the letter
the letter

ณ วินาทีนั้น

อรุณสวัสดิ์ครับพี่หนึ่ง

 

จดหมายฉบับนี้น่าจะเป็นฉบับรองสุดท้ายก่อนขึ้นกรุงเทพฯ หลังจากใช้เวลาที่เกาะมาร่วม 4 เดือน

4 เดือนนี่ถ้านับแล้วก็ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของเวลาที่ผมมีชีวิตอยู่โลกนี้มา 40 ปี แต่ก็อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญที่พาให้ชีวิตผมเป็นอย่างไรต่อในอนาคต เสี้ยวๆ ของเวลาเหล่านี้แหละครับ ที่พอมานึกแล้วโคตรสำคัญ

เมื่อวานตอนเช้า ระหว่างนั่งริมระเบียงรอลูกชายอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ผมสบตาและแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับชายชาวประมงที่มาจอดเรืออยู่ชายหาดหน้ารีสอร์ท จริงๆ ก็ไม่เห็นแววตาซึ่งกันและกันหรอกครับ อยู่ห่างกันหลายสิบเมตรอยู่ อาจเห็นฟัน เห็นอากัปกิริยาซึ่งกันและกัน แล้วรับรู้ถึงความผ่อนคลายและอารมณ์ที่ดีของเราทั้งคู่

ผมนั่งชมความงามของยามรุ่งอรุณ ส่วนเขากำลังชื่นชมความสำเร็จในวิชาชีพด้วยการทยอยแกะปูออกจากอวน
หลังจากโมเมนต์นั้น เราต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ตัวเองจนเสร็จ ผมขับรถส่งลูกชายไปโรงเรียน ส่วนแกก็นั่งในเรือปลดปูจากอวนจนหมด

 

the letter

 

หลังจากนั้นแกหายเข้าไปในบ้านอยู่ร่วมชั่วโมง แล้วก็วานให้เมียหิ้วปูถุงใหญ่มาถามว่าอยากได้ไหม ยังเป็นๆ สดๆ อยู่เลย สองโลฯ ห้าร้อยบาท ผมหันไปถามภรรยาก่อนตกลงทำสัญญาซื้อขายชีวิต (ปู) ได้มาแล้วก็ไม่ต้องและต้องไม่คิดมากครับ เอาใส่หม้อ เหยาะเกลือ และจุดไฟต้มโดยด่วน เสียงขลุกขลักในหม้อเงียบลงไม่ทันไร ก็มีควันหอมกลิ่นทะเลโชยออกมาจากฝา

ครับ ผมเรียนรู้จากที่นี่ว่าถ้าได้ปูเป็นๆ มา ให้ต้มก่อนเลย เอาไปทำอะไรค่อยว่ากันทีหลัง บางครั้งได้มาเยอะ กินทีเดียวไม่หมด ก็ต้มก่อนค่อยเอาไปแช่ตู้เย็น นอกจากจะได้เนื้อหวานและแน่นแล้ว ปริมาณเนื้อที่แกะได้จากปูเป็นก็เยอะกว่าปูตายพอสมควร ตกตอนเย็นผมเอาปูที่แช่เย็นไว้มาแกะเอาเนื้อ ก็พบว่าแกะเนื้อออกมาได้ทั้งแทบจะทั้งตัว เนื้อในส่วนลำตัวซึ่งรวมถึงกรรเชียงก็แกะออกมาได้เป็นก้อนๆ แน่นๆ เนื้อในส่วนขาเล็กๆ ก็ร่อนหลุดจากการหักเปลือกออกเพียงครั้งเดียว ส่วนก้ามที่ไม่ต้องพูดถึง เอาช้อนเคาะสองที ก็ดึงเอาเปลือกออกเหลือเป็นเนื้อขาวๆ เต็มแท่ง

สบตา (กับคนหาปู) ตกลง (ซื้อปู) ต้ม (ปู) แต่ละขั้นตอนใช้เวลาไม่กี่วินาที และต้องทำในไม่กี่วินาทีนั้น ถ้าทำได้เหมาะสมถูกต้องเหมาะเหม็ง ก็สร้างความสุขให้กับการกินปูอยู่ไม่น้อย แต่อาหารทะเลยังไงก็มีราคาแพง ถึงอยู่เกาะก็ไม่สมควรกินบ่อย แล้วพอกินไม่บ่อย ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าควรจะกินอย่างไร

ตั้งแต่มาอยู่เกาะพะงัน ผมกินปูทุกครั้งก็อิ่มทุกครั้ง อิ่มในความหมายที่ไม่ใช่แค่อิ่มท้องนะครับ อิ่มในความหมายของสัมผัสรสชาติและความเพลิดเพลินในการแกะกิน พูดติดตลก แต่ออกจะจริงจังกับเมียว่าจะไม่ซื้อปูกินที่กรุงเทพฯ แล้ว คือนอกจากเปลืองแล้วยังไม่อร่อยเท่า คนเราพอได้ลิ้มรสอะไรที่วิเศษแล้ว ก็คงยากที่จะกลับไปชื่นชมของดาดๆ กากๆ

 

พูดถึงช่วงเวลาความเป็นความตายของปู แล้วนึกถึงอีกเรื่องที่ได้คุยกับไมล์ส ฝรั่งชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งที่มารับจ้างทำความสะอาดสระว่ายน้ำให้กับรีสอร์ท แต่อันนั้นเป็นความเป็นความตายของคน

แกว่าไม่กี่ปีก่อน ลูกสาวแกถูกแมงกระพรุนกล่องสัมผัสที่หาดขวด (หาดที่ผมกับครอบครัวเดินป่าร่วมสี่ชั่วโมงเพื่อไปกินข้าวกะเพราไก่ ดูกองขยะอะครับ) ในเวลานั้นวินาทีนั้นแกยอมให้พนักงานชาวพม่าที่อยู่ใกล้เหตุการณ์เอาผักบุ้งทะเลมาขยี้แล้วพอก และน้ำส้มสายชูมาราดเพื่อล้างพิษ ไม่นานลูกสาวแกก็เป็นปกติ ทั้งๆ ที่ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้แทบจะเป็นลมหมดสติไปจากบาดแผล ทุกวันนี้แกยังสำนึกและนึกถึงบุญคุณพนักงานชาวพม่าผู้นั้นอยู่เสมอ

ไมล์สเป็นคนน่าสนใจ ในหนึ่งสัปดาห์แกจะมาทำความสะอาดสระว่ายน้ำสองครั้ง แล้วมักจะมีหนึ่งวันในนั้นที่ผมจะชวนแกมานั่งพักดูดยา ดื่มกาแฟ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน แกมาพะงันตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน มาตั้งแต่สมัยบังกะโลคืนละร้อย เงินหนึ่งปอนด์แลกได้เจ็ดสิบบาท แกมาเที่ยวมาอยู่จนเงินหมด แล้วก็กลับไปทำงานที่อังกฤษ เก็บเงิน แล้วก็กลับมาอยู่ใหม่

แกเล่าว่า ตอนนั้นตำรวจทั้งเกาะมีแค่สี่ห้าคน กัญชาและยาเสพติดอื่นๆ เป็นของธรรมดาที่หาได้และไม่ต้องคอยหลบซ่อน (ผมเดาว่าเผลอๆ อาจจะถามหาเอาจากตำรวจก็ได้)

 

the letter

 

คุยกับแกทีไรก็รับรู้ได้ถึงวันวานสวยงามของแกในอดีต แกเล่าเรื่องไปเที่ยวหาดริ้นแล้วขากลับขี่มอไซค์ตกเขา เลือดโชกเต็มตัว แขนพองจากการที่ไปนาบเอากับท่อไอเสีย มีแต่ดวงตาที่มองเห็นดาวเต็มทองฟ้า และจิตใจที่ชื่นบานเท่านั้นที่บอกกับตัวเองว่า ไอ แอม สติล อะไลฟ์ จึงยังพอมีรอยยิ้มที่มุมปากแล้วลากสังขารตัวเองขึ้นมาเรียกรถสองแถวไปโรงพยาบาล

แกว่าช่วงนั้นแกกับเพื่อนพ้องเดินทางตระเวนท่องเที่ยวแถบเอเชียอยู่บ่อยๆ เมาเพลินตกเครื่องบินก็หลายครั้ง แกเล่าด้วยเรื่องเหล่านี้ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ดั่งกับว่าเหตุการณ์ดูน่าหงุดหงิดหรือน่าผิดหวังเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ดีในชีวิตของแก กับคนบางคน การตกเครื่องฯ อาจเป็นเรื่องที่เหมาะสมเหมาะควร มันอาจเป็นช่วงเวลาที่ดีสุดๆ และคุ้มที่แลกกับทุกๆ อย่าง

ผมเคยประสบเหตุการณ์เช่นนั้นบ้างกับชีวิต แต่ยังไม่เคยถึงกับต้องแลกกับการตกเครื่องบินครับ แต่ไม่แน่ ในวันอื่นหลังจากได้มาเรียนรู้ชีวิตที่เกาะพะงัน หรือวันที่ค่าเงินหนึ่งบาทแลกได้เจ็ดสิบปอนด์ ผมอาจอยากลองตกเครื่องฯแลกกับอะไรดีๆ ในชีวิตดูบ้างเหมือนกัน

 

รักและคิดถึง

จอห์น

 

nandialogue

 

ตอบ มิสเตอร์จอห์น

ได้ยินถ้อยคำทำนอง ‘เศษเสี้ยวของวันเวลาบางช่วงมันโคตรสำคัญ’ ของคุณแล้ว คิดถึงเรื่องนี้..

สองวันก่อน เรามีโอกาสสัมภาษณ์นักกิจกรรมคนหนึ่ง (เธอเรียกตัวเองว่านักปฏิวัติ) ปกติก็ไม่น่าจะได้พบกันง่ายๆ เพราะหลายปีมานี้เธอใช้ชีวิตเร่ร่อน ต่างประเทศบ้าง ทางโซนอีสานบ้าง หรืออีกบางทีที่กรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่บ้านเกิดแท้จริงของหญิงสาวก็อยู่ที่ จ.น่าน นี่แหละ รอบนี้ที่ได้พบกันเพราะเธอกลับบ้าน อยากกลับมาหาพ่อแม่ ในวาระครบรอบวันเกิดปีที่ยี่สิบเจ็ด พอรู้ข่าว เราก็เลยนัดหมายไปสัมภาษณ์ที่บ้านชนบท แวดล้อมด้วยทุ่งนา กอไผ่ ใช้เวลาคุยกันชั่วโมงหนึ่ง (ไปแย่งเวลาพ่อแม่ลูกเขามา) รายละเอียดไว้คุณรออ่านใน nan dialogue

สิ่งที่อยากแชร์ ณ บรรทัดนี้คือ เธอบอกว่าปีหน้าก็น่าจะได้มาอีก ต้องได้กลับมาบ้าน (พูดไป เธอเริ่มร้องไห้) คือเอาเข้าจริงก็ไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้ เมื่อก้าวเท้าออกจากบ้าน เมื่อพ้นจากสายตาบุพการี เดือนหน้า ปีหน้า หรือปีไหนๆ จะได้คืนสู่มาตุภูมิอีกหรือเปล่า จะยังใช้ชีวิตด้วยอิสรภาพเหมือนใครคนอื่นอยู่หรือเปล่า ด้วยว่าตอนนี้เธอมีคดีความอยู่ 18 คดี และล่าสุดเพิ่งถูกแจ้งข้อหาหนักหน่วงเพิ่มขึ้นอีก ทั้ง ม. 112, 113 และ 116 ใช่, ทุกเคสคือคดีการเมืองซึ่งคุณก็คงรู้ดี ว่าเพื่อนพี่น้องของหญิงสาวหลายคนยังอยู่ในคุก ทั้งที่ศาลยังไม่ตัดสินพิพากษา

ใครจะบอกได้ละว่า เขาและเธอเหล่านั้นจะต้องติดคุกอีกกี่เดือน กี่ปี

เช่นกัน, ใครจะบอกได้ว่าอนาคตของเธอจะไม่เป็นเช่นนั้น

เธอบอกเราว่า ไม่มีความคิดที่จะหลบหนี ลี้ภัย เพราะมั่นใจเสมอว่าสิ่งที่อยู่ สิ่งที่เป็น สิ่งที่ทำลงไปทุกอย่างไม่ผิด หากเป็นสิทธิเสรีภาพแสนสามัญ ถ้าความเชื่อนี้ ถ้าการยืนยันเช่นนี้มันทำให้เธอต้องติดคุกสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี เธอบอกว่าเธอยอม เพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีกว่า หากว่ากระบวนการยุติธรรมเมืองไทยจะเอาแบบนี้ ก็เอา

ตอนอายุยี่สิบเจ็ด คุณทำอะไรอยู่วะ ของเรา เราเป็นนักข่าว กำลังสนุกกับงานสัมภาษณ์ ดิ้นรนฝึกฝนอ่านเขียน เมื่ออายุยี่สิบเจ็ด ลูกสาวเราอายุสองขวบ กำลังน่ารักน่าชัง ช่างเจรจา หันมองไปตอนยี่สิบเจ็ด เรากำลังสร้างครอบครัว สร้างความแข็งแรงให้อาชีพ และกำลังเมามันส์อย่างยิ่งในวงเสวนาระหว่างมิตรสหาย เป็นช่วงที่แต่ละคนเริ่มมองเห็น และชัดเจนที่จะลงลึกในสิ่งที่รัก คือ ณ วันนั้น มองไปในอนาคตมันก็พอเห็นน่ะว่าเราจะมีชีวิตกันอย่างไร แล้วคุณดูดิ สิ่งที่หญิงสาวของยุคสมัยกำลังพบเผชิญ สิ่งธรรมดาสามัญลำพังเพียงการจะกลับบ้านมาหาพ่อแม่ปีละครั้ง ก็ยังยาก ปีนี้มาได้ แต่ปีหน้าเธออ่านอนาคตไม่ได้เลย ถามว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้คนหนุ่มสาวรุ่นนี้สร้างมันขึ้นมาใช่มั้ย หรือเป็นผลพวงจากความโหดเหี้ยมและโง่เขลาของคนรุ่นก่อนหน้า ซึ่งเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องนับสองมือเราเข้าไปด้วย คุณดูสิ่งที่พวกผู้ใหญ่กระทำต่อเด็กๆ

ถ้าอายุเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ที่เจ็ดสิบปี ไม่ว่าใครจะมีความคิดความฝันแบบไหน มันควรที่ทุกคนควรจะมีเวลาเท่าเทียมกัน อย่างน้อยก็เวลาที่จะกลับบ้านอย่างเสรี เวลาที่จะโอบกอดระหว่างพ่อแม่ลูก การจงใจทำให้ใครคนหนึ่งมีเวลาแค่สองวัน จงใจทำให้เดือนหน้า ปีหน้าเป็นเรื่องของชะตากรรมที่ฝากไว้กับปากกาในมือผีห่าซาตาน บ้านเมืองแบบนี้ยังไงมันก็ไปไม่รอด

ยินดีกับคุณที่จะได้กลับกรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ใกล้ปีใหม่มันควรเป็นวันเวลาเฉลิมฉลอง เวลาที่สมควรได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว เราไม่ได้กลับบ้านที่โคราชนานแล้วละ ไม่ได้กลับเฉยๆ ไม่ใช่ว่ากลับไม่ได้ มันโคตรแตกต่างกันเลยนะ สองสิ่งนี้ และแค่คิดด้วยสมการพื้นๆ หรือเอาใจเขามาใส่ใจเราหน่อย มันก็พอนึกออกว่าเวลาสองวันที่ว่ามันมีค่าแค่ไหน ยิ่งถ้ามันเป็นสองวันสุดท้าย

ทั้งที่รู้ว่ามันอาจเป็นสองวันสุดท้าย แต่ใครบางคนก็เลือกยืนยันอุดมคติของตัวเอง เทียบกับหญิงสาว ฟืนไฟในตัวระหว่างเราคงเทียบเคียงกันไม่ได้ แต่เราก็เชื่อเหมือนอย่างที่เธอเชื่อนะ ว่ามีแต่อุดมคติเช่นนี้เท่านั้นที่มันเปลี่ยนแปลงโลก.

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...