สวัสดียามค่ำคืนครับพี่หนึ่ง
(เขียนตอนเมาเบียร์ไปสามขวด ลูกและเมียหลับแล้ว)
เกริ่นนำแบบนี้ พี่อาจต้องอ่านให้จบ แต่คนอ่านในน่านไดอะล็อกอาจไม่ต้องก็ได้ 555
ผมแม่งโคตรรัก (fascinated with) เกาะพะงันเลยว่ะครับ วันก่อนลูกพี่ดีนชวนไปฟังดนตรี World Music ที่อาศรมข้างๆ บ้านที่ชื่อ Wisdom’s eye เดินไปสิบก้าว จ่ายเงินสำหรับผู้ใหญ่คนละ 200 บาท ได้ฟังฝรั่งบ้าอีกคน (น่าจะบ้ากว่าดีนอีกสักสองสามเท่า) เล่นดนตรีคนเดียวกับเครื่องเป่าสักสิบชิ้น เครื่องดนตรีสังเคราะห์อีกจำนวนหนึ่ง และเสียงร้องเลียนแบบมนุษย์เผ่าต่างๆ ทั่วมุมโลก ลูกพี่เค้าชื่อ Andy Holm ถ้าพี่สนใจลองไปค้นๆ ใน youtube ดูครับ
เราพาศิลป์ไปฟังด้วย แม่งเพี้ยนจริง มีคนฟังเป็นฝรั่งสัก 30 คน (ส่วนใหญ่ก็แก่ๆ เกิน 60 ทั้งนั้น) เพลงที่ลูกพี่เค้าเล่นผมกับเมียและลูกก็ไม่เคยได้ฟังหรอก ใครจะไปฟัง world music มาได้มากมายขนาดนั้น แต่ก็โยกหัว เคาะนิ้วฟังไปได้อย่างเพลิดเพลิน ศิลป์ฟังไปได้ค่อนคอนเสิร์ตแล้วก็หลับไปท่ามกลางการโยกย้ายแบบเบาๆ ของผู้ฟังสูงวัยและดนตรีของแอนดี้ ผมคิดในใจและกระซิบกับเมียเบาๆ ว่า โคตรโชคดีที่ได้มาสัมผัสอะไรแบบนี้ เดินจากบ้านไม่กี่ก้าวก็ได้มาฟังฝรั่งชาวเยอรมันที่เดินทางหาท่วงทำนองของมนุษยชาติมาทั่วโลกแล้วสังเคราะห์มาเป็นดนตรีในแบบของเขา ศิลป์หลับไปสักสองเพลงผมก็อุ้มลูกเดินข้ามถนนเล็กๆ ที่กั้นระหว่างอาศรมกับบ้านมานอน ปล่อยให้เมียกับดีนดื่มด่ำกับดนตรีกันต่อ
ตื่นเช้ามานั่งทำงานและฟังเมียเล่าให้ฟังว่าเอ็นจอยกับดนตรีขนาดไหน เมียทำสลัดให้กินเป็นอาหารกลางวัน หลังๆ เราเริ่มคิดกันแล้วครับว่าจะกินอาหารร้อนกันมากมายไปทำไม ทำก็ยากและเสียเวลาปรุงและล้างโน่นล้างนี่ กินอาหารสามมื้อใช่กฏกติกาที่ใครทุกคนต้องปฏิบัติตามซะเมื่อไร สำหรับผมเช้ากาแฟสักถ้วย ยาเส้นมวนยาวๆ สักมวน เที่ยงสลัดหรืออะไรง่ายๆ เย็นค่อยกินมื้อใหญ่ก็น่าจะทำให้อยู่ได้โดยไม่ลำบาก
ไม่กี่วันก่อนเพิ่งคุยกับดีน พานทำให้นึกถึงคำที่น้องชายคนสุดท้องเอ่ยกับผมว่า วาทกรรมว่ามื้อเช้าสำคัญที่สุดที่ไม่ใช่อะไรที่ใครต้องยึดถือ หากแต่มันคือแผนการตลาดที่ประสบผลสำเร็จที่สุดของเคลล็อก (Kellogg’s) ต่างหาก แม่งแค่อยากขายซีเรียลอาหารเช้าและทำแผนการตลาดขึ้นมา ทำให้คนทั้งโลก และคนในโลกที่สามอย่างเราลำบากฉิบหาย คอยต้องหาอะไรที่มีประโยชน์ให้ลูกๆ กินตอนเช้า
ผมคุยกับดีนว่า ไอ้ห่า คนป่าเถื่อนเมื่อหมื่นปีก่อนหรือแสนปีก่อนมันจะมีอะไรกินทุกเช้าหรอวะ คนล่าสัตว์หาของป่ามันจะมีเบรกฟาสต์แดกได้ไงวะ อาหารมื้อสำคัญมื้อใหญ่แม่งต้องเป็นดินเนอร์สิวะ ล่าสัตว์กลับมาตอนเย็นๆ แล้วค่อยย่างแบ่งกันกิน แล้วดูสิเป็นไง แผนการตลาดของทุนนิยมแสนส้นตีนในปัจจุบันที่แม่งบอกว่ามื้อเช้าสำคัญที่สุด ส่วนมื้อเย็นให้ละเลิกซะ เหี้ยจริงๆ
ผมบ่นไปงั้นแหละตามประสาคนเมาพิมพ์อีเมล์ พี่หนึ่งทนอ่านต่ออีกหน่อยละกันนะครับ วันนี้ผมทำงานช่วงเช้า และต้องไปโรงเรียนลูกตั้งแต่บ่ายต้นเพื่อพบครู (พบประจำเทอมน่ะครับ ไม่ใช่ว่าลูกไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรจนต้องเรียกผู้ปกครอง) นั่งคุยกับครูเฟย์ ครูประจำชั้นของศิลป์สักสิบห้านาที เจ๊บอกลูกมึงดีมีความเป็นผู้นำ ช่างคิด ช่างเขียน มีความเห็นเสมอว่าอะไรแฟร์ไม่แฟร์ แค่นี้พ่อแม่ก็นั่งตัวลอยแล้วครับ คิดดูดีๆ ก็ไม่มีอะไรมาก คิดว่าครูเฟย์เธอช่างแสนดี เห็นอะไรดีก็เอามาฝากพ่อแม่ เด็กอื่นคนไหนๆ ก็มีอะไรดีๆ ให้พูดถึงอยู่แล้วแหละ ผมเชื่อว่าพ่อแม่คนอื่นก็ได้รับฟังเรื่องดีๆ ของลูกตัวเองจากปากของครูเฟย์ทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ที่สายตาและหัวใจของครู
ผมนึกย้อนไปตอนที่ลูกเข้าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนทางเลือกใกล้ๆ บ้าน ผมกับเมียต้องคอยทำใจทุกครั้งทื่ไปพบครู เอะอะก็ว่าลูกเราก้าวร้าว พัฒนาการกล้ามเนื้อต่ำ แล้วบอกต่อให้เลิกอ่านหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ผู้ล่า และหัดกระโดดแทมโบรีน เข้าใจว่าส่วนหนึ่งอาจมาจากนโยบายโรงเรียนที่อยากให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี แต่ห่าเอ๊ย เด็กที่ไหนมันจะเท่ากันวะ เป็นโรงเรียนทางเลือกทำไมมึงต้องเลือกให้เด็กแทนที่จะให้เด็กเค้าเลือกเองว่าอยากจะเป็นหรือไม่เป็นอะไร ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ จ่ายแพงแล้วอยากจะฟังแต่อะไรดีๆ กับลูกนะครับ ค่าเทอมโรงเรียนทางเลือกกับค่าเรียนโรงเรียนอินเตอร์บนเกาะก็พอๆ กัน แต่คุณภาพครูแม่งต่างกันฟ้ากับเหว
จริงๆ ครูเฟย์ก็บอกว่าไอ้ความเป็นผู้นำก็ไม่ใช่ว่าไม่อันตราย ความเป็นผู้นำในตัวเด็กบางครั้งก็นำไปสู่ความเป็น bossy หรือ bully เอาได้ง่ายๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องบ่มเพาะและชี้ทางที่ถูกให้กับเด็ก ครูเฟย์พูดถึงหลายบุคลิกของเด็กในแบบต่างๆ ซึ่งก็ล้วนต้องการการนำพาไปในแบบที่แตกต่างกันออกไป นอกจากจะอดภูมิใจในตัวลูกแล้ว ผมกับเมียก็อดชื่นชมครูคนนี้ไม่ได้ เธอบอกกับเราว่าการสอนและการได้เห็นเด็กเติบโตเป็นเสียงจากพระเจ้า (Calling) ให้เธอทำสิ่งนี้ เธอว่าถ้าเก็บตังค์ได้มากกว่านี้จะอยากเปิดโรงเรียนของตัวเองเลย จะได้ทำอะไรเรื่องการเรียนรู้ของเด็กให้มากกว่านี้ ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋าตังค์ตัวเองแล้วก็พบว่าเดือนนี้เหลือเงินอยู่ไม่กี่พัน ไม่งั้นจะควักให้เธอไปเปิดโรงเรียนในวันนั้นเลย 55
แต่ก็คิดอยู่นะครับ มาอยู่เกาะแล้วชอบขนาดนี้ ถ้ามีอะไรให้ทำมากกว่านี้แบบให้พออยู่ได้ก็โคตรอยาก
หลายเดือนก่อนเคยคุยกับเนีย เพื่อนบ้านคนยิวที่เป็นครูว่าผมอยากลองเป็นครูดูเหมือนกัน ประมาณว่าอยากสอนอยากคุยกับเด็กมันก็ว่ามึงทำเหอะ กูรู้ว่ามึงทำได้ แต่ผมก็นะ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทำได้ก็แต่กับลูกตัวเองและลูกเพื่อนๆ เดี๋ยวลองดูครับอาจต้องหาอาชีพเสริมไว้ เผื่อสิ่งพิมพ์มันตายไปจริงๆ ผมยังจะได้พอมีอะไรได้ทำอยู่บ้าง
หลายฉบับก่อนผมน่าจะเคยเล่าให้พี่ฟังไปแล้วว่าสังคมคนอิสราเอลนี่นิยมการมีลูกมากๆ ลูกสองคนนี่เป็นพื้นฐาน แต่ค่าเฉลี่ยนี่น่าจะอยู่ที่สาม แล้วหันกลับมามองที่เมืองไทย ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่อัตราการเกิดน้อยที่สุดในรอบสามสิบปี เกิดน้อยกว่าตายซะด้วยซ้ำ ผมเห็นอย่างเดียวเลยครับ เรากับยิวนี่มองโลกมองอนาคตกันคนละเรื่องเลย ชาตินึงบอกว่ามีเถอะยังไงก็มีอนาคต อีกชาติบอกว่าอย่ามีเลยแค่ตัวเองก็จะเอาไม่รอดแล้ว
ล่าสุดผมคุยกับครอบครัวคนยิวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่เกาะ พวกเขาอพยพไปอยู่เบอร์ลินมาร่วมยี่สิบปีแล้ว แต่ก็ยังอยากพาครอบครัวย้ายกลับไปอยู่ที่อิสราเอล ผมถามคนพ่อที่ชื่อว่าทัล ง่ายๆ ว่าแล้วคุณอยากให้ลูกไปเกณฑ์ทหารร่วมสองสามปีหรือ ผมถามประมาณว่าจะให้ลูกไปเสียเวลาแบบนั้นทำไม ทัลตอบว่าเกณฑ์ทหารไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เขาได้เพื่อน ได้เรียนรู้การเอาตัวรอด และได้เติบโตมากมายในระหว่างสามปีนั้น
อาจด้วยว่าอิสราเอลเป็นประเทศที่ตำแหน่งแห่งที่เปราะบางมากๆ แวดล้อมไปด้วยชาติอาหรับและรัฐอิสลาม การเกณฑ์ทหารจึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญ เกณฑ์ทหารต้องจริงจังใช้งานปกป้องประเทศได้ การเรียนการสอนระหว่างการเกณฑ์ทหารจึงน่าจะเข้มข้นไม่แพ้การเรียนมหาวิทยาลัยไอวี่ลีก พอเป็นอย่างนี้คนอิสราเอลจำนวนนึงก็คงรู้สึกว่าการเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องดีซะด้วยซ้ำ วิชาชีวิตของคนอิสราเอลทุกคนก็น่าจะได้มาจากการณ์นี้ บางวิชาชีวิตอาจไม่ดีทำให้คนทั้งโลกเกลียดชัง แต่บางวิชาก็น่าจะทำให้วัยรุ่นอิสราเอลที่พ้นวัยเกณฑ์ทหารกล้าแกร่งและทนทานกับโลกได้มากกว่าวัยรุ่นหลายๆ ชาติในโลก
ผมมาทบทวนตัวเองก็พบว่าตัวเองติดอยู่ในภาพการเกณฑ์หทารแบบไทยๆ เสียเหลือเกิน จนมองเห็นแต่ด้านลบมากกว่าด้านบวก ก็เกณฑ์ทหารแบบไทยแม่งจะมีอะไรดีได้ยังไงล่ะครับ แก้ผ้าจับกระจู๋เพื่อน ตัดหญ้า คลุกฝุ่นโคลน ล้างรถดูแลบ้านให้ทหารเกษียณ สิ่งเหล่านี้แม่งจะพัฒนาคนได้ตรงไหน อยู่ประเทศนี้มานานร่วมสี่สิบปี โคลนและสนิมแม่งติดในจิตใจและหัวสมองมาเยอะ ได้มาสลัดอะไรหลายๆ อย่างทิ้งไปที่เกาะพะงันนี่ก็ดีเหมือนกัน
ผมกลับมาตั้งคำถามที่พี่อาจไม่ต้องตอบก็ได้ครับ โรงเรียนและการเกณฑ์ทหารแบบไทยๆ ผมว่าน่าคิดนะครับว่าจะสร้างคนแบบไหนขึ้นมา
คิดแล้วก็สยอง ขอเดินไปเปิดเบียร์ขวดที่สี่ดื่มย้อมใจก่อนนอนดีกว่า
เชียร์สส
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
เสียเปรียบคุณนิดหน่อย คนเขียนมีเบียร์ แต่คนอ่านได้แค่กาแฟ (ไม่เป็นไร เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเลิกงานเมื่อวานเราก็ได้เบียร์มาแล้วนี่หว่า)
อ่านชีวิตชาวเกาะของคุณมาได้หลายเดือน บางทีก็นึกๆ นะว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ คุณทำอะไรบ้างวะ คือรู้ว่าอยู่โรงพิมพ์ ดูแลลูกเมีย คุยกับลูกค้า แล้วดูดิ พอย้ายที่ (ย้ายแบบสุดขั้ว) มันเปลี่ยนชีวิตประจำวันแทบจะทั้งหมดเลย (ศัพท์ฮิตร่วมสมัยเขาเรียกหักศอก) ที่สำคัญ กิจกรรมเกิดใหม่ต่างๆ นานาเอนไปในทางน่าสนุกทั้งนั้น ออกเรืองี้ เลี้ยงสัตว์งี้ ฟังดนตรีใกล้บ้าน ไรงี้ แหม มันน่าจะย้ายมาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว (ไม่ใช่หรอก แบบนี้น่ะดีแล้ว)
อิจฉาคนมีดนตรีสดฟังโว้ยยย คนน่าน ดนตรีแปลว่า youtube ร้านเหล้าปิด ไลฟ์มิวสิกยกเลิก ธุรกิจราตรีและบันเทิงคือด่านแรก หรือจะเรียกว่าเหยื่อรายแรก ก็แล้วแต่ สำหรับการจัดการแก้ไขโควิด อาชีพที่ทำหน้าที่เอนเตอร์เทนผู้อื่น สองปีที่ผ่านมา แสงไฟและสายควันนั้นจบไป พองานไม่มี เงินก็หาย เริ่มกลายเป็นหนี้ เอนเตอร์เทนแปลว่าอะไร ไปๆ มาๆ ก็นึกไม่ออก
มื้อเช้า
เห็นด้วยกับคุณครึ่งหนึ่งเรื่องความสำเร็จของโลกการตลาดทำให้มนุษย์ต้องกินมื้อเช้า ใครจะเชื่อถือหรือยึดเอาตามนั้นหรือไม่ อย่างไร ก็ว่ากันไป เราเห็นว่าร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความต้องการ ความพอดี ความลงตัว มันแตกต่าง เช่น กาแฟแก้วเดียวอาจเพียงพอสำหรับอาร์ติสต์ แต่เกษตรกรใช้แรงเยอะทำงานกลางแดดกลางฝน ฉะนั้น มื้อเช้าขอจัดหนักๆ มันก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ มันไม่ค่อยสะดวกอย่างคุณว่านั่นแหละว่ามื้อเช้า จะหาอาหารที่ไหนทัน แต่คนเรา พอจำเป็น ก็ดิ้นรนไง ผัวเมียอาจแบ่งหน้าที่กัน ฉันบ้าง เธอบ้าง แล้วแต่ครอบครัว คือคนมันอยากจะกินซะอย่างแม่งก็เอาจนได้ ยิ่งบางคน ความสุขมีเท่านี้ สุขอื่นใดหาเทียมเท่าการกินไม่มี พวกนี้ก็ยิ่งต้องขวนขวาย หากินบ่อยๆ ที่ไหนอร่อยยินดีถ่อไป ไกลเท่าไร ไม่แคร์ นึกออกเนาะ พวกบ้ากินมันก็มีอยู่จริง ของเรา ไม่มีปรารถนาระดับนั้น (อยู่ฝ่ายขี้เกียจ ต่อให้อร่อยเลอเลิศ นางฟ้าเทวาดามาป้อนไปฟ้อนไป ถ้าไกล กูไม่ไป) แต่มื้อเช้านี่ชอบนะ (ไกล ไม่ไปเหมือนเดิม) เป็นพวกตื่นมาก็หิวเลย คงติดมาตั้งแต่เด็ก ชิน เป็นพฤติกรรมประจำครอบครัว แล้วโตมากับสายข้าวแกงด้วย (ไม่ใช่ขนมปัง ไข่ดาว / นั่นเบาไป) ตอนอยู่กรุงเทพฯ ความสุขอย่างหนึ่งคือร้านข้าวแกงอยู่ใกล้บ้าน รสดี และหลากหลาย มาอยู่น่านก็ทำเองบ้าง ซื้อกินบ้าง ทั้งสิ้นทั้งปวงคือเช้ามาขอมีของกิน (ถ้าทำเอง จะเน้นทำไว้ตั้งแต่เมื่อวาน พวกเมนูต้มและอุ่นได้หลายมื้อ) กาแฟไม่ใช่สิ่งที่ขาดไม่ได้ มีกินก็ดี ไม่มีก็ไม่มีปัญหา ถ้าให้เลือก ขอกินข้าวก่อน กาแฟตาม แบบนั้นฟิน กาแฟเพียวๆ ไม่มีข้าว ไม่ชอบ ข้าวเพียวๆ ไม่มีกาแฟยังดีกว่า แล้วเราโดยปกติก็เป็นพวกกินสามมื้อ แต่หลังๆ เริ่มเหนื่อยเหมือนกัน มื้อนึงๆ มันเร็วจังเลย เพิ่งกินไปไม่นาน เอ้า อีกแล้วเหรอ งั้นข้ามไปเลยละกัน กลางวันรวบมื้อเย็นทีเดียว สะดวกสบายตัวกว่า
เราคิดเอาเอง (การแพทย์หรือสุขอนามัยที่ดีเป็นยังไง นั่นเรื่องการแพทย์) ว่าจริงๆ มื้อเย็นก็ไม่น่าจำเป็นเท่าไร กินแล้วก็นอน จะอะไรนักหนา แต่วัตรปฏิบัติที่ทำมาทั้งชีวิตก็คือเน้นมื้อเย็น และเห็นด้วยกับคุณว่า ก็มันลงตัว มีเวลาเตรียม ผ่อนคลาย บันเทิง กึ่งๆ ปาร์ตี้น่ะ ใช่มั้ย ใครเขาปาร์ตี้กันตอนเช้า มื้อเย็นมันคือความสนุก กิน ดื่ม พูดคุย
สรุป–ตราบเท่าที่ร่างกายยังอำนวย มื้อเย็นและสุราควรรักษาไว้ เมื่อไรถึงวันที่คิดว่าอิ่มคิดว่าพอค่อยเลิก (เรื่องเลิกนี่เราถนัด)
ครู
เบียร์ขวดที่สี่หมดยัง–ว่างๆ คุณลองทบทวน ว่าทั้งชีวิต เราเจอครูที่ประทับใจสักกี่คน โดยเฉลี่ย ตั้งแต่ประถมฯ มัธยมฯ มหาลัย ชีวิตนักเรียนไทยเราพบเจอครูกันมาราวๆ ยี่สิบคน ให้เรานึก (เบื้องต้นคือใช้เวลานิดนึง) ก็ไม่ง่ายเหมือนกันที่จะตอบว่า ชอบครูคนไหนบ้าง คือพอมีแหละ แต่ถ้าดูเปอร์เซ็นต์ ก็คิดว่าน้อยไปหน่อย ของคุณเยอะมั้ย ของคนอื่นๆ ล่ะ ถึงที่สุดเลย เราขอแค่ว่าทั้งชีวิต ถ้าเจอครูจ๊าบๆ สักคน แม่งก็แบบ เออ มันมีผลสูงส่งในระดับสร้างชีวิตเราได้เลย มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง เป็นแรงบันดาลใจ เป็นแบบอย่าง ฯลฯ แต่ทำยังไงให้เด็กทุกคนมีโอกาสแบบนั้น ทำยังไงให้ครูทุกคนมีพลัง มีศักยภาพ มีทัศนคติที่ดี เป็นมืออาชีพ ในระดับที่เราคาดหวัง คือพอพูด มันก็เวียนไปเรื่องเดิมคือระบบ โครงสร้าง เงินเดือน รัฐบาล ยังไงก็หนีองค์ประกอบรายล้อมเหล่านี้ไม่พ้น ครูไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศ นักเรียนไม่ได้แกะออกมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน คุณภาพประเทศมันเท่านี้ เราจะหาครูที่ดีได้จากไหน ต้องจ่ายเท่าไร และใครบ้างจะมีอำนาจการจ่ายได้ คือมันก็พันนัวเนียกันไปหมด
ของเรา ที่รักที่เรียนภาษาฝรั่งเศสมาจนทุกวันนี้ เราว่าเป็นเพราะตอนมัธยมฯ เราเจอ ‘ครูแหม่ม’ ฐิติมา ศิลปชัย (สอนคนเดียวทั้ง ม.4-5-6) คือคาบแรก วันแรก ก็ไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเลย (เราเขียนว่าคำนี้ออกเสียงยังไง แกโวย ว่าไม่ต้องจด ฟังให้เข้าใจก่อน) ถัดมาเราค่อยค้นพบความรักของแก รักอาชีพ รักเด็กๆ จริงจัง ตั้งใจสอน ช่วงก่อนเราสอบเข้ามหาลัย แกเปิดบ้าน ติวให้ฟรีๆ แถมทำอาหารเลี้ยง คือก็เป็นครูจนๆ ต่างจังหวัด แต่อยากสนับสนุนลูกศิษย์ทุกทาง ไม่รู้สิ คล้ายความรักของแกมันส่งต่อมาถึงเรา เรียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ไม่เคยคิดจะเลิกเรียน จนสุดท้ายก็คล้ายเสพติด สนุก พึงพอใจที่จะมีภาษาฝรั่งเศสอยู่ในเนื้อตัวตลอดไป
ได้ยินเรื่องครูเฟย์ของคุณก็น่าชื่นใจ และดีใจมากๆ ที่ล้วงไปในกระเป๋าแล้วเจอเงินเท่านั้น เฮ้อ กลัวใจน้าเค้าจริงๆ
ที่ผ่านมาไม่เคยมองคุณในมุมครูเลยว่ะ พอฟังและพิจารณา เห็นการเข้มงวดและปล่อยวางตอนอยู่กับเจ้าศิลป์ เราว่าน่าสนใจนะ ลองดูดิ ทำไปพร้อมๆ กับงานโรงพิมพ์นี่แหละ เอาๆ ลุยๆ ดีไม่ดี ตำนานหนังเก่าแก่อย่าง dead poet society อาจจะได้คุณครูคนใหม่
ทหารเกณฑ์
คำถามสุดท้ายของคุณ คำตอบคือประยุทธ์ จันทร์โอชา ไง
คำตอบคือ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไง
โคตรน่าเบื่อและซวยฉิบหาย แต่เอาเถอะ เด็กใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทุกวัน และใครก็ทัดทานสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน