หมายเหตุบรรณาธิการ : ไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีผู้จากไปด้วยกระสุนปืนเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2014 เขามีลูกชายสองคน (นาวาและนาวินทร์) วาระครบรอบ 52 ปี ชาตกาล ลูกชายทั้งสองเขียนจดหมายหาพ่อ ผ่านเวที nan dialogue
พ่อครับ
ชีวิตส่วนตัวตอนนี้ผมกำลังเตรียมตัวที่จะสอบเข้าคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาเชิงพาณิชย์ เพราะผมสนใจในด้านดนตรีร่วมสมัย และอยากเป็นนักดนตรีที่ประสบผลสำเร็จในอนาคต และผมก็อยากทำ soundtrack ในวิดีโอเกม, อนิเมะ, หนังด้วย ผมหลงใหลในสิ่งพวกนั้น
อีกทั้งผมก็ได้เจอแต่เรื่องต่างๆ เข้ามามากมาย มีปัญหามากมายเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มีความสุขเอยหรือเรื่องที่ทำให้ผมเศร้าโศกเสียใจ หรือกับปัญหาภายในใจของผมต่างๆ ที่ตัวผมนั้นกังวล ซึ่งผมก็พยายามฝ่าและผ่านมันไป แถมเพราะด้วยความที่ผมเป็นคนชอบคิดมาก ทำให้บางครั้งปัญหาเพียงเล็กน้อยนั้นก็อาจใหญ่โตสำหรับตัวของผม
พอผมโตขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมก็เริ่มชอบอ่านพวกนิยาย ผมเริ่มที่จะหันมาอ่านพวกวรรณกรรมที่เป็นเรื่องแต่ง ผมรู้สึกหลงใหลในสิ่งนี้เพราะเหมือนยิ่งอ่านก็ยิ่งซึบซับบรรยากาศภายในการดำเนินตัวเนื้อเรื่องและการกระทำของตัวละครต่างๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนเนื้อเรื่อง บวกกับองค์ประกอบหลายๆ ปัจจัย ทำให้ผมเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกๆ นั้น และยังได้รับรู้ความรู้สึกของคนเขียนที่ถ่ายทอดออกมาต่อผู้อ่าน
ผมว่าเรื่องนี้เราน่าจะคุยกันได้ถูกคอนะ เนื่องจากพ่อก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน ถึงแม้แนวที่ผมกับพ่ออ่านจะแตกต่างกัน พอผมจินตนาการคิดภาพขึ้นมาก็รู้สึกอิ่มเอมใจเลย แถมผมยังอยากฟังเรื่องเล่าจากปากของพ่ออีก อยากจะออกเดินทางไปกับพ่ออีก แบบพอเวลาเดินทางออกไปไหน ในตอนเด็กพ่อชอบเล่าเรื่องราวของสถานที่นั้นๆ หรือข้อมูลต่างๆ ให้ผมฟัง ผมรู้สึกว่าในโมเม้นต์นั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีนะ เพราะพ่อได้สอนผมและให้ข้อมูลอะไรหลายๆ อย่าง ได้สอนให้ผมรู้จักการใช้ชีวิต ได้ให้ข้อมูลเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ มันเหมือนกับเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าสำหรับตัวผมเลย และผมจะเก็บมันไว้ในความทรงจำตลอดไป
พ่อครับ หลังจากที่พ่อเสีย แม่ก็ลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัท และกลับมาทำงานช่วยที่ร้าน ทำให้แม่มีเวลาที่ดูแลผมกับน้องมากขึ้น เอาตรงๆ ทั้งชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตส่วนใหญ่แม่เป็นคนที่ดูแลผมมาตลอดจนถึงตอนนี้ เวลาผมอยากได้อะไร ตอนที่ผมเป็นเด็กแม่ก็ซื้อให้ แถมแม่ให้หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างกับผม เวลาผมมีปัญหาอะไร ก็เป็นแม่ที่คอยช่วยรับฟังปัญหาแล้วพยายามแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน และเป็นคนที่เข้าใจผม แถมยังคอยสนับสนุนสิ่งที่ผมอยากจะเป็นอย่างสุดกำลัง ไม่ปิดกั้น ทำให้ผมรู้เลยว่าแม่รักผมมากแค่ไหน ผมเลยมีความรู้สึกกับตัวเองว่าโชคดีมากๆ
ส่วนปู่กับย่านั้น ผมไม่ค่อยได้ไปเจอท่านบ่อย ช่วงที่ไปหากันในระยะเวลาหลายๆ ปีมานี้ ส่วนใหญ่จะไปเพราะไปทำบุญให้พ่อที่วัด พอทำบุญเสร็จสรรพแล้วก็จะพากันไปที่บ้าน บ้านของปู่กับย่าอยู่ในสวนที่ติดกับริมคลอง ปู่กับย่าตอนนี้ปลูกส้มโอขาย แต่ประเด็นคือเวลาเข้าไปนี่ค่อนข้างจะงงกับทางเพราะบ้านของพวกท่านอยู่ค่อนข้างจะลึก มาแรกๆ นี่ต้องมีหลงทางกันบ้าง
ผมชอบบรรยากาศบ้านของพวกท่านนะ ผมรู้สึกว่าที่นั่นอากาศดี เย็นสบาย มีลมพัดมา แถมมีต้นไม้ทำให้ดูรื่นรมย์อีก อนึ่ง เพราะผมเป็นคนเมืองกรุงด้วยมั้ง ทำให้ผมไม่ได้ซึบซับบรรยากาศแบบนี้มากเท่าไหร่ แต่เวลาไปที่นั่นที่ไรผมก็หวนคิดถึงช่วงเวลาตอนที่ผมยังเด็กทุกที ผมยังจำได้เลยว่าตอนเด็กๆ แม่กับพ่อจะพาผมกับน้องนั่งเรือแล้วพากันพายเรือเล่นในคลอง บรรยากาศตอนนั้นค่อนข้างจะสนุกและแปลกใหม่สำหรับผมมาก เป็นความทรงจำที่รู้สึกอิ่มเอมและตราตรึงอยู่ในใจ ไม่มีวันจางหาย
สุดท้ายนี้พ่อไม่ต้องห่วงผมนะ ผมจะพยายามในส่วนของผมและในส่วนของพ่อด้วย จะใช้ชีวิตให้รู้คุณค่า และดำเนินในเส้นทางของตัวเองที่ตนจะเป็น
นาวา
7 ปีแล้วนะครับ หลังจากที่พ่อได้จากไป ช่วงเวลาที่พวกเราครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน มันสั้นราวกับใบไม้อันห่อเหี่ยวที่กำลังร่วงหล่นจากต้นของมัน
ความทรงจำที่ผมมีอยู่กับพ่อนั้นมันสั้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเวลาในช่วงชีวิตคน ผมไม่อยากลืมช่วงเวลานั้น เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว ทำไมเราต้องแยกจากกันด้วยละ ผมได้แต่เพียงเก็บความทรงจำอันมีค่าเหล่านี้อยู่ในใจตลอด ผมเพียงแต่ร้องไห้ตลอดเมื่อนึกถึงวันที่พ่อจากไป วันที่ผมเห็นใบหน้าและร่างที่ไร้วิญญาณของพ่อ นอนอยู่ในโลงศพก่อนที่จะนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ถ้าพ่อมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ พวกเราคงได้คุยกัน มีความสุขร่วมกัน หัวเราะร่วมกัน อยู่อย่างครอบครัวที่มีความสุข แต่จะมีความสุขได้นานแค่ไหนละ ? ในตอนนี้ ระบอบการปกครองอันล้มเหลวและอำนาจเหนือฟ้าของกลุ่มคนบางกลุ่ม ที่แสวงหาแต่ผลประโยชน์ของพวกพ้องของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงคนอีกหลายๆ คนที่โดนความอยุติธรรมอันเน่าเฟะของประเทศนี้กดขี่ ความสิ้นหวังที่กัดกินคนหลายคน และคนอีกหลายๆ คนที่โดนทำลายความฝัน สิ่งเหล่านี้ มันจะมาทำลายความสุขของเราแน่นอน ถึงไม่ใช่ตอนนี้ มันก็จะเกิดขึ้นในเร็ววัน และมันได้สำแดงผลออกมา ในตอนที่ผมทราบว่าพ่อได้จากไปแล้ว ผมตั้งคำถามเสมอว่าทำไมพ่อถึงต้องมาตายด้วย ทำไมเราไม่เหมือนกับครอบครัวปกติที่เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างพ่อแม่และลูก และหลังที่ผมได้เติบโต ผมก็พอจะเดาเหตุผลได้ว่าที่พ่อต้องมาตายเพราะอะไร
“เราพยายามแล้ว พวกเราพยายามแล้ว” หลังจากที่มีการชุมนุมหลายครั้งหลายคราจนไม่รู้ถึงจุดสิ้นสุด คนหลายคนเริ่มท้อใจ และดิ้นรนในการหาหนทางในการเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน หลายคนต้องตกงานเนื่องจากเศรษฐกิจมันแย่จนหลายๆ บริษัทต้องปลดพนักงานออก ทำไมถึงมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ? ทำไมทุกคนต้องเจอปัญหานี้ ? ทางออกของปัญหาพวกนี้มันเคยมีไหม ? เหล่าคนที่ลุกขึ้นสู้และบอกเล่าความจริงต่อหน้าปวงชนเหมือนพ่อ ยังมีชีวิตกันอยู่หรือเปล่า ? สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย…มันเคยมีอยู่ในประเทศนี้จริงๆ เหรอ ? ทางออกเดียวที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น คือการย้ายประเทศจริงๆ งั้นเหรอ
ผมเฝ้าคิดและทบทวนคำตอบที่ดีที่สุดของคำถามเหล่านี้ แต่ผมไม่สามารถนึกมันออกได้เลยในตอนนี้ “อาจจะไม่ใช่ตอนนี้” แต่ผมยังเชื่อนะ ว่ายังมีคนแบบพ่ออยู่อีกหลายคน ที่พยายามเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ และนี่ก็คงจะเป็นเหตุผล ที่ผมก็จะยังมีความหวังเล็กๆ อยู่ในประเทศนี้ ความหวัง…ที่จะได้เห็นคนในประเทศนี้มีชีวิตอย่างเสรีภาพที่แท้จริง
ในตอนนี้ ผมก็มีเพียงแค่ดนตรี สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ และครอบครัว ที่ยังทำให้ผมมีความสุขต่อไปได้ ในสถานการณ์ตอนนี้ทำให้หลายๆ โรงเรียนเปลี่ยนวิธีการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์แทน โรงเรียนที่ผมกำลังศึกษาอยู่ก็เป็นเช่นกัน ถึงจะไม่ค่อยสะดวกในการเรียนเนื่องจากปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่บางทีก็ช้าบางทีก็เร็ว หรืออาจจะเกิดไฟดับในละแวกบ้านจนไม่สามารถเรียนต่อก็เถอะครับ แต่ก็มีข้อดีที่มีประโยชน์ที่สุดอยู่ คือการที่ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไปกลับโรงเรียนและความรู้ที่สมัยนี้สามารถค้นคว้าได้ตลอด นอกจากเรื่องเรียนในแต่ละวัน ชีวิตผมก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่ดูหนังฟังเพลง เล่นเกมและนอน อาจจะเป็นช่วงชีวิตที่ดูยังไงมันก็ไม่คุ้มด้วยซ้ำ แต่ผมก็คิดว่ามันปกติสำหรับสถานการณ์ตอนนี้นะ ตัวของผมก็คงเป็นแค่เด็ก ม.ปลายคนหนึ่งที่ยังไม่รู้แนวทางและอนาคตที่อยากเดินไปก็แค่นั้นเอง
ส่วนคุณแม่ก็สบายดีเหมือนเดิมครับ ปกติท่านจะปลุกผมประมาณเจ็ดโมงเพื่อเข้าเรียน ต่อจากนั้นท่านก็ไปทำกับข้าวให้คุณตาครับ เนื่องจากสภาพร่างกายของคุณตาไม่แข็งแรงดีนัก แม่จึงต้องเลือกเมนูอาหารในแต่ละวันเพื่อให้ท่านได้กินและรับสารอาหารอย่างครบถ้วน ปกติพวกเราก็มักจะมานั่งดูหนังกันอยู่แทบทุกสัปดาห์เลยครับ มีการเพิ่มช่องทางซื้อ-ขายทางระบบการรับออเดอร์ออนไลน์ ถือว่าทางร้านขายดีพอสมควรแม้จะมีภาวะเศรษฐกิจและเรื่องไวรัส ทางคุณตาก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นครับ รวมถึงการที่ท่านมีอาการสมองฝ่อ ทำให้ท่านต้องมีไม้เท้าในการเดินตลอดเวลาและต้องมีคนคอยดูแลท่านตลอดครับ จนถึงตอนนี้ก็พยายามหาทางบรรเทาอาการและช่วยเหลือในการใช้ชีวิตของท่านกันอยู่ครับ ส่วนคุณยายก็อยู่ห้องตรงกันข้าม ปกติท่านจะตื่นมาทำกับข้าวประมาณหกโมงเช้าและทำอาหารให้ผมกับพี่กินเสมอเลยครับ นอกจากการที่ท่านต้องผ่าตัดเนื่องจากมีปัญหาทางระบบสายตา ท่านก็อยู่ดีสบายดีครับ
ส่วนคุณปู่และคุณย่า ผมต้องขอสารภาพว่าพวกเราไปเยี่ยมพวกท่านแค่ปีละหนึ่งถึงสองครั้งเอง เนื่องจากพวกเราทั้งสองฝั่งต่างกังวลเรื่องเชื้อไวรัสกัน รวมถึงเวลาว่างที่พวกเราไม่ค่อยจะมีอยู่ด้วย ทำให้เราไม่สามารถหาพวกท่านได้บ่อยนัก แต่พวกท่านก็ยังใจดีและทุกครั้งที่ไปเยี่ยมพวกท่านก็จะต้อนรับด้วยความอบอุ่นเสมอเลยนะครับ แถมยังให้ส้มโอมาเยอะมาก ถึงขนาดต้องนำไปขายที่ร้านก็เกือบไม่หมดเลยครับ ฮาฮา
หากโลกหลังความตายมีอยู่ละก็…ถ้าพ่อได้อ่านข้อความนี้ พวกเราอยากจะบอกพ่อเหมือนทุกๆ ครั้ง ว่าเรารักพ่อมากนะ ไม่ต้องห่วงเรานะ พวกเราจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ และจะพบเจอกับความสุขในท้ายที่สุดแน่นอนครับ รักพ่อนะ
นาวินทร์
ภาพลายเส้น : สุมาลี เอกชนนิยม