interview

‘ว่าด้วย 112’ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ สัมภาษณ์ วาด รวี เมื่อสิบปีที่แล้ว

เคสอัปยศ ‘อากง เอสเอ็มเอส’ และคดีความเกิดเป็นร้อยๆ แล้วตอนนั้น เราจึงทำแคมเปญ ครก.112 ด้วยกัน รณรงค์ให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรานี้ ตามแนวทางของคณะนิติราษฎร์
วาด รวี เป็นแกนนำคนหนึ่ง ทั้งในแวดวงนักเขียน และเดินสายขึ้นเวทีเสวนาทั่วประเทศ
ผมเป็นคนตาม อยู่ข้างหลัง และออกแรงน้อยกว่าเขาร้อยเท่า
ลองว่าเอา ลองบอกว่าทำ เขาเป็นมนุษย์บู๊ล้างผลาญ พรรคพวกเราอำเขาด้วยรักว่า เป้ ปาเกียว
ด้วยว่าเขาเป็นนักเขียนหมัดหนัก ทรงพลัง
ภาพเปิดเรื่องนี้ถ่ายที่ไต้ฝุ่นสตูดิโอของ ปราบดา หยุ่น ในเดือนปีที่ 112 กำลังร้อน เพื่อนฝูงบางคนเพียงลงชื่อเสนอแก้ไขกฎหมาย แต่โดนครอบครัวตัดเยื่อใยสัมพันธ์ นั่นยังไม่เท่าอีกหลายคนที่โดนล่าแม่มด
อีกหนหนึ่ง ผมติดตามเขาและนักวิชาการไปเปิดเวทีที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ลงจากเวทีมาแล้ว ผมขอถ่ายรูปเขาเป็นที่ระลึก ถัดมา นัดสัมภาษณ์ ด้วยปรารถนาจะฟังหลักการและเหตุผลโดยละเอียด ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ ‘ความมืดกลางแสงแดด’ (ร่วมงานกับ ธิติ มีแต้ม) เมื่อเดือนเมษายน 2012 โดยเขียนบทนำสั้นๆ ไว้แบบนี้–

 

อดีตเด็กดื้อในวงการวรรณกรรม เจ้าของผลงาน ‘เดนฝัน’ และ ‘ปิดบริสุทธิ์’ เป็นผู้ก่อตั้งวารสาร underground buleteen ที่ล่าสุดหันมาสนใจการเมืองอย่างเข้มข้น มีผลงานระดับ must read คือ crisis 19 หรือ ‘วิกฤติ 19’ เป็นหนึ่งในคณะนักเขียนแสงสำนึก ต้นไอเดียร่างจดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนเพื่อรณรงค์แก้ไข ม.112 เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญใน ครก.112 วินาทีนี้เขาเน้นงานเคลื่อนไหวเพื่ออธิบายประเด็นเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง ราวกับว่ากำลังสลักเสลาวรรณกรรมแห่งชีวิต

 

nan dialogue สัปดาห์นี้ย้อนอดีต ตัดงานเก่ามาให้อ่านบางส่วน วาระที่เพื่อนของเราจากไป
ลองพิจารณาร่วมกันว่าเวลาสิบปีที่เขาคิด เขาพูด เขาทำ สิบปีที่ล่วงผ่าน มีสิ่งใดขยับเคลื่อนย้ายไปในทิศทางที่เราพอจะเรียกได้ว่าก้าวหน้า

 

 

“จะคุยอะไร” เขายิ้มทักทายในแรกที่เจอกันที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ก่อนขอตัวไปสูบบุหรี่

เขากลับมา เราวางเทปบนโต๊ะ แจ้งประเด็น และถัดจากนั้นบทสนทนาก็ไหลเชี่ยว

ยังไม่มีสำนึกว่าสิทธิและเสรีภาพที่ทำให้กำเนิดโลกสมัยใหม่รูปแบบการปกครองแบบปัจจุบันมาจากไหน ไม่มีสำนึกนี้ ยังไม่ชัด ยังไม่ตอกลิ่มเข้าไปในจิตใต้สำนึก เลยมีคำถามแบบสลิ่มๆ อย่างที่บางคนสงสัยว่าทำไมมนุษย์เกิดมาต้องเท่าเทียมกันเพราะเกิดมาไม่เท่ากันอยู่แล้ว มันสะท้อนความไม่เข้าใจว่ายุคสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นมา หรือ modern age เกิดมาพร้อมกับเรื่องสิทธิของมนุษย์ สำนึกว่ามนุษย์มีสิทธิเท่ากัน แล้วมนุษย์เอาสิทธินั้นไปรวมกัน เพื่อตั้งขึ้นเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แล้วรัฏฐาธิปัตย์นั้นเป็นสิทธิที่ใหญ่ที่สุดซึ่งแหล่งอำนาจก็คือมาจากคนแต่ละคน

แหล่งอำนาจสมัยก่อนอยู่ที่กษัตริย์ กษัตริย์อ้างเทวดาพระพุทธเจ้า อ้างผี อ้างคุณงามความดี อ้างทศพิธราชธรรมเหนือมนุษย์คนอื่นๆ คือกษัตริย์อ้างสิ่งเหนือมนุษย์เพื่อตอกย้ำว่าตัวเองมีสิทธิเหนือมนุษย์คนอื่น เพื่อจะปกครอง

นั่นคือระบบเดิม ระบบสิทธิธรรม ระบบโบราณ สมัยใหม่ไม่มีใครเชื่อแบบนี้แล้ว ไม่มีใครเหนือมนุษย์ที่จะปกครองคนอื่นได้

จิตสำนึกเกิดมาจากยุค enlightenment หรือยุคแสงสว่าง ในศตวรรษที่ 18 สิ่งที่คนมาถามว่าทำไมมนุษย์ต้องเท่ากัน นี่คือสิ่งที่นักคิดพวกวอลแตร์, คานท์ และคนยุคนั้นเถียงกันเอาเป็นเอาตายจนกระทั่งได้คำตอบว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิทธิ ฉะนั้น ทุกคนมีสิทธิและเท่าเทียมกัน และสิทธินั้นเป็นแหล่งอำนาจเดียวที่สามารถยอมรับได้ เพื่อสถาปนารัฏฐาธิปัตย์เพื่อมาปกครองคนทุกคนได้ นี่คือหลักคิด

ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็จะคิดว่าพระราชอำนาจซึ่งมาจากไหนไม่รู้ แต่ถวายคืนได้ อำนาจการปกครองมาจากกษัตริย์ก็ถวายคืนได้อำนาจกษัตริย์มาจากไหนก็มาจากเทวดา ผี ะไรก็แล้วแต่ นี่คือที่เป็นมาแต่เดิม นี่คือความไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ พอไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ ก็ไม่เข้าใจเรื่องรัฐประหารว่าทำไม่ได้ ต่อให้มึงเป็นเทวดาลงมาจากฟ้าก็ทำไม่ได้ เพราะมันไม่มีสิ่งเหนือมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

อำนาจเดียวที่ชอบธรรมคืออำนาจที่เป็นเจตจำนงร่วมของมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ และเอาสิทธินั้นมารวมกันเพื่อมอบอำนาจให้รัฎฐาธิปัตย์ ฉะนั้น การจะล้มอำนาจนั้นได้ก็ต้องเป็นเจตจำนงร่วมเท่านั้น ไม่มีเทวดาจากไหนมาล้มอำนาจ มาล้มการปกครองที่มาจากประชาชน นี่คือความผิด นี่คือสิ่งที่จะทำไมได้

สำนึกสลิ่มมาจากไหน เจ้ากูก็ไม่เอา เทวดากูก็ไม่เอา มันยังสงสัยอยู่ทำไมติด ทำไมไม่เข้าใจ มันอยู่ที่สำนึกอะไร

เป็นระบบคิดที่ไม่มีการเชื่อมโยงกัน คิดว่าเสรีภาพตั้งอยู่ลอยๆ โดยไม่ข้องเกี่ยวอะไรก็ได้ สิทธิเสรีภาพต้องตั้งอยู่บนสิทธิของมนุษย์แต่ละคน มันไม่ใช่อยู่ลอยๆ แต่ความคิดแบบนี้ คือเสรีภาพลวงตา คืออำนาจที่แท้จริง เหนืออำนาจรัฐ อำนาจในสังคมไทย อำนาจแบบโบราณนี้ อำนาจแบบสิทธิธรรมยังดำรงอยู่ อำนาจของกษัตริย์ที่อ้างผีอ้างเทวดายังมีอยู่ในสังคมไทยและอำนาจนี้ยังทำงานอยู่

สังคมไทยตั้งแต่ ร.1 ถึง ร.4 สิทธิธรรมของกษัตริย์มาจากพระพุทธเจ้า มาจากเทวดา มาจากผี มีผีด้วย แล้วมาจากอำนาจแบบโบราณคืออำนาจของกำลัง นี่คือยุคหินเลย โดยอ้างการรวบรวมบ้านเมืองกลับมาเป็นปึกแผ่น คือเป็นผู้พิชิตก๊กต่างๆ ได้

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก คือรัชกาลที่ 1 ที่เป็นอดีตทหารของพระเจ้าตากนั่นแหละ กระทั่งพระเจ้าตากรวบรวมมาแล้ว จนเกิดจลาจลในธนบุรี วุ่นวายมาจากกรุงแตก ยังไม่จบ มาจบเอาตอนรัชกาลที่ 1 เสด็จกลับมาปราบจลาจลในธนบุรี สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์

พอมารัชกาลที่ 5 ตะวันตกเข้ามาแล้ว สยามเผชิญกับแสนยานุภาพของตะวันตกและเทคโนโลยีที่สูงกว่า วิธีปรับตัวคือเลิกทาส เสด็จประพาสยุโรป สร้างถนน สร้างรถไฟ สร้างโรงเรียน นี่คือการสร้างสิทธิธรรมของความเป็นสมัยใหม่ ทำสยามให้เป็นสยามใหม่นี่คือสิทธิธรรมของ ร.5 คือผู้เข้าถึงความเป็นสมัยใหม่ก่อนใครในสยามฉะนั้น ความเป็นสมัยใหม่ที่ปรากฎในสังคมไทยกลายเป็นแหล่งอ้างใช้อำนาจ เหมือนกับพระพุทธเจ้า เหมือนผี เหมือนเทวดา ความเป็นสมัยใหม่ในตะวันตกเกิดมาจากมนุษย์ไม่เชื่อแล้วว่ามีพระที่อ้างอำนาจมาปกครองชาวบ้าน กษัตริย์ที่อ้างสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครเชื่อแล้ว เขาเชื่อว่าคนทุกคนต้องเท่ากัน มนุษย์มีเจตจำนงเสรี

รุสโซพูด วอลแตร์พูด นี่คือหลักใหญ่ใจความ มนุษย์ทุกคนเท่ากันและมีเจตจำนงเสรี มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน ไม่มีใครมีเหนือมนุษย์ ฉะนั้น การอ้างฐานันดรพระ อ้างฐานันดรกษัตริย์ อ้างอะไรก็ตามว่าเหนือมนุษย์เพื่อมาปกครองนี้ไม่ได้ นี่คือกำเนิดของสมัยใหม่

แต่สังคมไทยแทนที่จะเกิดสำนึกนี้ กลับไม่เกิด แต่เอาความเป็นสมัยใหม่มาในรูปการเลิกทาส ถนนหนทาง ที่สมัยรัชกาลที่ 5 ทำไว้ เข้าถึงความเป็นสมัยใหม่และอ้างตรงนั้นมาใช้สิทธิธรรมอีกทีหนึ่ง เอาความเป็นสมัยใหม่มาใช้ มาอ้างสิทธิธรรมแบบก่อนสมัยใหม่ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ตั้งแต่ ร.5 เป็นต้นมา ถ้าจะตอบคำถามสลิ่มคือมาจากเข้าใจสมัยใหม่แบบเปลือกที่ถูกสร้างในสังคมไทย พวกนี้ไม่เข้าใจว่าสมัยใหม่เกิดจากอะไร ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ

คือเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพในลักษณะที่ไม่เชื่อมโยง รู้แค่ลอยๆ ก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ต้องเท่ากันเพราะว่าไม่โยงกับสิทธิไม่โยงกับเสรีภาพ ไม่โยงกับเรื่องการเมืองการปกครอง ไม่ยึดโยงกับอะไรเลย จริงๆ ไม่ใช่ สิทธิเสรีภาพไม่ได้ลอยมาจากฟ้า แต่เกิดมาจากการต่อสู้ของมนุษย์ ต่อสู้กันฉิบหาย ตอนศตวรรษที่ 18 เจ้าชายแคว้นต่างๆ ในฝรั่งเศส ในยุโรปทั้งหมด กษัตริย์ ขุนนาง พระ ยังยืนยันในสภาเลยว่าคนไม่เท่ากัน ชาวบ้านจะมามีสิทธิเท่ากษัตริย์ไม่ได้ จะมีสิทธิออกเสียงเท่ากันไม่ได้ มนุษย์ต้องใช้เวลายาวนานมากเพื่อให้ทุกคนมีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน ไม่ได้อยู่ๆ ก็คิดได้ ยอมรับ ต้องแย่งชิงมา ต้องต่อสู้มาเพื่อให้เกิดสำนึกนี้ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนในสังคมเชื่อว่า เฮ้ย มึงเท่ากันจริงๆ ไม่ใช่ว่าพระกับขุนนางมีสิทธิมากกว่าชาวบ้าน ไม่ใช่ ทุกคนมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่ากัน

กว่าจะเกิดเรื่องนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆ จะนั้น ในยุโรปจึงชัดเจนและฝังลึกว่าคนเราเท่ากันเพราะอะไร ขณะที่สังคมไทยยังไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่เข้าใจ

การปฏิวัติ 2475 ก็ไม่สามารถทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นสำเร็จ สลิ่มคืออะไร คือชนชั้นกลางที่เกิดขึ้นจากความเป็นสมัยใหม่แบบเปลือกของชนชั้นปกครองไทยแต่เดิม แต่จริงๆ ยังอยู่ใต้สิทธิธรรมโบราณหรือการใช้อำนาจปกครองแบบเดิม แต่เข้าใจว่าตัวเองสมัยใหม่แล้ว โดยรากมันคือก่อนสมัยใหม่ คือโบราณ ยังนับถือคุณงามความดีแบบเหนือมนุษย์ สลิ่มอยู่ในโลกนี้ คือชนชั้นกลางที่เกิดในโลกนั้น โลกที่ไม่เชื่อมโยง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนต้องเท่ากัน

ย้อนไปเริ่มออกมาเคลื่อนเรื่องมาตรา 112 คุณมองเห็นอะไร ทำไมจับเรื่องนี้

112 ที่ผ่านมาถูกใช้เป็นดาบ ดาบที่ใช้ลงทัณฑ์คนที่แสดงความคิดเห็นของตนในทางการเมือง คือเนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร ตั้งแต่การถวายคืนพระราชอำนาจเป็นต้นมา กระทั่งรัฐประหาร ปัญหาสำคัญสุดคือปัญหาเรื่องแหล่งอำนาจของผู้ปกครอง ของรัฎฐาธิปัตย์มาจากไหน วิธีคิดที่คืนพระราชอำนาจหมายความว่าเอาอำนาจไปคืนให้กษัตริย์ และกษัตริย์ตั้งผู้ปกครองได้ คือวิธีคิดที่แหล่งอำนาจไม่ได้มาจากประซาชน อันนี้คือสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย

ผมเห็นว่าอำนาจเดียวต้องมาจากประชาชน นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นและเชื่อมโยงมาถึงเวลานี้ เกิดให้เราเห็นอย่างชัดเจน ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร จนเกิดรัฐประหาร และยังมีการเรียกร้องสิ่งเหล่านี้อยู่ มีการเอาคุณธรรมความดีงามมาเหนือสิทธิเสรีภาพตลอด รวมทั้งเรื่อง 112 ด้วย เรื่องคดีนี้ที่เกิดขึ้นเยอะเพราะปัญหาเรื่องแหล่งอำนาจ ทีนี้พูดเรื่องแหล่งอำนาจไม่ให้พูดถึงกษัตริย์ได้ยังไง ในเมื่อเชิงรูปธรรมแล้ว มีกลุ่มคนพยายามเอาอำนาจไปถวายคืนกษัตริย์ หรือพยายามข้างสิทธิธรรมของกษัตริย์ในการใช้อำนาจทางการเมือง ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ยังมีสิ่งนี้อยู่ ฉะนั้น การจะพูดเรื่องปัญหาจึงต้องพูดถึงเรื่องนี้ และเมื่อพูดเรื่องนี้จะไม่พาดพิงกษัตริย์ได้ยังไง ในเมื่อกษัตริย์คือแหล่งอำนาจที่ถูกอ้างใช้อย่างผิดรัฐธรรมนูญ เราไม่พูดไม่ได้ ถ้าไม่พูดคือไม่สามารถพูดถึงปัญหาการเมืองได้เลย

แต่พอพูดปุ๊บ สิ่งที่ทำให้การพูดยุติคือกฎหมายข้อนี้ มันคือดาบ คนพูดปุ๊บ มันลงดาบทันที 112 เป็นปมแรกที่ทำให้เราพูดถึงสิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ ไม่ได้ ตัวมันเอง 112 ไม่ใช่ใจกลางปัญหา แต่ 112 เป็นประตูแรกที่ปิดกั้นไว้ไม่ให้คนเข้าไปแก้ปัญหา

นี่คือสิ่งที่เห็นมาตลอด และเยอะขึ้น ล่าสุดพอนักวิชาการโดนก็อย่างที่ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ พูดว่าถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไม่มีฐานให้พูด ไม่มีฐานที่มั่นให้พูด นักวิชาการยังพูดไม่ได้ ชาวบ้านจะพูดยังไง หยุด เลิก ไม่ต้องพูดในเวทีไหนเลย เพราะขนาดนักวิชาการมีเกราะวิชาการคุ้มครอง ยังมีปัญหา นี่เท่ากับปิดประตูตาย ฉะนั้น จึงยอมไม่ได้

ก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้สังคมตระหนักว่านี่ไม่ใช่เรื่องใครไปละเมิดใครในส่วนบุคคล ไม่ใช่ปัญหาว่าใครจะไปหาช่องทางด่าใครโค่นล้มใคร นี่เป็นปัญหาสวนรวม เราไม่สามารถพูดถึงหัวใจของปัญหาส่วนรวมได้ ถ้าไม่แก้กฎหมายนี้ก่อน

ในฐานะนักเขียน มีทางอื่นบ้างไหม นอกจากการลงชื่อ

อุปสรรคการแก้กฎหมายนี้ ความเห็นเราไม่ได้อยู่ที่นักการเมือง แต่อยู่ที่สำนึกของคนในสังคมจำนวนมากที่ยังติดสิทธิธรรมแบบโบราณอยู่ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่มีจำนวนมากและกระจุกตัวอยู่ในเมือง มากพอที่จะคัดค้านหรือขัดขวาง เป็นอุปสรรค อย่างน้อยก็เป็นล้านคนที่ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ และยังคิดว่าสังคมไทยต้องอยู่ใต้สิทธิธรรมแบบโบราณ คนจำนวนนี้ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ แต่มากพอที่จะขัดขวาง และแสดงออกค่อนข้างรุนแรง ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ นักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นหมอ เป็นผู้อำนวยการสถาบันการศึกษา คนที่อยู่ในฝ่ายชนชั้นนำเป็นส่วนใหญ่ยังคิดในแบบโบราณและไม่เข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ แม้แต่ศาลยังไม่เข้าใจเรื่องแหล่งอำนาจชอบธรรมคือมาจากประชาชน พวกเขายอมให้การใช้สิทธิธรรมที่ไม่เกี่ยวกับแหล่งอำนาจสมัยใหม่มามีอิทธิพลเหนือกว่า นี่คืออุปสรรคสำคัญ

เพราะฉะนั้น ถ้าแก้ แก้ที่นักการเมืองคือปลายเหตุ

แต่ต้องแก้ที่สำนึกคน ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพว่าคืออะไร ทำไมมนุษย์ถึงเลิกเชื่อว่ามีสิ่งเหนือมนุษย์ ทำไมไม่เชื่อว่ามีใครคนหนึ่งอ้างว่าได้รับโองการจากพระเจ้า เสร็จแล้วมาปกครองทุกคน มันไม่เป็นจริงอีกแล้ว ต้องทำสิ่งนี้ให้ได้

ให้คนเข้าใจให้ได้ว่าคืออะไร อย่างน้อยต้องให้ชนชั้นนำส่วนใหญ่เข้าใจ ถึงจะเปลี่ยนทิศทางการเมืองได้ ถึงจะแก้กฎหมายได้

พอคิดเรื่องนี้ ทำไมต้องลงชื่อกัน ได้คิดอย่างอื่นบ้างไหม

วิธีนี่ไม่ได้คิด เบื้องต้นคือต้องแสดงให้เห็นความตระหนักในเรื่องนี้ก่อน สิ่งที่คิดได้ อย่างน้อยเบื้องต้นเราเป็นนักเขียน เราบอกสังคม บอกในฐานะนักเขียนและเราบอกเพื่อนนักเขียนก่อน ถึงประเด็นสำคัญว่าคือประเด็นนี้ ถ้ามีเพื่อนเห็นด้วยมากพอ อย่างน้อยมันน่าจะถึงสังคม สังคมน่าจะได้ยินมากกว่าวิธีอื่น ในสังคมปัจจุบัน อยู่ๆ เราออกมาพูดคนเดียวอาจไม่มีเสียงดังพอ แต่ถ้าเราบอกเพื่อนนักเขียนอย่างน้อยนักเขียนด้วยกันก็รู้จักกัน และถ้าเกิดเห็นพ้องกันแล้วไปบอกสังคม มันบอกในฐานะนักเขียน จึงน่าจะมีผลมากกว่าบอกเปล่าๆ

นี่คือจุดเริ่มต้นว่าทำไมถึงชวนเพื่อนนักเขียนก่อน

สังเกตดูว่าสิ่งที่เราพูดในจดหมายเป็นเรื่องพื้นฐาน เกี่ยวกับนักเขียนโดยตรงด้วยซ้ำ จริงๆ เกี่ยวกับทุกคน แต่รูปธรรมอาจชัดกว่าคนอื่นเพราะต้องทำงานเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็น

ปัญหาเรื่อง 112 ปัญหาเรื่องแหล่งอำนาจเป็นปัญหาของทุกคนในสังคม แต่นักเขียนข้องเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออกในชีวิตประจำวันมากกว่าคนอื่น ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่านักเขียนน่าจะเห็นปัญหาชัดกว่าคนอื่นๆ นักเขียนจึงควรออกมาบอกกับสังคม

ตอนส่งจดหมาย เลือกไหมว่าส่งให้ใคร

ส่งให้ทุกคนที่รู้จัก เท่าที่หาที่ติดต่อได้

ถ้าเกิดว่ามีที่อยู่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ก็จะส่งให้ แต่ว่าไม่มี

ส่งไปแล้วมีผลสะท้อนอะไรกลับมาบ้าง

มีทั้งเงียบและตอบกลับมา ทั้งคนที่ตอบทันทีเลย แต่คนตอบทันทีโดยเห็นด้วยว่าต้องทำ เป็นคนรู้จุดยืนอยู่แล้วโดยส่วนใหญ่ บางคนเงียบ บางคนใช้เวลานานแล้วกลับมาลงชื่อ ที่ไม่มีเลยคือไม่มีนักเขียนคนไหนไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาจดหมาย แม้กับคนไม่ลงชื่อล้วนปฏิเสธด้วยเหตุผลอื่นทั้งสิ้น ไม่มีสักคนที่บอกว่าไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาจดหมาย แม้กับคนไม่ใช่นักเขียนที่คัดค้าน ยังไม่เห็นการคัดค้านตามเนื้อหาในจดหมาย มีแต่อ้างสิ่งอื่นที่ไม่เกี่ยว ไม่เห็นว่าใครแย้งเนื้อหาที่เราพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพ

ครั้งหนึ่งคุณเคยพูดว่าตาสว่างกับวงการนักเขียน ตอนนั้นเห็นอะไร

อันนั้นก่อนมาทำเรื่องนี้ คำที่คุยกันตอนนั้นเราพูดแง่ว่าคนเสื้อแดงตาสว่างเรื่องการเมือง แต่ของเราในวงการนักเขียน คือตื่นจากการหลับใหลอยู่ในโลกบางโลก ส่วนตัวเรานะ เราคนเดียว

มันมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอุดมคติที่ครอบงำวงวรรณกรรมมาตั้งแต่หลัง 6 ตุลาฯ เกี่ยวกับวรรณกรรมเพื่อชีวิต อุดมคติการเขียน อุดมคติของมนุษย์ การเขียนหนังสือคือศีลธรรมของนักเขียนโดยตัวมันเอง การเขียนและการสร้างสรรค์ศิลปะเป็นหนทางไปสู่โลกอุดมคติหนทางเดียวของการปฏิวัติมนุษย์ นำไปสู่โลกที่สวยงาม ดีงาม โดยรายละเอียดมีมากกว่านี้ เป็นเรื่องเล่าจากการอกหักจากการปฏิวัติร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับการต่อสู้ เพื่อสิทธิเสรีภาพ เล่าและครอบงำวงวรรณกรรมไทย หลัง 6 ตุลาฯ มาจนถึงราวๆ ปี 2540 ยังมีอิทธิพลอยู่และน้อยลง ผมตื่นจากโลกนั้น ตื่นและตาสว่าง

สิ่งที่ทำให้ตื่นคือท่าทีของนักเขียนที่เป็นต้นเรื่องของเรื่องเล่านั้นที่มีต่อวิกฤติการเมือง 4-5 ปีนี้แหละ ที่มันอธิบายไม่ได้

ท่าทีอะไร

ท่าทีที่ไม่เห็นคนเสื้อแดงเป็นประชาชน ไม่เห็นคนเสื้อแดงเป็นคน ไม่เห็นสิทธิเสรีภาพของคนเสื้อแดง

เกี่ยวกับการไม่ต้านรัฐประหารด้วยไหม

เรื่องนั้นยังไม่ถึงกับรู้สึกแรงมาก ตัวเราก็เซ็งๆ ไปด้วย แต่ไม่รู้จะทำยังไง ตอนนั้นยังไม่เห็นคนเสื้อแดงชัดๆ ด้วยไง ตอนนั้นเซ็งและผิดหวังเหมือนกันกับท่าทีของปัญญาชน กับนักเขียนใหญ่ที่ไปแสดงความเห็นด้วยกับรัฐประหาร รับไม่ได้ บางคนเงียบๆ ไป เราก็ไม่ว่าอะไร แต่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมษาฯ 52 พีกเลย คุณยอมรับการเอาปืนออกมายิงคนได้ยังไง เอามาปราบจลาจลในเมือง แม้ไม่มีคนตาย แม้ว่าเรากับเขาพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีคนตายก็ตาม แต่คุณยอมรับการเอาปืน เอาอาวุธสงครามมาไล่ยิงคนกลางถนนได้ แค่คนขับรถปาดหน้าคุณ คุณยังพูดเลยว่าละเมิดสิทธิ แต่รัฐบาลสั่งทหารเอาอาวุธสงครามมายิงคน นอกจากคุณไม่พูดอะไร แต่เสือกไปเห็นด้วยอีก

สิ่งเหล่านี้ทำลายเรื่องเล่า นิทานของคนเดือนตุลาฯ ที่เล่ากันมาแม่งพังหมดเลย แม่งเฟก สิ่งที่เล่ากันมาไม่จริง อุดมคติไม่จริงเลย จีระนันท์ พิตรปรีชา เขียนบทกวีที่บันดาลใจเรา ตาสว่างของผมในฐานะนักเขียนยิ่งกว่าคนเสื้อแดงเห็น ผมรู้สึกกับเรื่องนี้มากกว่าเรื่องการเมืองอีกด้วยซ้ำเพราะมันใกล้ตัว

และจะว่าไปก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวเราด้วย อย่างน้อยที่สุดนักเขียนไทยรุ่นผมหรือที่เริ่มต้นทำงานช่วงทศวรรษ 2530 ทุกคนอยู่ในอิทธิพลของเรื่องเล่าเหล่านี้ทั้งนั้น น้อยคนที่ไม่อยู่ในเรื่องเล่าของ หงา คาราวาน, เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, คมทวน คันธนู อ่านมาทั้งนั้น และทุกวันนี้แต่ละคนทำอะไร บางคนไปขึ้นเวทีที่ถ้าไม่สนับสนุนการให้สิทธิธรรมโบราณก็สนับสนุนมาตรการที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างที่ยอมรับไม่ได้

คุณคิดยังไงถ้าในวันนั้นพวกเขาบอกว่าเขาจริง แต่วันนี้เปลี่ยนไป อ้างยุคสมัย อ้างแก่ชรา อ้างปัจจัยภายใน

แสดงว่าวันนั้นเขาไม่ได้ตื่นจริง แสดงว่าสำนึกนั้นมันไม่จริง เรื่องนี้โยงกับคำอธิบายของผมตั้งแต่แรกว่าสำนึกของคนชั้นกลางรุ่นเก่า รวมทั้ง 14 ตุลาฯ ด้วย เป็นสำนึกที่ไปไม่ถึงรากของความเป็นสมัยใหม่ที่แท้จริง คือสำนึกความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เขาไปไม่ถึง เพราะเขาอยู่ในสมัยใหม่ลวงตา แม้กระทั่ง 14 ตุลาฯ เขายังชูพระบรมฉายาลักษณ์อยู่เลย คือตัวเขาเองก็อ้างอิงสิทธิธรรมโบราณ ตัวเขาเองยังตัดไม่ขาดกับสิ่งเหนือมนุษย์

นี่คือการตัดไม่ขาด ผมมองว่าคนชั้นกลาง รวมทั้งปัญญาชนรุ่นเก่าที่ทำให้ผมตาสว่าง อยู่ในภาวะตัดไม่ขาดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือยังอยากมีชีวิตภายใต้สิทธิธรรมของสิ่งเหนือมนุษย์ ไม่สามารถตัดใจว่าต่อไปนี้มนุษย์ต้องรับผิดชอบตัวเอง มันเป็นเรื่องที่คุณต้องเดินด้วยขาของคุณเอง มนุษย์ต้องรับผิดชอบตัวเอง คือไม่ใช่พึ่งพาอำนาจที่เหนือมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

คนรุ่นนั้นตัดไม่ขาด นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าภาวะสลิ่ม กระฎุมพีที่ภักดี พอใจ การอยู่ใต้อำนาจสิทธิธรรมโบราณ ส่วนหนึ่งเพราะเขามีผลประโยชน์ ชีวิตเขาถูกอุ้มชูโดยสิ่งนี้ อยู่ในระบบอุปถัมภ์ สิทธิธรรมแต่ดั้งเดิมด้วย

ระบบของนักเขียนไทยแต่ก่อนไม่มีศิลปินแห่งชาติ ไม่มีศิลปาธร รางวัลเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบอุปถัมภ์ นักเขียนไทยส่วนใหญ่อยู่ในระบบอุปถัมภ์แบบนี้

การให้รางวัลนักเขียนหรือศิลปิน โดยความหมายของมันเป็นคนละความหมายกับโลกตะวันตกที่เขาให้เกียรติหรือยกย่องศิลปิน ของเรามีความหมายเชิงอุปถัมภ์ อุ้มชู ช่วยเหลือ มีนัยแบบนั้นมากกว่าการเห็นคุณค่า ของการมีศักดิ์ศรี พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้เห็นคุณค่าจริงๆ ไม่เคารพศักดิ์ศรีนั้นจริงๆ ไม่ไช่เลย เพียงแต่เป็นการช่วยเหลืออุ้มชูดูแลภายใต้สิทธิธรรม เวลาเขาเลือกศิลปินแห่งชาติ เลือกนักเขียนศิลปาธร เลือกด้วยวิธีคิดนี้ ควรให้ได้แล้ว เป็นกำลังใจ จะเห็นว่าบางคน โดยศักดิ์ศรีมีหลายคนสูงกว่าศิลปาธรเต็มไปหมด แต่ทำไมไม่ได้ศิลปาธร มันอธิบายไม่ได้

อธิบายไม่ได้ว่าศิริวรมีศักดิ์ทางวรรณกรรมสูงกว่า ประกาย ปรัชญา อธิบายไม่ได้ด้วยผลงาน ถ้าคุณเป็นนักวรรณกรรม เป็นนักเขียน นักอ่าน คุณต้องรู้ว่าศักดิ์ศรีไม่เท่ากัน ศักดิ์ศรีจากผลงานนะครับ ไม่ใช่อย่างอื่น ประกาย ปรัชญา กับ ศิริวร แก้วกาญจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ไพวรินทร์ ขาวงาม ศักดิ์ศรีไม่เท่ากัน การยอมรับอิทธิพล วิเคราะห์กันด้วยวรรณกรรมวิจารณ์ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ดูสิ ของใครสูงกว่า อิทธิพลของประกายแผ่ไปแค่ไหน อิทธิพลของศิริวรหรือขจรฤทธิ์แผ่ไปแค่ไหน เอามาเทียบกันสิ

เทียบกันไม่ได้เลย ดูคำที่กวีอีกไม่รู้กี่สิบคนรุ่นหลังที่ได้จากประกายมา มันเห็นชัดๆ สามารถพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ เอางานมากางดู เราจะพบอิทธิพลชัดเจน

มองเรื่องการให้รางวัลในบ้านเราจึงไม่ใช่วิชีคิดของมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี วงวรรณกรรมยังคิดในกรอบของระบบอุปถัมภ์ซึ่งก็เชื่อมโยงกับการปกครองแบบสิทธิธรรมโบราณ

เท่าที่เห็นมา คุณคิคว่ารางวัลมีอิทธิพลแค่ไหน สามารถปิดปากนักเขียนได้ไหม

รางวัลที่มีอิทธิพลมากจริงๆ คือซีไรต์เพราะยอดขายเยอะ ส่วนศิลปินแห่งชาติมีอิทธิพลไหม มันก็มี อาจจะเพราะว่ามีเงินเดือนด้วยมั้ง

ในชีวิตจริง ผมเคยเห็นนักเขียนที่ประจบเพื่อให้ได้รางวัล เคยเห็นมากับตา นักเขียนที่ไม่แสดงออกบางอย่างและแสดงออกบางอย่าง เพื่อวาดหวังรางวัล ผมเคยเห็น ไม่ว่าจากการเป็นนักเขียน การทำสำนักพิมพ์ หรือการอยู่ในวงการนี้มา ผมไม่เข้าใจว่าเขาทำได้ยังไง เราเห็นและเศร้า

ยืนยันว่ามีจริงๆ คนเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการรักศักดิ์ศรีตั้งแต่แรก มันเป็นไปตามสังคมองค์รวมที่เป็นสังคมแบบสิทธิธรรม แบบอุปถัมภ์ ฉะนั้น นักเขียนก็ไม่พ้นจากโซ่ตรวนของสังคมนี้ด้วย เพราะสังคมเป็นระบบบารมีอุปถัมภ์ อ้างต่อๆ กันมา อ้างอำนาจเหนือมนุษย์และไล่ลดหลั่นลงมา การอุปถัมภ์ต่อๆ มาจึงไม่ใช่สังคมที่ยึดถือว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คือความสำคัญอันดับหนึ่ง เรื่องนี้สำหรับเขาจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ในสังคมที่เห็นสิทธิเสรีภาพของมนุษย์มาเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องแบบนี้ใหญ่มาก  แต่ไม่ใช่สังคมไทย ของเราอย่างมากเป็นได้แค่เรื่องกอสซิบที่ทำประเจิดประเจ้อแล้วไม่ดี แต่ลับหลังทำกันเต็มไปหมด เป็นทุกระดับชั้น ตั้งแต่นักเขียนใหญ่ไปถึงนักเขียนใหม่

แล้วโดยส่วนตัว คุณคิดเรื่องรางวัลบ้างไหม

ผมไม่ชอบระบบรางวัลในประเทศไทยมาตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ เห็นเวลาประกวดชีไรต์ เขาไม่เคยพูดกันที่เนื้อหา พูดแต่นาย ก นาย ข ใครจะเข้าชิง นาย ก ทำอะไร นาย ข ทำอะไรซึ่งไม่เห็นมีสาระเลย ในข่าวสารที่เรารับมีแต่ นาย ก นาย ข ทำแบบนี้ คนเข้ารอบมีชื่อย่อนี้ มีแต่เรื่องแบบนี้ที่เป็นข่าว ไม่มีอะไรลึกซึ้งกว่านี้ ทั้งที่จริง เมื่อกล่าวถึงวรรณกรรมมันควรมีเนื้อหามากกว่านี้ จริงจังกว่านี้ แต่ไม่มี ผมไม่เคยส่งเพราะไม่อยากไปอยู่ในบรรยากาศนั้น เลยไม่ยุ่ง ไม่สนใจ

ตั้งใจไว้ชัดเจนเลยหรือว่าจะไม่ส่งประกวด

ตอนแรกแค่รำคาญ ไม่อยากยุ่ง ไม่ถึงกับไม่ตั้งใจว่าไม่ส่งเลย ไม่ได้ตั้งปณิธาน เพราะเราเป็นนักเขียนใหม่ เพิ่งมีผลงานเล่มสองเล่ม ไม่คิดอยู่แล้วว่าจะได้รางวัล แต่อยู่นานๆ ไป การไม่ส่งชิงชีไรต์กลายเป็นเรื่องแปลก ตอนแรกที่ผมไม่ส่งมีนักเขียนรุ่นพี่ทำให้ผมรู้สึกว่าการไม่ส่งเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนั้นผมเพิ่งมีหนังสือเล่มแรก ไม่ได้คิดว่าสำคัญ แค่ไม่ชอบบรรยากาศ ก็ไม่ส่ง ไม่คิดว่าจะได้ด้วยเพราะเรายังมาใหม่ แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องว่า มึงก็ส่งๆ ไปเถอะ จะซีเรียสอะไร ผมกลับรู้สึกว่าคนที่ซีเรียสคือพวกเขา ไม่ใช่เรา และตอนหลังผมพบว่าเป็นแบบนี้จริงๆ แม่งส่งกันทุกคนเลยว่ะ

ถัดจากนั้นผมเริ่มพิมพ์หนังสือ ผมยุ่งเกี่ยวกับรางวัลบ้างเพราะงานที่ผมพิมพ์นั้นนักเขียนอยากส่ง ผมเคยเข้าไปในบรรยากาศที่นักเขียนต้องยืนกุมกระโปกให้กรรมการชมในห้องเสวนาเวลาเข้ารอบ ผมเริ่มรู้สึกว่า.. คือพอเราอยู่นาน มีโอกาสได้เห็นรายละเอียดต่างๆ นานา ก็คิดว่าดีแล้วที่ไม่ยุ่ง และตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเด็ดขาดเลยในฐานะนักเขียน ส่วนฐานะสำนักพิมพ์ ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากยุ่ง ปัญหาคือมันอาจเป็นการบังคับนักเขียน ก็จะทะเลาะกันเปล่าๆ มีหลายครั้งแล้วที่ผมกับนักเขียนขัดแย้งกันเรื่องชีไรต์ หลายครั้งจนเราเบื่อแล้ว ช่วงหลังๆ ก็เลยคิดว่าใครอยากทำอะไรก็ทำ เรากันเฉพาะตัวเราออกมา

พอมาเคลื่อนเรื่อง 112 คุณได้เห็นวุฒิภาวะของนักเขียนไทยยังไงบ้าง

ผมคิดว่าโดยสัญชาตญาณมันทำให้เขาปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ ประเด็นสิทธิเสรีภาพมันปฏิเสธยาก แต่จะมีบางอย่างที่ขัดแย้งอยู่ เช่น เห็นด้วยเรื่องสิทธิเสรีภาพ เห็นด้วยในประเด็นว่าควรแก้ไขมาตรา 112 แต่มีปัญหากับคนเสื้อแดง นี่คือที่ผมรู้สึกว่าเขายังไม่เข้าใจ

วุฒิภาวะเรื่อง 112 เท่าที่เห็น ภาพใหญ่ๆ เห็นฝ่ายที่ไม่มาลง ฝ่ายตรงข้าม ผมไม่ถือว่าผิดความคาดหมาย แต่ฝ่ายที่พยายามเสนอตัวเองเป็นกลาง ฝ่ายที่เป็นเหมือนตัวกลางในวงการนักเขียน เช่น นายกสมาคมต่างๆ คนที่เหมือนกับมีบทบาท หรือทำงานอยู่ในกลไกที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนวงการ ไม่ทั้งหมดนะครับ เท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่ไม่มีความกล้าหาญ แต่ก็ไม่ผิดความคาดหมาย คนพวกนี้จริงๆ คือต้องการอยู่ในระบบสิทธิธรรมแบบเดิม แต่ไม่กล้าพูดดังๆ เวลาพูด จะพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพให้ดูดี สวยงาม เวลาเขียน เขียนวิจารณ์สังคมเต็มที่ แต่เวลาปฏิบัติให้ตัวเองยืนยันเรื่องนี้กลับไม่กล้า

นี่คือภาพใหญ่ ฉะนั้น ถ้าดูรายชื่อจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ทั้งนั้นเลยที่มาลง ผู้ใหญ่มีแค่ 4-5 คน

เขาอาจคิดว่าเผยแพร่ผ่านงานแปล งานเขียนก็พอ ไม่จำเป็นต้องมาพูดอีก

เขียนที่ไหนครับ เอารูปธรรมเรื่อง 112 ที่มีคนถูกจับไปหลายร้อยแล้ว ไม่เห็นคนพวกนี้พูด คนโดนอยู่เห็นๆ หลายกรณีมันอธิบายไม่ได้ เช่น อากงที่ถูกกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอสมีข้อความหมิ่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่น่าตกข่าว แล้วทำไมไม่พูด ไม่ยืนยัน ไม่แสดงออกไม่ต้องร่วมกับเราก็ได้ เอาที่อื่นก็ได้ แต่ที่อื่นก็ไม่มี

พูดตรงๆ นะ ความเสี่ยงมันน้อยกว่าที่มาลงชื่อพร้อมกันเยอะๆ ดีกว่าแสดงความเห็นเดี่ยว เขายังไม่กล้า การใช้คำว่าขี้ขลาดไม่เกินไปสำหรับพฤติกรรมแบบนั้น

ไม่มีใครว่า สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ขี้ขลาดหรอก ที่ไม่มาร่วมลงชื่อให้แก้ไข 112  แต่ไอ้คนที่เดี่ยวๆ ยังไม่กล้าแสดงออก รวมหมู่ก็ยังไม่กล้า

คุณคิดว่าคนเป็นนักเขียนต้องกล้า..

ต้องกล้าพูดเพราะมันแสดงให้เห็นว่าคุณมีจรรยาบรรณเรื่องความจริง

คือนักเขียนพวกนี้เขียนถึงสังคมทั้งนั้น วิจารณ์สังคมทั้งนั้น คนเคยวิจารณ์สังคมแรงๆ วิจารณ์นักการเมืองแรงๆ มันสะท้อนว่าอะไร เวลาเรากลับไปอ่านการแสดงความเห็นของคนพวกนี้ เราต้องรู้แล้วว่าคนพวกนี้มีข้อยกเว้น ก่อนหน้านั้นเราอาจไม่รู้ ตอนนี้เรารู้แล้ว นักเขียนพวกนี้ไม่พูดทั้งหมด นักเขียนเหล่านี้มีข้อยกเว้น และข้อยกเว้นนั้นเราไม่รู้เลยว่าคุณยกเว้นอีกกี่เรื่องกี่แบบ เราเห็นแน่ๆ แล้วว่ายกเว้นเรื่องหนึ่ง และอาจมีอย่างอื่นๆ อีกที่เขายกเว้น ฉะนั้น วิภาษวิธีของเขามันโมฆะ การด่านักการเมืองของเขามันโมฆะ อย่างที่ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พูด ถ้าคุณด่าอะไรแล้วคุณยกเว้น ข้อยกเว้นนั้นมันทำให้เราไม่รู้ว่าเรื่องอื่นมีข้อยกเว้นอีกไหม มันจึงไม่น่าเชื่อถือ หรือเชื่อถือไม่ได้ เป็นนักเขียน แต่ความน่าเชื่อถือไม่มี ก็จบ

คุณเป็นนักเขียน เขียนเรื่องปัญญา เรื่องนามธรรม อ้าง text ต่างประเทศ หลายๆ อย่างคงไม่มีคนตามไปดูหรอก แต่มันขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของคุณ ปัญญาชนไม่มีความน่าเชื่อถือ เราไม่รู้จะฟังไปทำไม ที่ใส่อยู่เหลือแต่หัวโขนแล้วไง พูดออกมาแต่ละคำไม่น่าฟังแล้ว ฟังแล้วก็ไม่จริงอีกต่อไปแล้ว การวิพากษ์ของเขา การด่าของเขาไม่จริงอีกต่อไปแล้ว

และเนื่องจากเรื่อง 112 เป็นหัวใจ เอางี้ก็ได้ มีสักคนไหม นักเขียนก็ได้ นักรัฐศาสตร์ก็ได้ นักกฎหมายก็ได้ อภิปรายให้ผมเชื่อหน่อยว่าเรื่อง 112 ไม่สำคัญในวิกฤติการเมืองไทย ยังไม่เคยเห็นใครอภิปรายประเด็นนี้ ถ้าเขามีเหตุผล อธิบายให้ผมฟังหน่อยว่าผมคิดไปเอง ผมคิดผิด ผมพร้อมจะฟัง คุณบอกมาเลยว่าเรื่องอื่นสำคัญเรื่อง 112 ไม่สำคัญ อยากฟังมาก

มันไม่มีไง

คนเหล่านั้น นักเขียนเหล่านั้น ลึกๆ เขาก็ยอมรับว่า 112 เป็นปัญหาใหญ่ ผมคิดว่าคนอย่างหมอประเวศ วะสี หรือคุณอานันท์ ปันยารชุน ถ้าไม่ยอมรับว่าวิกฤติการเมืองครั้งนี้ เรื่อง 112 มีส่วนสำคัญ เขาจะออกมาพูดอย่างที่พูดในรายการตอบโจทย์ไหม การทำแบบนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ฝ่ายอนุรักษนิยม ผมว่าจุดยืนสองคนนี้เป็นอนุรักษนิยมที่มีเหตุผล พวกเขายังยอมรับว่าเรื่องนี้สำคัญ

มีคนชอบถามว่าการแก้ 112 แล้วจะทำให้เขียนหนังสือดีขึ้นอย่างไร เกี่ยวอะไรกับการเขียน ถ้าไม่แก้จะเขียนหนังสือได้ไหม

ถ้าไม่แก้ เขียนได้เหมือนกัน ก็อย่างที่เขียนๆ กันอยู่ทุกวันนี้

ถ้าไม่แก้ เขียนอยู่บนความเสี่ยง อย่างที่เป็นอยู่ กับอีกอย่างคือไม่กล้าเขียนเลย

คนเขียนเสี่ยง ต้องระมัดระวังมาก กับอีกส่วนคือไม่พูดเลยดีกว่า ปลอดภัย

เอาตรงๆ นะ เรื่องการเมืองไทยสังคมไทย 4-5 ปีที่ผ่านมามันจะอภิปรายไปให้ถึงรากได้ยังไง ถ้าไม่แก้กฎหมายนี้ ปัญหาเรื่องแหล่งอำนาจที่เขายังอ้างสิทธิธรรมกษัตริย์อยู่ ถ้าเราไม่มาเถียงให้ถึงรากเลยว่ากษัตริย์กับคนทั่วไปมันเท่ากันไหม ในแง่ของความเป็นมนุษย์สมัยใหม่ เราจะอภิปรายได้ไหม ถ้าไม่แก้ โดยที่การบังคับใช้กฎหมายยังเป็นไปอย่างกับอยู่ในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราช โทษร้ายแรงกว่าสมัย ร.5 อีก

ไม่มีทาง มันจะเขียนยังไง …ก็คงได้แหละ เขียนได้เท่าที่เขียนได้ เขียนไปหลบไปแบบตอนนี้

งานเขียนเฟกหมด ?

เฟกสิ สู้ไม่เขียนซะดีกว่า ที่พูดนี่คือการเขียนถึงปัญหาตรงๆ ถ้าโดยอ้อมมันก็เฟก เพราะ 112 เป็นกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่โดยตัวมันเองเป็นแหล่งของสิทธิเสรีภาพทุกอย่าง หมายความว่าโดยหลักการแล้วคุณจะมีสิทธิสตรีไม่ได้หรอก ถ้าสิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ไม่มี นักศึกษาต้องการเสรีภาพในการแต่งเครื่องแบบ เสรีภาพคุณมาจากไหน ลอยมาจากฟ้าหรือ คนเข้าคิวซื้อของ แล้วมีคนลัดคิว คุณบอกว่าเขาละเมิดสิทธิคุณ คุณด่าเขา สิทธิคุณมาจากไหน สิทธิที่ไม่ให้ถูกลัดคิวมาจากไหน

สิทธิแม่งทุกอย่างที่อ้างๆ กันอยู่ในสังคม สิทธิของสลิ่ม สิทธิของนักเขียน สิทธิทุกอย่างในชีวิตประจำวันของทุกคน คุณเขียนหนังสือ เขียนคอลัมน์ เขียนไปเถอะ แม่งต้องมีสักวันที่คุณเขียนเรื่องสิทธิ คนขับรถปาดหน้าบ้าง ฝ่าไฟแดงบ้าง ทุกอย่าง ทันทีที่คุณอ้างถึงสิทธิเสรีภาพในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ สิทธิเหล่านั้นมันต้องอยู่บนสิทธิเสรีภาพพื้นฐานทั้งนั้น

พื้นฐานคือทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน แล้วทุกคนเอาสิทธินั้นมารวมกันเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และรัฎฐาธิปัตย์จึงคุ้มครองทุกคนในทุกๆ เรื่อง สิทธิอื่นๆ ก็งอกมาจากสิทธินี้ทั้งนั้น ถ้าคุณไม่เชื่อในสิทธินี้ สิทธิอื่นของคุณเป็นโมฆะทุกอย่าง

คุณอย่ามาอ้างเลยว่าคนลัดคิวคุณ ในเมื่อคุณไม่เชื่อในสิทธิพื้นฐานว่าถูกละเมิดไม่ได้ อ้างไม่ได้ว่าไอ้นี่ลัดคิวฉัน ฉันมาก่อน อ้างไม่ได้ ..ก็กูจะลัด มึงมีสิทธิอะไร สิทธิมึงมาจากไหน ก็คุณโมฆะไปแล้ว คุณไม่เชื่อเรื่องสิทธิพื้นฐาน

ฉะนั้น 112 เป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานในความเป็นมนุษย์ในรัฐสมัยใหม่ คุณต้องยอมรับข้อนี้ก่อน ถ้าสิทธิพื้นฐานถูกละเมิดและคุณยอมให้ละเมิด แสดงว่ามันไม่มีอยู่จริง ไม่มีอยู่จริงแล้วมึงจะมาอ้างสิทธิอะไรเล่า เรื่องต่อคิว เรื่องทุกเรื่องที่คนทุกวันนี้อ้าง

ไปอ่านเถอะ หนังสือเล่มไหนก็ได้ เดี๋ยวก็ต้องเจอเรื่องสิทธิเสรีภาพของการทำอะไรสักอย่าง รวมทั้งสิทธิสตรี แต่งตัว ต่อคิว โมฆะหมด ก็มันไม่มีสิทธิของมนุษย์อยู่จริง แล้วมึงจะมาข้างสิทธิบ้าบออะไร ไม่มีแหล่งให้อ้าง ต้องไปอ้างสิทธิธรรมแบบโบราณไง ฉะนั้น ก็ไม่ต้อง มันล้มเหลวหมด เรื่องสิทธิที่พูดกันอยู่เฟกหมด เขียนอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เฟกหมด เพราะคุณทำลายเหตุผลพื้นฐานไปแล้ว

พอไล่ถามกันไปจริงๆ ว่าทำไมผมต้องเคารพสิทธิคุณ สิทธิคุณมาจากไหน เพราะมันผิดกฎหมาย กฎหมายมาจากล่ะครับ มาจากรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญมาจากไหนล่ะครับ มาจากสภา สภามาจากไหนล่ะครับ มาจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งคืออะไร คือการแสดงเจตจำนงของหนึ่งคน หนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียง เท่าเทียมกัน หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงมาจากอะไร มาจากคอนเซ็ปต์ที่ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน พร้อมกับสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมากกว่าใคร มนุษย์ทุกคนเอาสิทธินั้นมารวมกันเป็นสิทธิใหญ่ เพื่อให้สิทธิใหญ่นั้นปกปักรักษาสิทธิของทุกคน

นี่คือคอนเซ็ปต์

ถ้าไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์นี้และยังยอมรับเรื่อง 112 ยอมรับเรื่องการยิงคนบนถนน ยอมรับเรื่องะไรก็ตามแต่ที่มันทำลายสิทธิพื้นฐานที่เป็นต้นกำเนิด หรือที่ไม่ยอมรับการเลือกตั้ง ที่ยอมรับรัฐประหาร การยอมรับรัฐประหาร การไม่ยอมรับการเลือกตั้ง การเรียกร้องนายกพระราชทาน ทุกเรื่องคือไม่ยอมรับแหล่งกำเนิดของอำนาจอันนี้ ที่มาจากสิทธิทุกๆ สิทธิ

พวกที่ไม่ยอมรับ คุณเอาอะไรมาอ้างสิทธิ เลิกพูดเรื่องสิทธิได้แล้ว ในเมื่อสิทธิคุณไม่โยงกับอะไร สิทธิคุณคือระบบโบราณ ใครใหญ่ก็มาสู้กันแบบการเมืองโบราณ ใช้ทุกวิถีทาง เอาแบบนั้นไหม ไม่ต้องเคารพสิทธิอะไรกันแล้ว ใครใหญ่กว่า เหนือกว่าก็เอาเลย เอาสิใครเหนือกว่าคือคนถูกต้อง อำนาจคือกฎหมาย

เกิดผลอะไรน่าพึงพอใจไหม หลังจากออกมาเป็นคนขับเคลื่อนเรื่องนี้

เรื่องสิทธิพื้นฐาน มันอาจจะพื้นฐานจนหลายฝ่ายหลงลืม การเคลื่อนไหวเรื่องนี้โดยการพูดเรื่องสิทธิ ช่วยกระตุ้นให้เรายังจำได้ ทุกคนรู้ นักวิชาการหรือใครๆ ก็รู้ แต่มันอาจจะพื้นฐานเสียจนลืมไปแล้ว เรามาพูดในมุมที่เขาไม่พูด ผมว่าอย่างน้อยมันก็เข้าถึงสามัญสำนึกของคนจำนวนหนึ่ง แล้วถ้าพูดเรื่อง 112 แทนที่จะถกเถียงกันเรื่องความไม่จงรักภักดีซึ่งมันไม่ไปไหน กล่าวหากันว่าใครไม่จงรักภักดี หันมาพูดกันที่เหตุผลตรงๆ เลยว่าเพราะอะไรถึงต้องแก้ ดึงกลับมาพูดในพื้นที่ของเหตุผลมากที่สุดซึ่งเข้าใจว่าดึงได้บางส่วน อย่างน้อยทำให้พูดได้ด้วยเหตุผลมากขึ้น แทนที่จะหยุดอยู่แค่จงรักภักดีหรือไม่จงรักภักดี

การออกมาพูดเรื่องนี้ การทำจดหมายถึงเพื่อนนักเขียนส่งผลกระทบกระเทือนเยอะกว่าที่คิดไว้ แต่แรกไม่คิดว่ามีคนออกมาสนับสนุนมากขนาดนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่คิดว่าจะมีคนออกมาต่อต้านมากขนาดนี้เหมือนกัน

จากนี้ไปคุณตั้งใจว่าจะเอาไงต่อ ขับเคลื่อนอะไรอีกไหม

ผมคิดว่าควรจะพูด ควรอภิปรายเรื่องสิทธิเสรีภาพพื้นฐานจนคนเห็นประเด็นสำคัญ ในมุมมองผมนะ ต้องทำให้คนจำนวนมากเข้าใจเรื่องสิทธิพื้นฐานก่อน ถึงมีความเป็นไปได้ที่จะแก้กฎหมาย ถ้าไม่เข้าใจมันยาก เพราะนักการเมืองคงไม่กล้าแก้ แต่ถ้าเข้าใจแล้วสังคมพูดด้วยเหตุผลแล้ว และต่อให้มีกระแสท้วงติงออกมา ผมเชื่อว่ากระแสเอาชนะเหตุผลไม่ได้ ในที่สุดกฎหมายก็แก้ได้ แต่ถ้าเหตุผลหรือความเข้าใจเรื่องนี้ไม่มากพอ คนอาจจะใช้ความรุนแรง ใช้ความจงรักภักดีเข้ามารบกวนการแก้ไข ฉะนั้น ต้องทำให้เหตุผลและความเข้าใจอยู่เหนือกว่าความคลั่ง ความจงรักภักดี ให้คนกลับมาพูดเรื่องนี้ด้วยเหตุผล ด้วยความเข้าใจ

ทำด้วยวิธีไหน

ในฐานะนักเขียน เบื้องต้นผมก็คงเขียน อย่างอื่นแล้วแต่จังหวะ พอทำอะไรได้ก็ทำ

รู้สึกอันตรายหรือกังวลใจอะไรไหมที่มาจับเรื่องนี้

พยายามที่จะไม่ไปล้ำเส้นความรู้สึกให้มาก ผมเข้าใจว่าสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้สึก ต่อให้เราพูดถูก การพูดถูกนั้นไม่ใช่ว่าทำได้ ผมพยายามระวัง แต่ไม่ระวังจนหลักการเหตุผลมันเพี้ยน

ถามว่าเสี่ยงไหม ก็มีบ้าง แต่ไม่ถึงกับน่ากลัว

เข้าไปอ่านพวกที่มาเขียนด่าบ้างหรือเปล่า

ผ่านๆ และพบว่าไม่ค่อยน่าสนใจ เรื่องคำคน คำขู่ มีตลอดในสังคมอินเทอร์เน็ต เห็นจนชิน ผมตามเรื่องนี้มา 3-4 ปี ก็ถือว่าเห็นมานาน อย่างอาจารย์สมศักดิ์ก็โดนมาก่อน มีคนด่าแรงๆ ด่ากะเอาให้ตายซึ่งถ้าอาจารย์สมศักดิ์ยังปลอดภัย ผมก็ไม่น่าจะกังวลมาก

โลกอินเทอร์เน็ตเป็นปฏิกิริยาทันที รู้สึกอะไรตอนนั้นก็เขียนเขียนแรงๆ ตามอารมณ์ แต่ในตลาด ตามถนนหนทางไม่ขนาดนั้น และเราก็ไม่ใช่คนดังมาก เดินถนนยังไม่เคยถูกคุกคาม

คิดว่าจะลดราวาศอกลงหรือเดินหน้าลุยต่อ

ต้องดูการบังคับใช้กฎหมายด้วย แล้วดูว่าคนที่ถูกจับหรือคดีเป็นยังไง แนวโน้มเป็นยังไง ถ้าดีขึ้น ก็ดูไป ถ้าเลวร้ายลงก็คงต้องรณรงค์ให้หนักขึ้น ว่าไปตามเหตุการณ์

ไม่เลิก ?

อยู่ที่ว่ามีประเด็นใหม่ด้วยไหม ถ้าพูดซ้ำๆ ก็เบื่อ ให้คนอื่นพูดบ้าง เราซัพพอร์ทดีกว่า อะไรที่พูดแล้วคงไม่พูดซ้ำๆ

 

nandialogue

 

nandialogue

เรื่องและภาพ: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

You may also like...