเกิดว่าข้อมูลที่รู้มาไม่มากพอ เขาจะพูดข้อมูลอื่นมากลบ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องด้วยซ้ำมากดดันให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันผิด ตรงนี้ต้องเตรียมตัวให้ดี จะพูดคุยหารือเจรจา ผมรู้สึกว่ามีคนที่พร้อมจะเอาเปรียบเราอยู่ตลอด ยิ่งเห็นว่าเป็นเด็กเขาก็มองว่าเราไม่รู้เรื่อง เขารู้เยอะกว่า พูดหว่านล้อมให้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันถูก แต่พอกลับมาถามคนที่รู้ กลับมาค้นหาข้อมูล ก็พบว่ามันไม่ใช่ สิ่งที่เราทำมันก็ถูกแล้ว เป็นเขาต่างหากล่ะที่กำลังโกหกเราอยู่
ผมว่ายากต่อการเปลี่ยนแปลง เราทุกคนต่างรู้ว่าต้นตอจริงๆ ของปัญหาคืออะไร แต่ในจำนวนคนมากมายที่รู้ก็จะบอกว่า มึงไม่ต้องไปยุ่งหรอก ปล่อยไว้แบบนั้นดีแล้ว ยุ่งแค่เท่านี้พอ ซึ่งไม่ว่าข้างล่างจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็เหมือนเดิม พอจะเปลี่ยนข้างบนสุดก็กลายเป็นคนทรยศไปซะ ผมเลยมองว่ามันยากจังเลย เอาแค่ให้คิด ให้เห็นตรงกันก่อนว่าอะไรที่มีปัญหามันจะเริ่มมีความหวัง
ทุกวันนี้ผมมองว่าดีขึ้นนะ จากเมื่อก่อนที่เคยคุยกับพ่อแม่อีกแบบ เวลาผ่านไปตอนนี้เรื่องการเมืองผมกับพ่อแม่เห็นตรงกัน เพราะพูดกันตามหลักเหตุผล พ่อแม่ก็ดูข่าวอยู่ตลอด แต่ก็มีคนรุ่นเดียวไล่เลี่ยกัน เวลาคุยกับเขาก็ดูเป็นคนมีความคิด มีหลักการที่ดี เรื่องความเป็นมนุษย์รู้ถูกผิดว่าแบบไหนโกง แบบไหนทำไม่ถูก แต่พอพูดถึงเรื่องการเมืองผมแปลกใจนะว่า ตรรกะมันไม่สามารถใช้ได้กับบางเรื่อง เหมือนว่าเป็นความเชื่อของเขาไปแล้ว แล้วใช้เหตุผลกับเขาไม่ได้
4 ปีที่ทำงานชอบอาชีพนักอุตุฯ มั้ย
ผมชอบตรงที่ได้ทำงานอยู่คนเดียว ไม่วุ่นวาย มีเพื่อนร่วมงาน 3 คน ปกติจะทำงานสลับกันคนละวัน ก็คุยกันว่าผมขอทำงานติดกันไปเลย เวลาที่ว่างจะขอกลับบ้านที่ท่าวังผา เดือนหนึ่งมีสามสิบวัน โควต้าการทำงานของแต่ละคนแบ่งเป็นสิบวัน จะจัดการงานยังไงก็ได้ บางเดือนมี 31 วัน ถ้าวันที่ทำงานวนมาจบตรงใคร คนนั้นก็ทำงานไป 11 วัน
แต่รู้สึกกลางๆ ไม่ได้ภูมิใจหรืออยากประกาศตัวอะไรขนาดนั้น สังคมมีภาพจำไม่ดีเกี่ยวกับกรมอุตุฯ เยอะ เพราะบอกอะไรไม่ชัดสักอย่าง กรมอุตุฯ แยกเป็นศูนย์แต่ละภาค มีศูนย์กระจายเป็นจังหวัด แต่ละจังหวัดมีหลายสถานี อาจจะมีอุทกภัย มีเกษตร มีการบิน แยกย่อยกันไป ที่น่านจะมีอุทกภัยที่ท่าวังผา มีเกษตรที่ผาสิงห์และทุ่งช้าง ส่วนในเมืองมีอุตุฯ การบิน แต่ถ้าพูดว่าทำงานกรมอุตุฯ โดนเหมารวม เมื่อก่อนผมไม่รู้ผมก็ด่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนถึงด่า
อย่างเช่น
ถ้าถามว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกมั้ย ถ้าผมบอกว่าตกแล้วมันไม่ตกผมก็ผิดใช่มั้ย สมมติว่าที่บ้านของเขาไม่ตก แต่ห่างจากบ้านเขาออกไป 500 เมตร แบบนี้เรียกว่าฝนตกมั้ย เพราะผมไม่สามารถบอกได้ว่าบ้านคุณฝนจะตกเมื่อไหร่ เลยต้องใช้คำว่ามีโอกาสตกนะ เพราะว่าพยากรณ์ตำแหน่งแน่นอนไม่ได้ มันเป็นอาชีพที่ต้องอิงข้อมูลที่มีไปตามสภาพอากาศ เครียด เหมือนงานที่ต้องพยายามทำนายอนาคตอยู่ตลอด เรื่องของสภาพอากาศคาดเดาได้น้อย อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงขนาดนั้น
แต่ผมต้องบอกแบบนี้ คือประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น ร้อนชื้นไม่พอ มีทะเลสองแห่ง อ่าวอีกหนึ่งที่ ล้อมรอบอยู่ เพราะฉะนั้นการจะพยากรณ์ฝน เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากเพราะไม่แน่นอน ลักษณะการเกิดฝนจะเกิดขึ้นไวและจบเร็วมาก เดาทางไม่ถูก บางทีพยากรณ์ไม่ทันด้วยซ้ำ มันก็จบแล้ว
ต่างจากประเทศอย่างญี่ปุ่น สภาพอากาศค่อนข้างนิ่ง แน่นอน สามารถพยากรณ์ได้แม่นย่ำแบบเป็นอาทิตย์ พูดง่ายๆ อากาศบ้านเขาค่อนข้างนิ่ง เมื่อไหร่ที่เห็นแนวปะทะอากาศเขาสามารถคาดเดาได้เลย เพราะเป็นมวลอากาศที่มาชนกัน ชนกันเมื่อไหร่รู้เลยว่าจะเกิดสภาพอากาศแบบไหน ตรงนี้อยากแจ้งให้ทราบ อยากให้ชั่งน้ำหนักตรงนี้ด้วย บุคลากรของเราไม่ได้ด้อยคุณภาพนะ
ถ้าให้พยากรณ์อากาศ ตอนนี้ที่จังหวัดน่านเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้เมฆไม่มี อากาศค่อนข้างปลอดโปร่ง ส่วนใหญ่จะเป็นปกติของฤดูหนาวอยู่แล้ว ท้องฟ้าแจ่มใส ปีนี้ฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ฝนในฤดูหนาวมีโอกาสเกิดขึ้น แต่ว่าเป็นฝนฟ้าคะนองแบบสั้นๆ ฤดูหนาวจะมาจากจีนแผ่ลงมาประกอบกับไทยที่มีอากาศร้อนในตอนกลางวันอยู่แล้ว การเกิดฝนฟ้าคะนองถ้าอากาศเย็นปะทะกับอากาศร้อน จะทำให้อากาศร้อนลอยตัวขึ้นได้ไว ก้อนเมฆสูงก็เกิดฝนฟ้าคะนองได้เลย เรื่องสภาพอากาศเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันอยู่เรื่อยๆ
ส่วนตัวผมอยากให้กรมอุตุฯ ทำข้อมูลให้คนเข้าถึงได้ง่ายกว่านี้ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่มีอยู่ คนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก ข้อมูลอยู่ในเว็ป อัปเดตทุกวัน แทนที่จะกระจายออกมาให้คนดู คนต้องเข้าไปดูเอง ผมว่าตรงนี้อาจเป็นเรื่องยากไปสำหรับบางคน ควรจะทำให้ง่ายและอาจแยกย่อยให้เข้าใจได้มากกว่านี้.
nandialogue
เรื่องและภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น