พี่หนึ่งครับ
คืนก่อนจะออกเดินทางมีประกาศว่าพายุเข้าช่องแคบ ทำให้มีการประกาศยกเลิกรถไฟที่ปกติแล้วจะวิ่งข้ามสะพาน Öresund เข้าไปที่สนามบิน Kastrup ของเดนมาร์ก
เหตุผลที่รถไฟสาธารณะยกเลิกก็เพราะลมที่แรง ทำให้มีความเสี่ยงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ผู้ที่มีธุระจะต้องเดินทางข้ามสะพาน ไม่ว่าจะทำงาน ขึ้นเครื่องบิน หรือมีนัดหมายอะไรใดๆ นั้นต่างก็ใจหายใจคว่ำไปตามๆ กัน เพราะสะพานคือหนทางเดียวของการข้ามพรมแดน ไม่มีช่องทางธรรมชาติอื่น ยกเว้นว่าจะเป็นนักว่ายน้ำมืออาชีพเท่านั้น
ความวุ่นวายและตื่นตระหนกจึงตามมาหลังจากนั้น ผมต้องติดตามการประกาศว่าสะพานจะปิดหรือไม่อย่างใกล้ชิด เพราะถ้าปิดก็เป็นอันตกเครื่องบินกัน ลมแรงพัดต้นไม้ที่ยังไร้ใบไหวรุนแรงเป็นบางครั้ง แต่บางครั้งก็หยุด ราวกับจะให้ความหวังว่าพายุจะอ่อนกำลังลงแล้ว ก่อนที่ลมก้อนใหม่จะซัดมาอีก
ลมของช่องแคบนี้ไม่ใช่ลมแบบมรสุม หน้าร้อนของปีที่แล้ว ผมซื้อว่าวมาเล่นกับลูกๆ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะแสดงความสามารถ ชักว่าวให้เด็กมันดู ให้รู้เสียบ้างว่าเทคนิคการประคองว่าวให้เล่นลมนั้นมันเป็นเรื่องประสบการณ์คนรุ่นก่อนดิจิตอล ในจินตนาภาพนั้นเด็กก็จะไต่ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า เทคนิคที่ว่านั้นคืออะไร
แล้วผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็จะทำแบบหนังฮอลลีวูด (ซึ่ง Jacques Rancière บอกว่าเป็นปมแบบอเมริกันเป็นการเฉพาะ ฉากประเภทพ่อสอนลูกแบบนี้เป็นปัญหาคริสต์ศาสนาเพรสไบทีเรียนอเมริกัน ผมเพิ่งเห็นประเด็นนี้ทั้งหมดในหนังของ Paul Thomas Anderson) ผู้ใหญ่ก็จะทำขึงขังจริงจัง แสดงไปด้วยอธิบายได้ด้วยว่าพอว่าวขึ้นแล้วต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ให้ด้ายไม่หย่อนหรือตึงจนเกินไป เราจะรู้ได้จากน้ำหนักมือ จากแรงลม บางครั้งหากลมเปลี่ยนทิศกะทันหัน ต้องออกแรงวิ่ง เพื่อเลี้ยงให้ว่าวไม่หักหัวลง แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่ว่าสักแต่จะวิ่งเท่านั้น ร่างกายของเราต้องพร้อมที่จะวิ่งเปลี่ยนระดับความเร็วตลอดเวลา กล้ามเนื้อขาและน่องต้องพร้อมหยุด ดีดออก เร่ง และชะลอลงประสานกับสายตาที่จ้องอยู่กับว่าว หูที่ฟังเสียงการเสียดเปลี่ยนของลม สัมผัสที่รู้ว่าความเร็วของลมนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างไร ก่อนจะหันกลับมายื่นว่าวให้ลูกลองดู
ไม่มีอะไรในจินตนาภาพนั้นเกิดขึ้นเลยเมื่อเล่นว่าวกับลมช่องแคบ Öresund ไม่มีลมว่าว ไม่มีลมตะเภา มีแต่ลมที่ตีว่าวซ้ายทีขวาที ทำให้ไอ้ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนคนนั้นได้แต่วิ่งไปวิ่งมาลิ้นห้อย โดยเด็กๆ ก็หมดความสนใจลงไปและโครงการเป็นปิตาธิปไตยแบบฮอลลีวูดก็สิ้นลงโดยพลัน
ข้างนอกหน้าต่าง หิมะละลายไปมากแล้ว เครื่องบินที่จอดเรียงกันหลายต่อหลายลำมีเพียงคราบเปียกๆ เปื้อนๆ เป็นรอยฝุ่น ตามพื้นเครื่องขาวปลอด
ด้วยความที่เฮลซิงกิเป็นที่ราบ มิติของหิมะดูจะต่างจากที่ผมคุ้นเคยไปบ้าง สีขาวแซมด้วยสีเข้มของต้นสนกว้างออกไป หากมองจากบนพื้น ก็จะปะทะเข้ากับกำแพงต้นสน หิมะในเดือนกุมภาพันธ์ขาวโพลนไปสุดลูกหูลูกตาในแนวราบ
ทุกครั้งที่ผมขึ้นเครื่องบิน ผมจะกดดูว่ามีหนังประเภท world cinema อะไรที่น่าดูเสมอ ผมถือวิสาสะเอาว่าจำนวนและประเภทหนังที่สายการบินแต่ละสายมีในเที่ยวบินข้ามทวีป ถือเป็นดัชนีบอกความใส่ใจผู้โดยสารและรสนิยมของสายการบินนั้นๆ
เหตุที่ผมเลือกดูหนัง world cinema นั้นไม่ใช่ด้วยเหตุผลความอยากอาร์ตหรืออะไรนะพี่ แต่ด้วยเหตุผลที่ผมเดาว่าไม่เป็นปัญหาสำหรับคนอื่นๆ เขา คือผมไม่ชอบเสียบหูฟังเสียงหนังบนเครื่องบิน ไม่รู้พี่เห็นเหมือนผมไหมว่าหูฟังที่เขาแจกบนเครื่องบินนั้นคุณภาพต่ำเสียจนบางทีผมไม่ต้องฟังเสียงอาจจะดีกว่า แล้วเดี๋ยวหลุดๆ อีกต่างหาก ผมเลยตัดปัญหาดูแต่ภาพไปเลย บางทีจะได้อ่านหนังสือไปด้วยได้ การดูหนังบนเครื่องบินของผมจึงเป็นการต้องการรู้เส้นเรื่อง ดูว่าพลอตหนังเป็นยังไง มากกว่าจะเป็นการรับอรรถรสอย่างอื่น ซึ่งก็ไม่น่าจะมาคาดหวังกันในสถานการณ์เช่นนี้
ไอ้หนังประเภท world cinema ที่จริงคืออะไร ก็คือหนังที่ไม่ใช่ hollywood (และหลายกรณีไม่ใช่หนังพูดภาษาอังกฤษ) นั่นเอง ดังนั้นโดยปกติหนังประเภทนี้ก็จะมีคำบรรยาย ดังนั้นผมก็จะรู้เส้นเรื่องไปเลยได้โดยไม่ต้องเสียบหูฟัง นี่เป็นที่มาของการเลือกดูหนังประเภทนี้ประเภทเดียวบนเครื่องบิน
ครั้งก่อนหน้าที่ผมขึ้นสายการบินนี้ ผมจำได้ว่ายังมีหนังที่น่าสนใจอยู่ให้เลือกอยู่พอสมควร ผมได้ดูหนังฝรั่งเศส Une Saison en France (2017) ตอนบินข้ามปากีสถานไม่กีปีก่อน ผมดูหนังเยอรมนี Der letzte Mieter (2018) ตอนที่น่าจะอยู่เหนือเมืองจีนฝั่งตะวันตกที่ไหนสักที่ ผมยังจำได้ว่าได้ดูหนังฟินแลนด์ Tuntematon mestari (2018) ตอนอยู่เหนือ…ก็อยู่เหนือฟินแลนด์นั่นแหละพี่ พอครั้งนี้ผมถึงคาดหวังว่าจะได้เลือกหนังให้จุใจ
ปรากฏว่านี่เป็นครั้งแรกที่ไม่มีหนังอะไรเป็นเรื่องเป็นราวให้ดูเลย เป็นครั้งแรกที่ผมเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ผ่านหนังประเภทคลาสสิกฮอลลีวูดไปๆ มาๆ โดยไม่มีอะไรที่น่าสนใจแต่น้อย ไปลงเอยที่ Godzilla VS Kong (2021) นับเป็นมิติใหม่ของการดูหนังบนเครื่องของผม เพราะผมไม่ต้องเปิด subtitle เนื่องจากดูจากภาพก็พอจะรู้พลอตได้แล้ว นี่ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่ดีนะครับ แต่มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น
เอาละ อย่างน้อยผมก็ได้ดู No Sudden Move (2021) ของ Steven Soderbergh หลังจากที่คองกับก๊อตซิลล่าตีกันไปได้สักครึ่งเรื่อง เพราะฉะนั้นผมควรจะเลิกบ่น
แต่มันไม่แค่นั้นสิพี่ นี่เป็นครั้งแรกในประสบการณ์เดินทางระยะไกลของผม ที่สายการบินประกาศโต้งๆ เลยว่า “เราจะบริการเครื่องดื่มแก้วเดียว เฉพาะครั้งแรกเท่านั้น ที่เหลือต้องซื้อเพิ่มเอง” ต่อผู้โดยสารทุกคน
ผมรู้พี่ ผมรู้ ว่าเขาก็ต้องประหยัดงบประมาณ เพราะอุตสาหกรรมการบินก็ได้รับผลกระทบกันไปหนักหนาจากยุคโควิด แต่ไอ้การประกาศแบบนี้มันก็เสียมารยาทไปสักหน่อยไหม คือมาแจ้งกันตอนเอาอาหารมาเสิร์ฟ หรือไม่ก็ทำเงียบๆ ไป แล้วบอกว่าเครื่องดื่มหมด ก็ยังจะถนอมน้ำใจกันมากกว่า
ความปรารถนาอย่างเดียวของการเดินทางเที่ยวบินทางไกลกลางคืนจึงสุทธิตรงที่ว่าขอให้ได้นอนพอสมควร ไม่ต้องอิ่ม เพราะเราไม่ได้นอนอยู่บ้าน ขนาดที่บ้านก็ยังนอนไม่อิ่ม แต่เอาที่พอได้หลับตาพักบ้างเท่านั้น
สนามบินเฮลซิงกิ
9 มี.ค. 2022
เกี่ยวกับผู้เขียน : ปรีดี หงษ์สต้น นักเขียน นักแปล นักวิชาการ ย้ายไปอยู่ประเทศสวีเดน เลี้ยงลูกไปพร้อมๆ กับสังเกตสังกาชีวิตที่เคลื่อนย้ายผ่านเวลาสถานที่ ภายใต้ระเบียบเสรีนิยมประชาธิปไตย