nanjournal
interview

‘ส.ส.ก้าวไกล’ มาทำอะไร ‘ที่น่าน’

เราคิดว่าเป็นหน้าที่ ต้องติดตาม จดบันทึกปากคำของนักการเมือง พวกเขาพูดอะไรกับประชาชน วิสัยทัศน์น่ารับฟังไหม มีส่วนไหนบ้างที่เป็น pearl of wisdom กระทั่งพูดแล้ว สัญญาแล้ว ดีแต่พูดหรือเปล่า

เราคิดว่าเป็นหน้าที่ ต้องรับฟัง จดบันทึกคำร้องทุกข์ของชาวบ้าน ไม่เดือดร้อนจริงๆ พวกเขาไม่พูดหรอก

ประชาชนของเราถูกทำให้กลัว–เงียบ–ยอมจำนน ถึงวันหนึ่งเมื่อมันไม่ไหว ตัดสินใจลุกขึ้นมาส่งเสียง เรายินดีเปิดพื้นที่นี้สนับสนุน ช่วยกันส่งเสียง

 

nanjournal

 

“ปิดเทอม” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลส่งมือมาสัมผัสระหว่างตอบคำถาม ก่อนขึ้นเวที “ถ้าไม่มาช่วงนี้จะมาช่วงไหน”

“เตรียมเลือกตั้งใหญ่หรือเปล่า”

“พูดยาก ..เป็นไปได้หมด อาจจะกลางปีหน้า”

สองสามวันก่อน ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็มาเมืองน่าน แต่ไม่มีเวทีสาธารณะ สายๆ ของวันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม ถึงคิวของก้าวไกล น่าสนใจไหมละว่าการชิงไหวชิงพริบลงพื้นที่ในระยะใกล้เคียงกันเช่นนี้สะท้อนเกมแบบไหน อะไรกำลังจะเกิดขึ้น

ข้อดีคือมันเป็นโอกาส เป็นพื้นที่เปิดให้ประชาชนมาพบพรรคการเมือง คุยแลกเปลี่ยนปัญหา สร้างไดอะล็อกและทางเลือกใหม่ๆ

งานจัดที่ลานข้างร้านกาแฟอะเมซอน ตรงข้ามวัดภูมินทร์ มีผู้เข้าร่วมราว 30 คน แบ่งได้สองกลุ่มคร่าวๆ คือผู้อาวุโสเสื้อแดง กับนักเรียนหนุ่มสาวเยาวรุ่น สองกำลังหลักที่เป็นมวลชนของพรรคอนาคตใหม่ หรือ ‘ก้าวไกล’ ในปัจจุบัน

 

nanjournal

 

ชัยธวัช ตุลาธน, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และ รังสิมันต์ โรม พร้อมแล้ว เปิดเวทีด้วยการให้คนน่านพูด

“ผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีความคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้นมากกว่านี้ ในเรื่องด้านการศึกษา ยุคโควิด นักเรียนบางคนไม่มีความพร้อมเรื่องอุปกรณ์ แต่โรงเรียนให้เด็กเรียนออนไลน์และเช็กชื่อ ก็เท่ากับว่านักเรียนคนนั้นจะต้องขาดเรียนไป

“อีกเรื่องที่ผมอยากจะฝาก ส.ส. ทั้งสอง เผื่อว่าจะนำไปอภิปรายในสภาต่อ ผมเคยร่วมจัดม็อบในเมืองน่าน มีเด็กนักเรียนบางคนมีความคิดที่อยากแสดงออก แต่ทางโรงเรียนกดดัน ไม่ให้ออกมา อยากจะหาวิธีแก้ไขปัญหาแบบนี้ภายในโรงเรียน จะทำได้อย่างไร เพื่อให้นักเรียนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น”

 

nanjournal

 

เสรีภาพและเวลาที่ถูกปล้นชิง

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร บอกว่าการกระจายอำนาจเป็นประเด็นที่ฝ่ายรัฐพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด เพราะครูจะเป็นมือไม้ในทุกๆ เรื่อง สังเกตไหมว่าหน้าที่ของกระทรวงอื่นแท้ๆ ก็ให้โรงเรียนเป็นคนทำ เช่น สำรวจยาเสพติดซึ่งเป็นงานของกระทรวงยุติธรรม กกต. ก็มาให้โรงเรียนส่งเสริมประชาธิปไตย ส่งเสริมไปส่งเสริมมา ปรากฏว่ากลายเป็นลิดรอนประชาธิปไตย

“อีกปัญหาใหญ่ คือหลักสูตรที่บอกว่าลงเรียนเหมือนเดิม การเรียนเหมือนเดิม ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ปัญหาคือลงเรียนเหมือนเดิมแล้วเรียนเยอะด้วย พอเรียนเยอะปุ๊ปเกิดปัญหาคือเด็กไม่มีเวลา ผมถามว่าครูอยากใช้ความคิด สร้างสรรค์มั้ย เด็กอยากใช้ความคิดสร้างสรรค์มั้ย ก็อยาก แต่ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรามีเวลา ถ้าไม่คืนเวลาให้เด็ก เด็กจะไม่มีเวลาไปเรียนรู้ การเรียนแบบยัดเยียด คุณค่าที่แท้จริงมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง เรากำลังสู้เรื่องนี้ ต้องลดชั่วโมงเรียนเพื่อเปิดพื้นที่ความคิดสร้างสรรค์ให้กับครูและนักเรียน

“พอมีเสรีภาพ ฝ่ายรัฐมักจะคอยจับผิด บางโรงเรียน ครูบางคน นักเรียนบางคน แล้วจับเอาปัญหาปัจเจก เช่น เจอเด็กบางคนซึ่งอาจจะไม่ตั้งใจเรียน ครูบางคนที่ไม่ตั้งใจสอน แต่ครูส่วนใหญ่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ไม่ดูนะ แต่จะจับแค่ครู แค่เด็กบางคน แล้วบอกว่า นี่ไง พอให้เสรีภาพแล้วก็ขี้เกียจ ผมบอกว่าเอาเปอร์เซ็นต์มาคุยกันก่อน ถ้ามีปัญหาก็แก้เป็นปัจเจกๆ ไป แต่ภาพใหญ่คือเสรีภาพในการสอน เสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพในการเรียนรู้มันต้องมีอยู่ สิทธิเสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ของทั้งครูและผู้เรียน เราไม่ได้เรียกร้องให้แค่เด็ก แต่เรียกร้องให้ครูด้วย ไม่ใช่แค่เด็กถูกบูลลี่จากอำนาจนิยม ครูก็ถูกบลูลี่จากอำนาจนิยมเหมือนกัน”

ส.ส. วิโรจน์ ลงท้ายรอบแรกเรื่องเศรษฐกิจว่าหมดยุคที่จะฟื้นฟูด้วย mega project อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาต้องใช้เศรษฐกิจท้องถิ่น ต้องปรับกำลังซื้อเข้าไปที่เศรษฐกิจท้องถิ่นให้ได้ จะหวังให้มีเงินก้อนใหญ่ รอไม่ไหวแล้ว ตายก่อน ภาระวันนี้มันปะล่ำปะเหลือแล้ว

 

nanjournal

 

รายจ่ายเพิ่ม รายได้ลด

รังสิมันต์ โรม กล่าวว่าการเรียนออนไลน์เป็นเรื่องที่ไม่ได้กระทบแค่กับนักเรียน แต่กระทบถึงพ่อแม่ เพราะเวลาลูกเรียนอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ต้องอยู่ด้วย การประกอบอาชีพต่างๆ ก็ขาดหาย ได้รับผลกระทบ สถานการณ์โควิดแบบนี้เงินหายาก แล้วยังไม่สามารถประกอบอาชีพได้เต็มที่ ทุกอย่างมันแย่ไปหมด 

“ผมมีโอกาสคุยกับนักเรียนหลายคน เขายกตัวอย่างที่ฟังแล้วสะเทือนใจ เวลาเขาเรียนสังคม คณิตศาสาตร์ มันอาจเพียงพอที่จะคุยออนไลน์ได้ แต่มีบางวิชาที่ต้องเข้าแล็ป เขาจะผ่ากบยังไง ใช้กล้องจุลทรรศน์ยังไง แล้วบางคนไม่มีอินเทอร์เน็ต ต้องไปเช่าบ้านใหม่ จ่ายค่าน้ำค่าไฟเพิ่ม ยังไม่นับว่าไฟมันติดๆ ดับๆ กลายเป็นว่า การเรียนออนไลน์ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หารายได้ได้น้อยลง สิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงการศึกษาคือพังทลาย

“เราใช้เวลาตั้งแต่อนุบาลจนถึง ป.ตรี 19 ปี แต่ตอนนี้เรากำลังเสียเวลากับการเรียนที่ไม่มีคุณภาพอยู่ 2 ปี ตั้งแต่โควิดเข้ามา คำถามก็คือว่า การศึกษาที่เป็นไปตามมีตามเกิดแบบนี้ เราจะได้ผลผลิตแบบไหน ผมว่าทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าวันนี้การศึกษาไม่มีคุณภาพ ก่อนโควิดไม่มีคุณภาพอย่างไร ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่

“สุดท้ายถ้าเราอยากจะแข่งขันกับประเทศอื่น หรืออยากไปทำงานต่างประเทศ อยากทำงานแล้วได้เงินเดือนเยอะๆ การเรียนรู้ด้วยตัวเองคือทางออกที่ดีที่สุด มันกลายแบบนั้น ผมคิดว่ามันน่าหดหู่”

รังสิมันต์บอกว่าที่ผ่านมาเราถูกหลอกว่าประเทศไม่มีเงิน ถูกหลอกว่าประเทศไม่สามารถสนับสนุนการศึกษาได้มากกว่านี้ ถ้าอยากเรียน เราต้องไปกู้ พูดกันอย่างตรงไปตรงมานะ ประเทศที่สามารถซื้อเรือดำน้ำได้ แม้ในยามวิกฤติ เรามีเงินเพื่อการศึกษาแน่นอน

“ทางออกของเรื่องนี้คือคุณต้องใช้เงินให้มากขึ้นเพื่อการศึกษา ประชากรเราเกิดน้อยลง ถ้าคุณไม่สามารถพัฒนาทรัพยากรที่คุณมีอยู่ในตอนนี้ได้อย่างมีความหมาย ประเทศนี้จะไปต่อยังไง เรากำลังจะทำให้ทุกคนเป็นแรงงานราคาถูก ทั้งๆ ที่อัตราการเกิดมีแค่นี้เหรอ แล้วเราจะไปแข่งกับใครได้

“อุตสาหกรรมต่างๆ ย้ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน มันแสดงให้เห็นว่าเรากำลังถูกทิ้ง ดังนั้น หนทางจำเป็นที่ต้องทำตอนนี้คือใช้เงินลงทุนด้านการศึกษา ทำให้มีคุณภาพมากที่สุด สิงคโปร์เขาลงทุนกับการศึกษาเพราะนั่นคือทรัพยากรที่มีความหมายที่สุดของเขา ถ้าไม่ทำตอนนี้ เราจะยิ่งถูกทิ้งไปมากกว่านี้”

 

nanjournal

 

กดหัวให้หยุดคิด ปิดปากให้เงียบ

รังสิมันต์พูดถึงเรื่องเสรีภาพการแสดงออกว่าไม่ใช่ว่าเราไม่มีเลย เพียงแต่มีเท่าที่ครูอนุญาต และมันมีตราบเท่าที่ความเห็นนั้นตรงกันกับครูที่สอนเรา

“ที่ผ่านมานักเรียนนักศึกษามีบทบาททางการเมืองมาก เขารู้สึกถึงความล้มเหลวในการศึกษา เขารู้สึกว่าต่อไปนี้เศรษฐกิจต่างๆ ไม่ได้เป็นพื้นที่ของพวกเขา เรียนจบมาไม่รู้ว่าจะแข่งขันได้มั้ย คนรุ่นใหม่จำนวนมากตัดสินใจออกมาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง พวกเขาเรียกร้องถึงอนาคตที่ดีกว่า พวกเขาตัดสินใจในแบบที่คนรุ่นก่อนๆ ไม่เคยตัดสินใจ หลายคนเข้าร่วมการชุมนุม หลายคนเสียสละเอาตัวเองไปเสี่ยง ไปถูกจับดำเนินคดี มีเด็กรุ่นใหม่จำนวนมากถูกจับกุม ถูกยิงด้วยกระสุนยาง นี่คือการเสียสละ ด้วยอยากเห็นประเทศชาติที่ดีกว่า

“เราต้องยอมรับว่า ภายใต้โครงสร้างการเมืองปัจจุบัน มันไม่อนุญาตให้พวกเราคิด มันเป็นโครงสร้างที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราเงียบที่สุด ผมคิดว่ามันไม่มีทางเลือก มันคงต้องพูดต่อไป ทำต่อไป

“สมัยก่อนที่เราพูดถึงการปฏิรูปกองทัพ มันแทบจะไม่มีใครกล้าพูดเลย ไม่มีใครรู้สึกว่าพูดไปแล้วจะปลอดภัย แต่วันนี้ถ้าไม่พูดถึงการปฏิรูปกองทัพ พรรคการเมืองนั้นๆ จะกลายเป็นพรรคการเมืองที่ล้าหลังทันที ถ้าไม่พูดเรื่องการเกณฑ์ทหาร พรรคการเมืองนั้นเป็นพรรคที่ไม่ก้าวหน้า ไม่เท่าทันพี่น้องประชาชน ดังนั้น เราจำเป็นต้องสร้างกระบวนการของภาคประชาชน ในการคิด พูด วิจารณ์ เรื่องเหล่านี้ เพื่อทำให้เห็นว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องปกติ เราจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวต่อไป”

รังสิมันต์พูดถึงคนหนุ่มสาวว่า พวกคุณถูกพูดถึงอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นอนาคตของชาติ พวกคุณคือความหวังของประเทศนี้ แต่ความหวังหรืออนาคตของชาติแบบไหนถึงไม่สามารถให้คำแนะนำได้ว่าประเทศนี้ควรเดินหน้าไปอย่างไร ไม่สามารถตั้งคำถามว่าทำไมเงินภาษีของพ่อแม่เรา หรือ แม้กระทั่งเงินภาษีที่เราใช้ในการซื้อของต่างๆ ถึงถูกใช้อย่างไม่มีความหมาย

“เมื่อเจอโรงเรียนกดดัน เราจำเป็นต้องคุย ต้องบอกกับโรงเรียนว่าตามกฏหมายแล้วพวกคุณมีเสรีภาพ คุณมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามหรือให้คำแนะนำกับรัฐบาลได้ เพราะคุณคือคนที่ต้องอยู่กับประเทศนี้ ถ้าวันนี้คุณอายุ 16 ปี แล้วสมมุติจะอยู่ถึงสัก 70 ปีละกัน คุณยังต้องอยู่ประเทศนี้ถึง 54 ปี ฉะนั้น คุณคือคนที่ควรจะมีคำแนะนำให้กับรัฐบาลมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะคุณต้องอยู่กับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นของวันนี้ไปอีกนาน

“ผมคิดว่าการพูดคุยกับโรงเรียนอย่างมีวุฒิภาวะ อย่างมีเหตุมีผล เป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าโรงเรียนไม่ฟังจริง โรงเรียนไม่ยอมให้ใช้เสรีภาพจริงๆ พวกคุณมีสิทธิที่จะร้องเรียนมายังกรรมมาธิการที่ทำงานด้านนี้ เราเป็นสะพานที่จะเชื่อมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเสรีภาพของพี่น้องประชาชนจะถูกปกป้องรักษาและใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

 

nanjournal

 

ท่าทีแบงก์ชาติบอกอะไร

ชัยธวัช ตุลาธน ให้ข้อมูลว่าการประชุมประจำปีของแบงก์ชาติเมื่อไม่นาน มีการหยิบยกประเด็นม็อบคนรุ่นใหม่มาพูด เชิญอาจารย์จากรัฐศาสตร์ จุฬาฯ คือ กนกรัตน์ เลิศชูสกุล มาบรรยาย

ถามว่าทำไมแบงก์ชาติสนใจ ให้เวลา อยากศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้น

ชัยธวัชมองว่าเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับทุกมิติของสังคมไทย มันไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองอย่างเดียว มันเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจด้วย และถ้าสังคมไทยหาทางออกที่ลงตัวในเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าสังคมไทยไม่ยอมเปลี่ยนอะไรเลย มันจะพังกันหมด การเมืองไปต่อไม่ได้ การศึกษาไปต่อไม่ได้ เศรษฐกิจไปต่อไม่ได้

“อย่างที่คุณพิธาพูดในสภาว่า ถ้าเมื่อไหร่คุณมองอนาคตของชาติเป็นศัตรูของชาติ นั่นคือ เรากำลังทำลายสังคมของตัวเอง”

 

nanjournal

 

nanjournal

 

สาปส่งรัฐประหาร

พักช่วงจากก้าวไกล ไมค์ถูกส่งไปยังนักเรียนอีกครั้ง

เธอบอกว่าค่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพงเกินไป

เงิน 900 บาท สำหรับชาวบ้านยามนี้มันมีความหมาย

เศรษฐกิจแบบนี้ นักเรียนจำนวนไม่น้อยต้องเรียนแค่ ม.6 เพราะสถานะทางบ้านไม่พร้อม ทำให้ต้องออกไปจากระบบการเรียน ออกไปก็ไม่มีงาน หรือมี ค่าตอบแทนก็ต่ำมากๆ ทำให้อยากย้ายประเทศ และต่อไปสถานการณ์สมองไหลจะเป็นปัญหาใหญ่

ชาวบ้านอีกคนหนึ่งลุกขึ้นพูดว่าเขาเป็นกลุ่มคนชาติพันธุ์

“ผมไม่ใช่นกหัวขวานที่ท่านทั้งหลายจะต้องออก พรบ. มาคุ้มครอง เพราะกลัวว่าผมจะสูญพันธุ์ ผมไม่วันสูญพันธุ์”

สำหรับเขา ไทยแท้ๆ ไม่มี ทุกคนเกิดจากการผสมผสาน ไม่ควรแบ่งเขาแบ่งเรา

“ปัญหาต้นเหตุของรัฐไทยคือปัญหาโครงสร้างการบริหาร บวกกับลัทธิเต่าล้าหลังที่เรียกว่าลัทธิไดโนเสาร์มุดเข้าถ้ำ สองอย่างนี้รวมกันทำให้เกิดภาวะอำนาจรวมศูนย์ ทรัพยากรถูกจำกัดไว้กับคนเพียงหยิบมือเดียว

“ประเทศไทยปกครองด้วยระบบรวมศูนย์ ลูกผมเรียนจบ ต้องเข้ากรุงเทพฯ ทำไมเอาภาษีของเราไปสร้างกรุงเทพฯ จนล้น ขณะที่น่านเป็นจังหวัดเดียวที่ไม่มีถนนเลี่ยงเมือง ในชั่วโมงเร่งด่วน รถติดมาก”

ครูเกษียณบอกว่าสมัยนายกฯ ชาติชาย เราอยู่ดี กินดี เศรษฐกิจดี สมัยนายกฯ ทักษิณ เราอยู่ดี กินดี เรามีเงินเหลือในกระเป๋าเยอะ แต่สิ่งที่มันวนลูปอยู่ในสังคมไทยไม่จบสิ้นคือทหารออกมายึดอำนาจ

“เราช่วยกันแก้ข้อนี้ได้มั้ย ขออย่าให้มีการปฏิวัติรัฐประหารอีกเลย เพราะทำให้สังคมแย่ลง ทุกอย่างแย่ลง ทุกวันนี้เราไม่มีจะกิน ขอให้ท่านไปแก้กฏหมาย เขียนในรัฐธรรมนูญเลยได้มั้ยว่า ไม่ให้มีการปฏิวัติรัฐประหารอีก ประเทศเราจะได้พัฒนากันไปอีกไกล”

พ่อเลี้ยงเดี่ยวบอกว่าตนมีลูกสองคน คนแรกเป็นทอม อีกคนเป็นเกย์

“LGBT ทุกวันนี้เหมือนดอกไม้ที่ทำให้ท่านสวยงาม มีความสุข แต่พวกเขากำลังขาดปุ๋ย เหมือนโดนทอดทิ้ง ถามว่าพวกเขาไม่ใช่คนเหรอ”

 

nanjournal

 

nanjournal

 

รู้แล้วต้องรื้อสร้าง

รังสิมันต์ โรม บอกว่าทุกคนรู้ปัญหาหมด และหลายคนก็รู้วิธีแก้ แต่ที่ผ่านมาที่มันทำไม่ได้ เพราะโครงสร้างของประเทศมันไม่เอื้อจริงๆ

“เรารู้ปัญหาของถนน ว่าใช้ไปสักพักจะพัง ถนนแต่ละสายควรจะเชื่อมต่อกับเส้นนี้ๆ เรารู้ เชื่อมั้ยว่าข้าราชการหรือคนมีอำนาจเขาก็รู้ แต่ไม่ทำ เขาจะทำก็ต่อเมื่อมีอีเวนต์ หรือมีงานสำคัญของรัฐเท่านั้น ถึงจะทำ แล้วทำได้ดีด้วย

“เราพูดถึงปัญหาคอร์รัปชั่นในกองทัพ เราพูดถึงว่ากองทัพควรจะเป็นรั้วของชาติ ควรมีกองทัพที่เป็นมืออาชีพ ทุกคนรู้หมด แต่ที่ผ่านมา ทหารไม่เป็นรั้วของชาติและยังกลับมายึดอำนาจของประชาชน ก็เพราะโครงสร้างของประเทศมันเป็นแบบนี้

“เราพูดถึงตำรวจที่ควรจะเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่สุดท้ายเราก็เห็นว่าตำรวจจำนวนมากมาหารายได้กับประชาชน มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ

“เราพูดถึงครู อยากเห็นครูที่มีประสิทธิภาพในการสอน แต่สุดท้ายหน้าที่ของครูที่ทำกันจริงๆ ในวันนี้คืองานธุรการ หรือบางครั้งต้องพานักเรียนไปตามอีเวนต์ต่างๆ ที่รัฐบาลสั่งมา ยังไม่นับอะไรอื่นๆ ที่ต้องทำ แต่ไม่เกี่ยวกับการศึกษา

“ทุกอย่างเรารู้หมด แต่เสียงของประชาชนไม่เคยไปถึง เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่สามารถทำได้ ผมคิดว่าสุดท้ายเราจำเป็นต้องวางรากฐานประเทศกันใหม่ ทำยังไงให้เสียงของประชาชนดังที่สุด ซึ่งแน่นอน การจะทำให้เสียงของประชาชนดังที่สุด มันอาจจะต้องเริ่มตั้งแต่สภาต้องเป็นของประชาชน มันเป็นไปได้ยังไงที่เรามี ส.ว. มาจากการแต่งตั้ง 250 คน การเลือก ส.ว. 250 คน ต้องใช้ประชาชน 17 ล้านคน เลือก 

“แต่ ส.ว. ตอนนี้มีคนเลือกแค่สิบกว่าคนเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาของการมี ส.ว. 250 คน ทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวก กลายเป็นรัฐบาลได้ พรรคการเมืองที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์มีแค่สองพรรคการเมือง เสียงไม่ถึง 25% แต่เขาสามารถเป็นรัฐบาลได้ มีหน้าที่แก้ปัญหาของประเทศ แต่ไล่ประชาชนไปสวดมนต์

“เราต้องวางรากฐานกันใหม่ เพื่อให้มีรัฐบาลที่เป็นของประชาชน มีสภาเป็นของประชาชน ที่ผ่านมาอำนาจถึงแม้จะถูกเขียนว่าเป็นของประชาชน แต่มันไม่เคยเป็นจริง

“มันเป็นไปได้ยังไง ช่วงโควิดแบบนี้คุณเอาเงินไปซื้ออาวุธ เป็นไปได้ยังไงที่เรายังมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวนมหาศาล ขณะที่ประชาชนเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพยังไม่ได้เลย เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุด แต่เราก็ทำให้การใช้เงินวิกฤติไปมากกว่าเดิม ใช้เงินอย่างไม่เห็นหัวประชาชน

“ถ้าเรามีโครงสร้างการเมืองที่ดี เราสามารถเริ่มต้นประเทศที่ดีได้”

 

nanjournal

 

ทวงคืนสถานะเจ้าของตัวจริง

เลขาธิการพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน พูดสรุปว่าประเทศไทยวันนี้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้วหลายสิบปี แต่เรายังมีสถานะเป็นเพียงผู้ขออาศัยเขาอยู่ ผู้มีอำนาจปฏิบัติต่อเราเป็นเพียงคนมาขอเขาอยู่ ไม่ใช่เจ้าของประเทศ นี่เป็นปัญหาสำคัญที่เชื่อมเรื่องทั้งหมด ผู้มีอำนาจคิดกับเราแบบนี้ จะให้วัคซีนยังไง จะให้การศึกษายังไง ทุกอย่างถูกควบคุมจากศูนย์กลาง จะทำอะไรต้องขอนุญาตจากส่วนกลาง

“เราเคยมีรถไฟที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค แต่ไม่เคยพัฒนาอีกเลย เพราะเขาไม่ได้ออกแบบรถไฟไว้บริการประชาชน แต่เขาออกแบบไว้เพื่อดึงทรัพยากรเข้าสู่ส่วนกลาง เพื่อไปควบคุมคนตามหัวเมืองต่างๆ แล้วก็ดูดทรัพยากรกลับมา ขึ้นเหนือเอาไม้มา ลงใต้เอาแร่มา

“ที่เราพูดกันเรื่องกระจายอำนาจ สิ่งนี้แหละคือหัวใจ ที่เราบอกว่าต้องคืนอำนาจให้กับท้องถิ่น กำหนดการศึกษาได้เอง จะสร้างถนนที่ไหนกำหนดเอง เก็บภาษีได้เอง

“หลายคนบอกว่าปัญหามันมากมายขนาดนี้ จะแก้ได้เหรอ ผมบอกว่าช่วงเวลานี้มันเจ็บปวด มันทุกข์มากที่สุดในชีวิต แต่มันเป็นช่วงเวลาแห่งโอกาสมากที่สุดเหมือนกัน เป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์สังคมไทย เพราะเป็นช่วงเวลาที่เป็นไปได้ที่สุดแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทางโครงสร้าง เวลา 5-10 ปีต่อไปนี้เป็นช่วงเวลาที่จะตัดสินว่า อนาคตของประเทศไทยอีกร้อยปีสองร้อยปีข้างหน้าจะเป็นยังไง

“ขอให้พวกเรารวมกัน มีกำลังช่วยกัน มีความคิดช่วยกันออกความคิด มีทรัพยากรอะไรก็ช่วยกันออก แล้วอย่ากลัว ผมเชื่อว่าความคิดในสังคมนี้มันเปลี่ยนไปเยอะมาก นี่เป็นเวลาที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมันจะถอยหลังไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว มีแต่ต้องร่วมมือกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่มีอำนาจไหนศักดิ์สิทธิ์เท่ากับอำนาจของประชาชน”

เวทีเลิก วัยรุ่นหนุ่มสาวเข้าไปรุมล้อม ขอถ่ายรูปกับ ส.ส. โรม ดูไปก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากแฟนคลับรุมกรี๊ดนักร้องดารา เพียงแต่ว่านี่เป็นสนามนักสู้ เป็นนักการเมือง ซึ่งแต่เดิมเราจะคุ้นกับภาพเยอะๆ ยากๆ แบบผู้ใหญ่ โลกรุงรังขนบจารีตของผู้ใหญ่ เวทีการเมืองสังคมแบบนี้ ต่อให้กะเกณฑ์บีบบังคับเด็กวัยรุ่น อย่าหวังว่าพวกเขาและเธอจะมา แต่ภาพตรงหน้าก็บอกชัดเจน ว่านักการเมืองขยับย้ายมาเป็นขวัญใจไอดอลได้

ภายใต้ตะวันดวงเก่า ฤดูหนาวยังไม่มา แต่คล้ายเราสัมผัสได้ว่ามันมีสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง. 

 

nandialogue

 

nanjournal

You may also like...