“การเดินทางด้วยกันของเรามันแสนสั้น แล้วจะทะเลาะกันทำไม” เคยได้ยินอะไรแบบนี้ไหม
วันเสาร์ เราเอารูปไปใส่กรอบที่สวนจตุจักร ขาไปนั่งรถเมล์ได้อย่างสบาย เช้าหน่อยถนนว่าง รถก็ว่าง วันหยุด ออกไปเดินเปิดหูเปิดตาดูชาวโลกเป็นเรื่องสนุกที่ทำได้ง่าย ไม่ลำบากอะไร หลังโควิดซา ประเทศเปิดแล้ว สวนจตุจักรกลับมาคึกคักมีชีวิตชีวา
เราใช้บริการร้านทำกรอบเจ้าเดิมที่มีหน้าร้านในสวนฯ ส่วนห้องทำงานของเขาอยู่วังหิน ร้านนี้มีศิลปินเป็นเจ้าของ เขาเปลี่ยนใจไม่เขียนรูปเพราะทำกรอบแล้วสนุกกว่า อันนี้ก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย เราติดต่อพึ่งพากันมากว่ายี่สิบปีแล้ว คล้ายแบ่งหน้าที่กันทำ คนวาดรูปไม่ควรต้องไปตัดไม้ตัดลวดสลิงด้วยตัวเอง ทำไม่ได้ ไม่ชำนาญ
หลังจากสื่อสารกันทางอุปกรณ์เทคโนโลยีที่แสนสะดวกสบายแล้ว ก็ไม่ยากที่เราจะเลือกแบบ frame เลือกสีของ mount broad เลือกโน่นนี่ได้ตามใจ วันเสาร์สวนเปิดแล้ว เราก็แค่ถือรูปไปให้ช่างเขาใส่กรอบให้ ทำเสร็จแล้วก็รอรับกลับบ้านได้เลย
บนทางเดินในสวน ขากลับเราออกมาหารถแท็กซี่ จู่ๆ อย่างงงๆ ปนตกใจ ใครบางคนจากข้างหลังเดินมาชนเราพร้อมจับที่ข้อศอกเหมือนเขย่า ไม่เห็นหน้า โดยสัญชาตญาณกลไกป้องกันตัวของมนุษย์ มือเหมือนมันจะสะบัดออกจากสิ่งแปลกปลอมนั้นทันที ทั้งที่ยังไม่รู้ยังไม่เห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร ปัดไว้ก่อน เร็วและดูรุนแรง
เด็กชายไทยในวัยที่ยังไม่มีบัตรประชาชน เจ้าของมือนั้นก็ตกใจ คงร้องประมาณโอ๊ย ช่วงเวลาสั้นๆ ประกอบกับเสียงร้องตกใจนั้น หญิงอ้วนชาวต่างชาติที่เกือบชรา ผมเธอสีแดง ใส่สายเดี่ยว มือข้างซ้ายเหมือนถืออะไรอยู่ก็จำไม่ได้ เธอเดินนำหน้าเด็กเพียงก้าวเดียว เธอหันหน้ากลับมาแล้วคว้ากึ่งดึงแขนเด็กชายไปยึดไว้แน่น เธอหยุดชะงักเล็กน้อย ส่งสายตาและทำท่าทางเหมือนจะเอาเรื่อง เหมือนอยากมีเรื่อง เพียงแวบเดียว เธอคงคิดว่าจะเอาเรื่องได้ยังไง เราก็มีชายหนุ่มช่างกรอบที่เดินแบกรูปอยู่ข้างๆ และที่นี่ประเทศไทย
ช่วงเวลาสั้นๆ กับท่าทีแบบนั้น มันเรียกความร้อนในหัวได้ไวมาก เหมือนอยากจะรบให้รู้เรื่องกันไป แต่วูบเดียวจริงๆ ชั่วเสี้ยววินาที ความคิดของเราขณะนั้นคือไม่สมราคา ถ้าจะทะเลาะกันด้วยสาเหตุนี้ สถานการณ์อย่างนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะให้เวลาแม้ครึ่งวินาที เคยเป็นไหม ประโยคอะไรแบบนี้มันแวบขึ้นมา การเดินทางด้วยกันของเรามันแสนสั้น แล้วจะทะเลาะกันไปทำไม
พอแวบแบบนี้ เราเลือกวิธีถอย ถอยดีกว่า ไม่รู้จะไปทะเลาะกับเขาทำไม ก็แยกย้ายกันไปแบบยังไม่รู้สึกอะไร
แล้วอยู่ดีๆ ความจำเรื่องนี้ก็แวบขึ้นมา เกินสิบปีแล้ว ตำรวจที่เป็นพ่อของเพื่อนเล่าให้ฟังว่า ค่ำวันหนึ่ง เขาต้องออกไปติดตามคนร้าย มีตำรวจไปด้วยกันกี่คนก็จำไม่ได้ แต่เขาได้ตามคนร้ายไปจนรู้และเห็น เหมือนว่าคนร้ายวิ่งเข้าไปที่กุฏิของเจ้าอาวาส ตำรวจวิ่งตามไปที่กุฏินั้น เจอหลวงลุงเจ้าอาวาสนั่งอยู่ เขามั่นใจว่าคนร้ายหนีเข้ามาที่นี่แน่นอน คนร้ายอาจจะพลาดเพิ่งฆ่าคนมา อาจเพิ่งขับรถชนคนตายแล้วหนีมา เขาอาจมีปืนมีมีด
เจ้าอาวาสยังไม่รู้อะไรทั้งนั้น ได้แต่รีบหาที่ซ่อนตัวให้เด็กหนุ่มที่ตัวสั่นเหมือนรู้ว่าความตายมีจริง วัยรุ่นเพิ่งจะเติบโตรู้ดีรู้ชั่วแค่ไหนก็เดาไม่ถูก เจ้าอาวาสทำไมจึงอยากไว้ชีวิตเพื่อนร่วมโลก ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสคิดอะไรที่ตอบพ่อเพื่อนว่าไม่เห็นมีใครเข้ามาเลย ปากที่เพิ่งเทศน์มุสาวาทาให้อุบาสกอุบาสิกาฟังเมื่อเช้านี้แหละ เจ้าอาวาสทำผิดศีลข้อมุสาวาทา เวระมณี สิกขาปะทัง.. เว้นไม่ให้พูดเท็จเพราะเป็นบาป เอาเข้าจริงพระก็เหมือนคิดอยู่ว่าถ้ามันจำเป็นต้องโกหกก็ต้องทำแก้ปัญหายามหน้าสิ่วหน้าขวาน
ไม่มีอะไรเลยที่ไม่เชื่อมโยงกัน การตัดสินใจทำอะไรบางอย่างอาจดูไร้เหตุผลมากของบางคน แต่กับอีกคนมันคือความจำเป็น พระบอกว่า บางทีพูดความจริงไปแล้วทำให้คนทะเลาะกัน มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ในบางสถานการณ์ ผิดศีลแล้วอาจไม่ใช่ความชั่วทันที คำตอบของชีวิตไม่ควรสรุปจากเหตุการณ์เดียว ชีวิตมันมีปัจจัยมีเงื่อนไขมากกว่าแค่ที่ตาเห็น
ตอนที่เจ้าอาวาสบอกตำรวจว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีใครเข้ามา ตอนนั้นตำรวจคิดอะไรก็เดาใจไม่ถูก หน้าที่กับการละชีวิต จะเลือกอะไรดี เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เท่าที่เขาจำได้คือสุดท้ายเขาเลือกที่จะทำตามหลวงลุง คือทำไม่รู้ไม่เห็น ยังติดตามคนร้ายไม่ได้ แล้วยังไงต่อก็จำไม่ได้แล้ว
ฟังเรื่องเล่าจากวันนั้น ตำรวจบอกว่าก็ไม่รู้ว่าคนร้ายคนนั้นไปอยู่ไหน หายไปเลย อาจไปโดนจับที่อื่น เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตำรวจยังจำเรื่องนี้ได้ หรือเขาอาจรู้สึกผิดก็เป็นได้ที่ไม่คาดคั้นเอาเรื่องวันนั้น คนร้ายคนนั้นอาจไปฆ่าใคร อาจไปยิงใครหรืออาจเป็นใครสักคนที่มีอิทธิพลมีชื่อเสียงในสังคมอยู่ทุกวันนี้ก็ได้ คือเขาก็คงมีคำถามค้างคาในใจ
ถ้าการทะเลาะไม่ได้หมายถึงความไม่ดี ไม่ได้หมายถึงการกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซาก การทะเลาะก็เพื่อฟังคำอธิบาย อยากได้รู้เหตุผล มนุษย์มันไม่ควรเหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำความเข้าใจกัน ถ้าคิดว่าเราทุกคนมีกรรมสุขทุกข์ที่ต่างต้องชำระสะสางด้วยตัวเอง แค่นี้ก็เหนื่อยพอแล้ว แล้วอะไรมันจะดีไปกว่าการรับฟังลมหายใจของเขา ความคิดวนเวียนในหัวระหว่างเดินออกมา
เหมือนประมาณเสพติดความดีไหม เหมือนเป็นอาการของคนมีภาพลวงตา เราไม่ควรติดหล่มความดี ใช่ไหม ความดีงามควรมีอยู่เพื่อกระทำไม่ใช่เพื่อยึดใช่ไหม ไม่ทะเลาะกันมันดีแน่ๆ เพราะมนุษย์เขามีภาษาให้เจรจาหาเหตุหาผล การด่วนสรุปทุกสิ่งอันทันที ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับกันไม่ได้ ยิ่งกับบางเรื่อง บางบทสรุปมันอาจทำร้าย อาจทำให้เราเสียใจจนวันตาย
ช่างกรอบขนรูปขึ้นรถ ระหว่างทาง สายตาเด็กคนนั้นติดตามมา คิดถึงเรื่องเล่าของตำรวจ มีคำถามอยู่ในหัวมากมาย รู้สึกเหมือนเราประเมินสถานการณ์ผิด มันต้องมีอะไรแน่ๆ ไม่มีเรื่องใดเล็กน้อยเลย ถ้าเป็นเรื่องที่เขาเดือดร้อนจริงๆ ถ้าวูบเดียวนั้นเราให้เวลา กล้าทะเลาะ ฟังเธอพูด ฟังความต้องการของเธอ เราอาจได้รู้ว่าเด็กพยายามบอกอะไร / เด็กอาจพยายามส่งสัญญาณ S.O.S ไหม ทำไมเราไม่มองเหตุการณ์นั้นในมุมบวก / เด็กน่าจะไม่ได้ไปโรงเรียน ดูจากสีผมและลวดลาย tatto ทั้งตัว เด็กชายคนนั้นดูกร้านแดดกร้านลมเกินวัย เด็กชายที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ลูกหลาน เด็กชายคนนั้นอาจเป็นลูกเลี้ยงหรืออาจเป็นหนุ่มน้อยกลอยใจหรือเป็นเครื่องมืออะไรบางอย่าง ถ้าเรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ เด็กทั่วไปมักจะไหว้ขอโทษ แต่การดึงมือคนอื่นจากข้างหลัง น่าจะเป็นความตั้งใจ
กับพาดหัวข่าวที่เห็นเป็นระยะคือสถานบริการบางแห่งจ้างเด็กชายเป็นพนักงานเสิร์ฟแขกวีไอพี เพื่อบริการทางเพศในช่วงปิดเทอมหรือดึกๆ อายุต่ำสุดที่เคยเห็นมาคือ 9 ขวบ
ยุคดิจิตอล เด็กชายขายตัวราคาถูก เด็กชายขายน้ำ
มีเด็กถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์พาไปขอทาน โตขึ้นอีกหน่อยก็พาเข้าสู่การค้าบริการทางเพศ
ทั้งหมดนี้จะมีใครปฏิเสธว่าไม่มีอยู่จริง
เราฟุ้งซ่านหรือเราหยาบเกินไปที่มองไม่เห็น เราควรจะรู้สึกอะไรบ้างใช่ไหม สิ่งต่างๆ ยังค้างคาวนเวียนในหัว เราพลาดไปใช่ไหมกับการเดินทางอันแสนสั้น
เราควรทะเลาะกัน ?
เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม
(งานใหม่ เขียนปี 2022 ทุกภาพใช้สีอะคริลิคและสีน้ำบนกระดาษขนาด 11×15 นิ้ว)
เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’