interview nandialogue
interview

ตัวท็อปที่น่าน ถูกตบที่เตรียมฯ เติบโตจากอักษรฯ อินเตอร์ฯ กำลังสร้างตัวตนในอังกฤษ

“แปลว่าเพิ่มมากขึ้น” หญิงสาวบอกความหมายของชื่อที่อาม่าตั้งให้–แช่น

กันต์ฤทัย ธุระกิจเสรี อายุ 21 ปี นักศึกษาปี 3 คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัย Durham ประเทศอังกฤษ
ที่จริง เธอควรจะอยู่เมืองไทย เพราะก่อนหน้านั้นเรียนอยู่อักษรฯ อินเตอร์ ที่จุฬาฯ เผอิญว่าได้เข้าชมรมโต้วาที มีโอกาสถกประเด็นสังคมการเมืองมาก เลยตัดสินใจเปลี่ยนสาขาวิชาและย้ายประเทศ

เราเจอกันที่ห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ ระหว่างที่เธอหนีโควิดกลับมาอยู่บ้านเกิดกับพ่อแม่ เรียนออนไลน์ ช่วงปิดเทอมฝึกงานกับ The Matter และตอนนี้บินกลับอังกฤษไปเรียบร้อย

“แช่นมาอังกฤษหลังจากที่รัฐบาลคลายล็อกดาวน์ทั้งหมดมาแล้วหนึ่งเดือน ทุกอย่างเปิดเหมือนปกติ ยังมีคนติดเรื่อยๆ แต่คิดว่าอังกฤษผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดมาแล้วค่ะ ยอดผู้เสียชีวิตน้อยลงมากๆ และที่นี่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสประมาณ 70% ของประเทศแล้ว วัคซีนจองง่ายมากๆ ทำผ่าน website กระทรวงสาธารณสุข แค่ 3 นาทีเสร็จ หรือ walk-in ก็ได้ สามารถเช็คได้หมดว่าศูนย์ไหนใกล้บ้าน มีศูนย์ฉีดกระจายทั่วเมือง เมืองเล็กๆ บ้านนอกก็ยังมี ทำให้คนเข้าถึงได้จริงๆ รวมถึงฉีดให้ทุกคนจริงๆ ทั้ง homeless และ immigrant ตอนนี้ถึงมีคนติดวันละ 3 หมื่น แต่ 95% ที่ติดคือเหมือนเป็นไข้ 5-10 วันก็หาย ทำให้เห็นเลยว่าเมื่อมีวัคซีนดี เข้าถึงได้ทุกคน ทำให้ทุกอย่างค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิมได้ค่ะ ถ้าล็อกดาวน์ไปมา แต่ไม่มีวัคซีนก็ไม่ช่วยสถานการณ์ค่ะ

“ช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา รัฐบาลมี furlough scheme คือจ่ายเงินชดเชยให้ประมาณ 80% ของเงินเดือน ทำให้คนอยู่รอดได้ และที่ประทับใจคือการควบคุม covid ในมหาลัยค่ะ เพราะปกติมหาลัยจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อหลักเลย หลายที่จึงต้องมีมาตรการควบคุมโรค โดยที่ Durham มีซุ้มไว้ self swab ทุกวันกระจายทั่วเมือง ฟรีสำหรับนักเรียนทุกคน ตอนนี้กิจกรรมเกือบทุกอย่างบังคับให้นักเรียนโชว์ผล negative covid ที่ตรวจภายใน 48 ชม. ก่อนเข้าร่วม แสดงว่าในอาทิตย์นึง นักเรียนทุกคนต้อง swab อย่างน้อย 2-3 ครั้งไปโดยปริยาย นอกจากนั้นคนที่ทำงานในซุ้มไม่ต้องเป็นบุคลากรการแพทย์เลยค่ะ เป็นนักเรียนที่มหาลัยจ่ายค่า part-time ซึ่งทำให้ระบบ run ด้วยตัวเองได้โดยไม่ขาดแคลนบุคลากร”

นี่เป็นข้อความล่าสุดที่เธอสื่อสารมา

เช่นเดียวกับอันนี้

“กำลังจะเปิดเทอมค่ะ (4 ตุลาคม) ช่วงเดือนกว่าตั้งแต่กลับมาคือพยายามพักผ่อน ชาร์จพลังตัวเอง ด้วยการไปเที่ยวเมืองใหม่ๆ เดินเล่นในป่า กินของอร่อย หลังจากที่ฝึกงานติดกันหลายที่มากๆ ในไทย เนื่องจากแช่นอยู่ Durham ที่เป็นเมืองเล็กๆ ชีวิตประจำวันเลยค่อนข้าง slow life และสะดวก เปิดเทอมน่าจะยุ่งขึ้นมากๆ เพราะปีสุดท้ายต้องทำวิทยานิพนธ์ และหางาน แพลนว่าจะหางานในอังกฤษหลังเรียนจบ แต่ตัวเองเป็นคน work hard, play harder ค่ะ ว่าจะทำกิจกรรมควบคู่ไปเหมือนเดิม ปีนี้เพิ่งสมัครชมรมคายัค, ปีนเขา, debate และ enactus (เกี่ยวกับการทำโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม) คิดว่าจะทำกิจกรรมอาสาด้วยค่ะ เพราะที่มหาลัยมี partner กับหลายโครงการ ว่าจะไปอาสาช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากอัฟกานิสถาน กับอาสาช่วยจูงหมาเดินเล่น”

ส่วนถัดจากนี้เป็นบทสนทนาที่น่าน ก่อนจะบิน

 

interview nandialogue

 

ในฐานะที่เรียนและใช้ชีวิตมาหลายที่ ลองเปรียบเทียบหน่อยว่าจากน่าน เข้ากรุงเทพฯ แล้วสุดท้ายไปเรียนต่อที่อังกฤษ มันต่างกันยังไงบ้าง

มากๆ เลยค่ะ อย่างที่ผ่านมาเราเป็นแบบนี้ พอไปที่ใหม่ นึกย้อนว่าเมื่อก่อนเราเป็นแบบนี้เหรอ มันมีทางใหม่ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้มั้ย ที่น่าน ทำกิจกรรมบ่อย แต่ไม่ค่อยมีใครอยากให้เด่นดัง ใครเด่น อาจโดนนินทาเยอะ เล่าขวัญในน่าน คนส่วนใหญ่ชอบทำอะไรที่อยู่ในคอมฟอร์ตโซน เช่น ถามเพื่อนว่าจบแล้วไปไหน ทุกคนตอบเป็นแพทเทิร์นว่า มช. ก็งงๆ คิดว่าทำไมชีวิตต้องแพทเทิร์นขนาดนี้ มันมีอะไรมากกว่านี้ได้มั้ย อยากลองไปทางอื่นๆ บ้าง เราไม่อยากมีชีวิตแบบนั้น

พอเข้ากรุงเทพฯ พบว่าแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ในห้องมีตั้งแต่เด็กเรียน เนิร์ด แก่นเซี้ยว บางคนไปผับทุกคืน เด็กเตรียมฯ ไม่ใช่ภาพที่ทุกคนมอง แต่ละคนสนใจหลากหลายมาก ไม่บูลลี่กัน ถ้าในน่าน ใครชอบอะนิเมะ ชอบโอเปร่า คนล้อเลียน แต่ที่กรุงเทพฯ มันกว้างพอที่จะให้เป็นตัวเองและส่งเสริมกันด้วย รู้สึกสังคมเปลี่ยนไปมาก ที่น่าน เคยเป็นตัวท็อปของหลายด้าน พอเข้ากรุงคือเหมือนเริ่มใหม่ ทุกคนเก่งจัง เราคือใครกันแน่ เมื่อก่อนเราเก่งอังกฤษ เลขก็ได้ กีฬาสี คนก็รู้จัก เป็นรุ่นพี่ที่น้องๆ ชอบ แต่พอเข้าเตรียมฯ เหมือนสิ่งที่เคยมีมันหายไป รู้สึกอินซีเคียวร์ประมาณนึง เราคือใคร เราดีพอมั้ย

โต้วาทีภาษาอังกฤษ เพื่อนๆ เก่งมาก บางทีรู้สึกไม่มั่นใจเท่าคนอื่น ในห้องมีแก๊งนางฟ้า สวย เก่ง แต่เรามาจากน่าน เป็นบุคคลธรรมดา อาจจะแย่เชิงกดดันตัวเอง ไม่ใช่สถานการณ์จริง เครียด โทรฯ ร้องไห้กับแม่อาทิตย์ละครั้ง
เพื่อนหลายคนเรียนอินเตอร์มาตั้งแต่เด็ก ศัพท์อาจรู้เท่าๆ กัน แต่เขามั่นใจในการพูด ขณะที่เราประหม่านิดนึง ก็ใช้เวลาเป็นปี ค่อยสร้างความมั่นใจ อาศัยว่าเรียนรู้จากเขาได้ด้วย

ที่บอกว่าเด็กเตรียมฯ บางคนก็ไปผับแทบทุกคืน แช่นอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยมั้ย

ไม่ค่ะ หนูชอบกิน อยู่แถวสยาม เลิกเรียนก็ไปหาอะไรกินบ่อยๆ สมัยนั้นไม่ค่อยรู้จักคาเฟ่

ตั้งแต่โต้วาที ทำให้ introduce เราเข้าสู่ปัญหาสังคม

พอจำได้มั้ยว่าโต้วาทีมีหัวข้ออะไรบ้าง

หลากหลายค่ะ เศรษฐศาสตร์ ศาสนา การเมือง เช่น พวกองค์กรนานาชาติควรมองภาพผู้ลี้ภัยยังไง น่าสงสาร ถูกกระทำ หรือใช้ภาพปกติ มีฝ่ายเสนอ ฝ่ายค้าน คิดเตรียมมาพูด หรือบางทีก็มีหัวข้อว่าตึกที่รกร้างของนายทุน ควรเปิดโอกาสให้โฮมเลสเข้ามาอยู่มั้ย คือเราคิด โยง ได้หลากหลาย โฮมเลสควรได้สิทธิแค่ไหน เปิดหูเปิดตามาก ทำให้มองในมุมอื่นๆ บางครั้งเห็นด้วยกับฝ่ายนี้ พอฟังฝ่ายโน้น ก็เห็นด้วย เรื่องศาสนาในบางมุมที่คนทั่วไปไม่ค่อยพูด หรือเรื่อง LGBT สรุปว่ามันเปิดโลก

พอไปต่ออินเตอร์แล้วมันเป็นยังไงนะ

เพื่อนภาคไทยที่ดีเบตกันรู้สึกว่าคลิกกว่า เพื่อนในอินเตอร์ไม่ค่อยมีใครแอกทีฟ อย่างช่วงเลือกตั้ง เขาบอกว่าเลือกทำไม ยังไงประยุทธ์ก็ได้อยู่แล้ว นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่คิดว่าถ้าอยู่ต่อไปอาจจะเป็นที่ที่เราไม่สามารถเป็นตัวเอง หรือใช้แพสชั่นที่ดี สังคมตรงนั้นไม่หล่อหลอม เลยสมัครไปอังกฤษ โชคดีว่าสอบติดและพ่อแม่สนับสนุน

ถ้าย้อนทบทวน คิดว่าอะไรบ้างที่หล่อหลอมมาให้คิดแบบนี้ เป็นคนแบบนี้

แช่นเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่กดดันด้วย ให้อิสระด้วย พ่อทำงานรับเหมาก่อสร้างและเป็นประธานโรตารี่ จ.น่าน เขาพาไปออกต่างอำเภอเยอะ เอาของไปแจกบนดอย ทำให้เราชอบการเดินทาง สำรวจอะไรใหม่ๆ ได้เห็นโลกภายนอก เห็นคนที่อยู่ไม่เหมือนเรา เริ่มขบคิดนิดหน่อยกับสังคมรอบตัว

ตอนเด็กเรียนพิเศษเยอะ ชอบนะ สนุก แต่บางทีก็รู้สึกหนักเกิน อยากออกนอกห้อง เรียนพิเศษมาตั้งแต่ ป.2 ป.3 อังกฤษ วิทย์ คณิตฯ ไวโอลิน ขิม พ่อแม่ส่งไปเมืองนอก เรียนซัมเมอร์ ฝึกภาษา และปัญหาที่พบคือที่ไทยเรียนเยอะมาก จับเด็กเข้าไปนั่ง ประเคนความรู้ จำกัดเด็กมากกว่า แทนที่จะให้สร้างความเป็นตัวเอง เริ่มเห็นความต่างตั้งแต่ไปซัมเมอร์ ร้องไห้บนเครื่องบิน ไม่อยากกลับไทย

ไปไหนมา ทำไมเห็นขนาดนั้น

ไปออสเตรเลียสามอาทิตย์ ออกจากเมืองไทยไปใช้ชีวิตจริงๆ ที่ไม่ได้เรียนบ้าคลั่ง เหมือนเราได้สายตาใหม่ ไม่ได้เห่อของใหม่ แต่คิดว่าควรเป็นสิ่งที่เด็กทุกคนควรได้รับในการเจริญเติบโตจริงๆ มีอิสระในการคิด การเลือก

ที่ว่าถึงขั้นร้องไห้บนเครื่อง ไม่อยากกลับเมืองไทยนี่คือคิดถึงอะไรที่ออสเตรเลีย

เนื้อหากับบรรยากาศ เลือกวิชาเรียนเอง อ่านนิยายภาษาอังกฤษแล้วมานั่งถกกัน ทำอาหาร ฝึกทักษะ ที่ไทยมีตารางเรียนแปดวิชามาให้ อาจารย์อำนาจนิยม ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เด็กแสดงความคิดเห็น เสาร์อาทิตย์ ครูส่งไปเชียงใหม่ ลำปาง ขนกันไปทั้งห้อง นั่งรถทัวร์ไป เขาหวังดี อยากให้ไป แต่ไม่รู้จะได้อะไร เพื่อนบางคนโดดเรียนไปเที่ยวนิมมานฯ คือมันไม่โอเคทั้งระบบ เรียนเยอะๆ เพื่อชื่อเสียงโรงเรียน โฟกัสไม่ได้อยู่ที่เด็กแต่ละคน หนูอยากให้เบสออนนักเรียนมากกว่า ตั้งแต่ ม.2 เริ่มต่อต้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากเรียนแบบนี้ พอมาบวกกับสิ่งที่เชปมาตลอดคือชอบสำรวจอะไรใหม่ๆ ชอบขบคิดบ้าง เลยตัดสินใจสอบเข้าเตรียมฯ

ตอน ม.3 เคยชิงทุนไปเรียน ม.ปลายที่อังกฤษด้วย อยากไปเมืองนอก ไม่อยากอยู่เมืองไทยแล้ว

เป็นคนชอบตัดสินใจด้วยตัวเอง ตั้งแต่เข้าเตรียมฯ ได้ จากนั้นไม่ว่ากิจกรรมหรือการเรียนอะไรทุกอย่าง ตัดสินใจเองหมด โชคดีที่พ่อแม่ที่รับฟัง และให้เลือกเอง เลยค่อนข้างโตมาแบบอินดีเพนเดนต์ ไม่พึ่งพาใครมาก ต้องทำอะไรคนเดียว ลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องปรึกษา ไปซัมเมอร์บ่อยด้วย

คิดว่าใครที่มีอิทธิพลมากๆ เป็นคนสำคัญในชีวิต

พ่อแม่ ทั้งคู่ คนละแนว พ่อมีจุดยืนคล้ายกันเรื่องทำสิ่งที่ชอบ ที่มีคุณค่า ไม่เน้นเงิน ถ้าอยากทำงาน ให้ถามตัวเองดีๆ ว่าชอบมั้ย อย่าแคร์เรื่องเงินมาก เอางานก่อน พ่อแม่ปลูกฝังให้ช่วยเหลือตัวเอง และให้เห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์

คิดว่าหนังสือก็มีส่วน ชอบตัวละครผู้ชายๆ หน่อย ผจญภัย สำรวจ ชอบอิสระ ทุกการตัดสินใจให้คำนึงว่าเป็นตัวเราจริงๆ มั้ย อิสระจริงมั้ย หรือทำเพราะสังคมบอก

ตอนย้ายที่อยู่ใหม่ ทุกที่ ทำให้ทบทวนและเปลี่ยนแปลง ได้เลนส์การมองชีวิตใหม่ กล้าแสดงออกมากขึ้น อยู่เมืองไทย ถ้ากล้าทำอะไรหน่อย คนจะว่าอยากเด่นอยากดัง จริตดก แต่ข้างนอกไม่ใช่ การออกมานอกบ้านทำให้เราเห็นโลก เห็นเพื่อนต่างชาติ นานาชาติ สนใจความเป็นไปของโลกมากขึ้น

มันเหมือนยิ่งออกมาก็ยิ่งได้ตบตัวตน ที่น่าน ท็อปห้อง ท็อปรุ่น พอไปเตรียมฯ เจอคนเก่งเยอะมาก ถูกตบตัวตน ขณะเดียวกันก็รู้สึกแฮปปี้ เพราะไม่มีใครหมั่นไส้กัน มีแต่ซัพพอร์ท ความมั่นใจที่เคยมีถูกทำให้เข้าใจอย่างเป็นจริง โตขึ้นด้วย เคยเป็นที่หนึ่งมา และพบว่าโลกนี้มีคนเก่งกว่าเรามาก ควรพัฒนาตัวเอง ควรเรียนรู้จากคนอื่น เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลก ที่น่านอาจมีคนอินการเมืองไม่มาก แต่ที่เตรียมฯ คนมีความคิดหลากหลายมาก ตั้งแต่วันแรก เจอเพื่อนไม่มีศาสนา ไม่ยืนไหว้ ทั้งที่อาจารย์มาว่า เธอทำไมนั่นนี่

กรุงเทพฯ เมืองใหญ่ มันสอนให้เรายอมรับความหลากหลายของเพื่อน เปิดกว้าง ยิ่งพอไปอังกฤษ เจอเพื่อนที่ไม่เห็นเล่นอินสตาแกรมกันบ่อย ทำให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่ผ่านมาเราทำแบบนี้ไปทำไม ทำเพราะอะไร มันดีจริงๆ มั้ย หรือทำตามใคร

คิดว่าอังกฤษทำให้เห็นตัวเองชัดขึ้นและเป็นคนอินดีเพนเดนต์ อยู่คนเดียวบ่อย ทำให้รู้ว่าเราคิดยังไงจริงๆ กับสถานการณ์หนึ่ง

การเรียนที่อังกฤษเป็นยังไง

เมืองไทยเน้นเลกเชอร์ทีเดียว 3 ชม. ที่โน่นแค่ชั่วโมงเดียว ต่อวิชา ต่ออาทิตย์ อาจารย์สอนกระชับ มี seminar มี assign หนังสือให้เอาไปอ่าน แล้วมาถกในห้อง รู้สึกว่าเป็นการเรียนที่แลกเปลี่ยน น่าสนใจ มีเพื่อนจากฮ่องกง อินเดีย สิงคโปร์ โปแลนด์ สโลวาเกีย ฟิลิปปินส์

เข้าเรียนปี 2019 เจอโควิดเลยต้องบินกลับเดือนมีนาคม 2020 สรุปคืออยู่แค่หกเดือน เป็นช่วงเปลี่ยนนิสัย อยู่ไทยเฮฮากับเพื่อน extrovert อยู่ที่โน่นเปลี่ยนเป็น introvert เอนจอยกับการอยู่คนเดียว อ่านหนังสือ เดินเล่นรอบเมือง ชมนกชมไม้ มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น นิสัยที่เคยทำที่เมืองไทย ปรับ เล่นโซเชียลน้อยลง และตอนนี้ชอบการเขียนมากขึ้น มีอะไรในหัว อยากเขียนเล่า สนใจ อยากทำทั้งเขียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

ตอนเด็ก ตามพ่อไปขึ้นดอย สงสัยว่าทำไมเด็กดอยไม่มีข้าวมีน้ำกิน ทำไมชีวิตคนอื่นไม่เหมือนเรา เพราะอะไร แจกของไปแล้วหลายรอบ ทำไมชีวิตเขาไม่ดีขึ้น เพราะอะไร แต่ก็หยุดคิดแค่นั้น พอโตขึ้นเริ่มสนใจประเด็นพวกความเหลื่อมล้ำ การเมือง รัฐบาล สังคม อยากรู้จักโลกรอบตัวให้มากที่สุด อยากทำงานอะไรที่ส่งผลต่อชีวิตเรา และคนอื่นในทางที่ดีขึ้น ทั้งระยะสั้น ระยะยาว พอคิดแบบนี้มันก็หนีไม่พ้นว่าต้องสนใจเรื่องสังคมการเมือง

ตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ หนูกับเพื่อนตามข่าว เห็นกติกาไม่แฟร์ มี ส.ว. 250 คน ยังไม่นับกลโกงยิบย่อย ถึงเวลาเลือกตั้ง มีสิทธิ์ออกเสียง ต่อให้มันยังไม่ถึงฝั่งประชาธิปไตยจริงๆ แต่มีเสียงเราอยู่ในนั้นนะ การไปเลือกตั้งอย่างน้อยมันบอกว่าเราไม่เอาระบอบเผด็จการหรือกึ่งเผด็จการแบบเรา ต่อให้คุณอยู่อเมริกา ก็ต้องไปเลือกตั้ง เพราะเป็นการใช้สิทธิของเรา การเลือกคือบอกจุดยืน

รัฐบาลตอนนี้พูดได้มั้ยว่ามาจากการเลือกตั้ง

ไม่ใช่ค่ะ ถ้าจะบอกว่าเลือกตั้ง ก็ต้องบอกด้วยว่าเป็นการเลือกที่เขียนกฎกันเอง เล่นกันเอง

ยอมรับรัฐธรรมนูญ 60 หรือเปล่า

ไม่ เพราะว่า ส.ว. มีเสียงมากกว่าคนปกติเป็นล้านเท่า ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์

ตอนอยู่น่านยังไม่ได้ตามมาก แต่อยู่เตรียมฯ อย่างคนที่บอกไม่มีศาสนา ไม่แคร์ เออ น่าสนใจ ทำให้เริ่มคิดและตรวจสอบความเชื่อในสิ่งที่เราเคยเชื่อ ว่ามันจริงหรือเปล่า ค่อยๆ เห็นคนหลายมุมมากขึ้น ที่เปลี่ยนมากๆ คือตอนปีหนึ่ง เข้าชมรมโต้วาที ได้สาวไส้ ทำให้ได้รู้ข้อมูลมากขึ้นจริงๆ

หัวข้อไหนที่สาวไส้

มีโค้ชดีเบตมาเลกเชอร์ เขาชวนคุยว่าคนจนโง่ โหวตไม่เป็น โดนซื้อเสียงง่าย จริงๆ หรือ พอได้มาเข้าใจ เขาไม่ได้โง่ ไม่ได้โดนชักจูง เขาเอาประโยชน์ของเขา เมื่อก่อนคนพูดเยอะว่าคนเอาประโยชน์ตัวเองคือเห็นแก่ตัว แต่เรายึดโยงได้ ความต้องการเขามาจากอะไร เขาจน ถ้าใครมีนโยบายมาช่วย เขาก็เลือกสิ ลองเป็นเรา ถ้าเราจน เราจะไม่เลือกเหรอ

ทำให้ไปมองโครงสร้างลึกขึ้นๆ มากกว่าจะมาชี้นิ้วว่าคนจนมันโง่ รู้เรื่องโครงสร้างมากขึ้นแล้วทำให้เราเปลี่ยนมุมมอง จุดไฟด้วย เถียงกับที่บ้านด้วย

ที่บ้านฟังมั้ย

ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง เขาโตมาแบบนั้น เราพยายามอธิบายบางมุม เช่น LGBT เขาไม่ใช่คนผิดเพศ คนจนไม่ได้โง่ โครงสร้างกดทับเขาแบบนี้

เขาบอกนักการเมืองโกง นักการเมืองเลวกว่าทหาร

หนูบอก ถ้าประชาธิปไตยมันแย่ ช่วยกันแก้ที่ระบบ อย่างน้อยประชาธิปไตยเอื้อให้ตรวจสอบได้ ไม่ใช่มีปัญหาแล้วแก้ด้วยการลากทหารมาคุม

หลังๆ ขี้เกียจไปเปิดประเด็น ไม่อยากถูกย้อนว่าหนูเป็นเด็กอยู่ ไม่รู้เรื่อง

 

interview nandialogue

 

สายตาคนนอก นิสิตจุฬาฯ ไม่น่าจะสนใจการเมือง เป็นพวกคอนเซอร์เวทีฟอะไรทำนองนั้น คำพูดนี้มันจริงมั้ย

แล้วแต่คณะ ตอนนี้คนที่สนใจการเมืองและอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมีมากขึ้น อาจจะ 70 ต่อ 30 ดูกรณี เนติวิทย์ (โชติภัทร์ไพศาล) ชนะเลือกตั้ง ก็ชัดเจน เป็นสิ่งที่ดี

พวกที่อินมากคือรัฐศาสตร์ กับอักษรฯ สนใจการเมืองนะคะ ภาคไทยนะ อินเตอร์แล้วแต่คน บางคนสนใจแต่การเมืองต่างประเทศ ย้อนแย้งนิดนึง เด็กอินเตอร์เป็นแบบนี้ ตามกระแสต่างชาติ การเมืองไทยไม่สนใจ โดยรวมคิดว่าสนใจมากกว่า 60-70%

ที่เขาพูดกันว่า สลิ่ม คิดว่าความหมายของมันคืออะไร

หนูไม่แปะป้ายใคร ความคิดทางการเมืองควรสเปกตรัม ไม่ควรขาวดำ สลิ่ม สามกีบ แต่ให้วิเคราะห์สลิ่มในเชิงกว้างก็คงหมายถึงคนที่ชอบความคิดคอนเซอร์เวทีฟ มีเหตุผลบ้าง แต่ไม่ยอมฟัง ไม่ตกตะกอนต่อความเชื่อที่ตัวเองเคยมีอยู่ คือข้อมูลใหม่ไม่รับ หนูไม่บอกว่าข้อมูลใหม่ถูกทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาควรเปิดโอกาสให้มารีเฟลกต์มันบ้าง นี่ไม่ฟัง ไม่เอาเลย ไม่ตั้งคำถามกับความเชื่อของตัวเอง

แช่นเป็นสลิ่มหรือเปล่า

ไม่ใช่คะ

แล้วเป็นพวกไหน สามกีบหรือเปล่า

ไม่อยากระบุว่าเป็นพวกไหน ใจจริงหนูชอบแนวคิดสังคมนิยมหน่อยๆ ด้วยซ้ำ เอาที่แน่ๆ คือตั้งอยู่บนฐานคนเท่ากัน ทุกคนควรมีสิทธิ์มีเสียงในการคอนทริบิวชั่นต่อระบบเท่ากัน เชื่อในความเท่าเทียม อยากให้รัฐแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ

หนูเชื่อในเสรีภาพ แต่ฝ่ายขวาอาจบอกว่าถ้าทุกคนมีเสรี งั้นคนรวยทำอะไรก็ได้น่ะสิ เพราะเป็นเสรีภาพเขา ฉะนั้น เชิงเศรษฐศาสตร์ ควรมีการควบคุมระดับหนึ่ง พยายามกระจายทรัพยากร อาจเน้นรัฐสวัสดิการสังคมเหมือนสแกนดิเนเวีย เพราะคำว่าเสรีอาจทำให้คนแข็งแรงและมีทรัพย์มากกว่าไประรานคนไม่มีจะกิน

คิดเห็นยังไงกับเรื่อง ม.112

ควรยกเลิกค่ะ ไม่ควรมีใครที่วิจารณ์แล้วเขาคนนั้นต้องตาย ต้องโดนจับ

112 มีไว้ปกป้องสถาบัน กลุ่มอำนาจเก่าเท่านั้น ไม่ควรมีใครมีอำนาจขนาดนั้น สั่งเป็นสั่งตายได้ ยูนับตัวเองว่าเป็นสถาบันที่สำคัญ แล้วสิ่งที่สำคัญก็ต้องวิจารณ์ได้ ไม่ใช่ปิดไว้ มันย้อนแย้งมาก ในทางปฏิบัติ ไล่บี้คนอื่น ใครไม่ชอบหน่อย เอา 112 ไปป้ายเขา เป็นกฎหมายมาจากการใช้อำนาจล้นเกิน ไม่ควรมีกลุ่มไหนที่มีอำนาจแบบนี้

เชียร์ให้ยกเลิกมากกว่าแก้ ?

ใช่ งบกษัตริย์ปีละหลายหมื่นล้านก็ไม่เหมาะ เคยคุยกับเพื่อนบางคนที่อังกฤษ เขาบอกว่าควีนเจรจาเก่ง มีประโยชน์ด้านการทูต คนที่เอาสถาบันคือเขาเชื่อว่ามีประโยชน์ด้านการเมืองอยู่บ้าง แต่ที่ไทย การมีอยู่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ต่อใคร ด้านไหนบ้าง ในอังกฤษ เสียภาษีให้เขา เขาทำงานมีการทูตที่ดีขึ้น นี่ เราไม่รู้ว่าเอาเงินไปทำอะไร 

ตามข่าวสารเสมอ ?

ตาม เท่าความบันเทิง บาลานซ์กัน บันเทิงก็ดูสิ่งที่เกี่ยวข้องการเมือง ดู The Crown นิยายประวัติศาสตร์ ทำให้เข้าใจโลกตอนนี้ด้วย

อ่านอะไรเยอะ

ชอบพวกปรัชญา พวกประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่ประวัติศาสตร์จ๋าๆ เลยก็ไม่ชอบอ่าน

อ่านภาคภาษาอังกฤษมากกว่า ?

ค่ะ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเล่ม แฮปปี้กับการหาลิสต์ใหม่ๆ มาอ่าน

สนใจปรัชญานี่คืออ่านอะไร

ชอบ At the Existentialist Cafe ที่รวม Jean Paul Satre, Albert Camus, Simone de Beauvoir ไว้ในเล่มเดียว ชอบตั้งคำถาม อะไรคือความหมายชีวิต เกิดมาทำไม น่าสนใจ ตรงใจ เช่น คนเรากระวนกระวายเพราะคิดหาความหมายให้ตัวเองตลอดเวลา หรือ คนจนอาจฝันไม่ได้เท่าคนรวยเพราะข้อจำกัดในชีวิต

รู้สึกว่าน่าสนใจ มีจุดที่ส่งเสริมการวิพากษ์วิจารณ์

สนใจเรียนภาษาใหม่อีกมั้ย นอกจากสเปน

ยังค่ะ แต่อยากกลับไปเรียนสเปน อยากทบทวน สนุกดี สวยดี อยากกลับมาใช้ได้อีก

ภาษาที่สองที่สามสำคัญแค่ไหนกับคนทุกวันนี้

ภาษาเป็นโบนัสมากๆ โดยเฉพาะอังกฤษ แต่มันอยู่ที่การซัพพอร์ตจากที่บ้านเยอะเหมือนกัน บางคนเก่ง แต่ไม่ได้ใช้ ทางบ้านไม่มีเงินส่ง บ้านที่ส่งไปต่างประเทศได้ก็มีโอกาสมากกว่า พูดเก่งกว่า ขึ้นกับฐานะหรือความโชคดีด้วย แต่เดี๋ยวนี้แอปฯ เยอะ ก็ช่วยได้มาก อยากให้ทุกคนได้เรียน มันเปิดโอกาส นอกจากความชอบ ความสนใจ มันช่วยเปิดแนวคิด ถ้าเราอ่านข่าวระดับโลกได้ มันกว้างกว่ามากเพราะหลายเรื่องหนังสือพิมพ์ไทยไม่เคยเขียน หรืออ่านหนังสือ ดูหนัง รับวัฒนธรรมใหม่ๆ เข้าตัวเรา ประกอบสร้างความเป็นเราได้ และมีประโยชน์ด้านการงาน

อย่างแช่น ถ้าไม่รู้ภาษาอังกฤษคงเป็นอีกคน อีกมุมของชีวิตจะขาดหายไปเลย

รู้แค่ภาษาไทยไม่พอแล้ว ?

ไม่พอค่ะ คนอังกฤษเองภาษาอังกฤษก็ไม่พอสำหรับเขาเหมือนกัน การรู้มากกว่าหนึ่งภาษา ที่ได้แน่ๆ คือมุมมอง ภาษาช่วยเชปความคิดและนิสัยเราประมาณนึงเลย มีคำที่ต่างกัน ไทยอาจมีคำว่าเกรงใจ อังกฤษมี sexual harassment เขาตื่นตัวในบางค่านิยม แต่เราไม่มี ทำให้เรามาปรับใช้กับตัวเองมากขึ้น

มีประสบการณ์แย่ๆ ที่อังกฤษบ้างมั้ย

ตอนใกล้กลับ ที่เริ่มมีโรคระบาด เคยโดนเหยียด เขาตะโกนใส่เราว่า ไชนีส โคโรน่า บางคนแกล้งไอใส่แรงๆ แล้วแต่เมืองนะคะ ลอนดอนอาจเยอะกว่า หนูอยู่เมืองมหาลัย คนค่อนข้างโอเค

เวลาเจออะไรแบบนี้ รับมือยังไง

ไปปะทะเขาไม่ได้ เดินหนี ครั้งแรกรู้สึกแย่ ค่อนข้างแรง รับไม่ทัน ต่อมาค่อยคิดได้ เราเป็นคนต่างชาติ เป็นคนส่วนน้อย เหมือนคนดอยที่ไทย เหมือนกัน ทำให้เห็นใจ อ่านข่าวก็จะเข้าใจชนกลุ่มน้อยมากขึ้น เพราะเจอมาเอง
ที่น่าน เย้า แม้ว เป็นคำด่า หมายถึงพวกบ้านนอก ตอนเด็กเราอาจไม่รู้สึกมาก พอโตมาถึงเข้าใจว่าวัยเด็กของเราอยู่ในสังคมที่เหยียดชาติกำเนิดคนอื่นเยอะมาก

 

interview nandialogue

 

จินตนาการว่าอยากมีชีวิตแบบไหน

อยากมีอะไรเป็นของตัวเอง คนเราเกิดมา ตายไป อยากให้มีสิ่งที่ unique กับเรา เป็นเครื่องหมาย ถ้าไม่มีเราคือไม่มีสิ่งนี้ อยากคอนทริบิวต์อะไรบางอย่าง อาจจะเขียนหนังสือ หรือมีบริษัท องค์กร ถ้ามีเงินเยอะๆ ก็อยากทำมูลนิธิ เพราะสนใจปัญหาเรื่องเพศ การศึกษา แล้วก็เดินทางเยอะๆ

ไปมาแล้วกี่ประเทศ

25 มั้งคะ เฉพาะซัมเมอร์ก็สามสี่ที่ ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา ส่วนใหญ่ได้ทุน สพฐ. จ่ายสามสี่หมื่น ถ้าจ่ายเองทั้งหมดคงเป็นแสน

ที่เหลือพ่อแม่พาไป พม่า ลาว มาเลเชีย กัมพูชา ญี่ปุ่น จีน เกาหลี แอฟริกาใต้ ตุรกี โครเอเชีย สโลวาเนีย บอสเนีย ออสเตรีย มอนเตเนโกร ภูฏาน อินโดนีเชีย ไต้หวัน

มีความทรงจำที่ไหนน่าสนใจ

นิวซีแลนด์ ไปตอน ม. 3 เป็นเหตุการณ์แรกๆ ที่ต้องพึ่งตัวเองมาก อยู่กับแฟมิลี่คนท้องถิ่น ก่อนนั้นอยู่บ้านนอนกับแม่ตลอด ไม่เคยนอนคนดียว ไปไหนมาไหนที่บ้านรับส่งหมด อยู่ที่โน่น เดินไปเอง ขึ้นบัส ไปกินข้าวคนเดียว หลง หาทางกลับเอง พอไปประเทศพวกนี้ กลับเมืองไทยแล้วอดเปรียบเทียบไม่ได้ รถบัสเขาดี ทางเดินดี ทำให้ตั้งคำถามทุกทีว่าทำไมบ้านเราเป็นแบบนี้

ทุกครั้งที่ไป อยากให้เมืองไทยดีขึ้นเหมือนในหลายๆ มุม ในหลายๆ ประเทศที่เราได้เห็นมา

พอเห็นภาพชีวิตตัวเองตอนอายุสี่สิบมั้ย

ชอบเที่ยว คงไปเที่ยวอีกหลายๆ ประเทศ ทั้งกับเพื่อนและคนเดียว ส่วนความฝันคืออยากมีธุรกิจเพื่อสังคม น่าสนใจดี อยากเป็นนักเขียนด้วย การเขียนทำให้ตีแผ่แนวคิด ชีวิตคนบางกลุ่มที่สังคมไม่เคยเข้าใจ หรือรู้จักมาก่อน ถ้าเราเขียนได้ดี อาจทำให้คนอ่านได้เข้าใจสถานการณ์ การอ่านทำให้คนมี empathy มากขึ้นด้วย ความคิดในหัวฟุ้งๆ อยากลองเอามาเขียน

อยากเลี้ยงหมาแมว อบขนม เรื่องแต่งงาน มีลูก เฉยๆ ไม่ค่อยคิด ไม่ได้เป็นเป้าหมาย

เรื่องม็อบที่กรุงเทพฯ คิดยังไง

ถ้ามีม็อบช่วงโควิดแปลว่ารัฐบาลแย่กว่าโควิด ติดตามอยู่ค่ะ ทั้งโกรธ ทั้งเศร้า หดหู่ การใช้ความรุนแรงของรัฐเลยเถิดไปเรื่อยๆ ม็อบเป็นสิ่งปกติ ควรทำ มีสิทธิ์ทำ แช่นไปไม่ได้ ก็คอยถามเพื่อนที่ไป ห่วงความปลอดภัย และช่วยแชร์ข่าว เพราะหลายคนอาจไม่รู้ ม็อบบางกลอย ม็อบเกษตรกรต่างๆ เขาไม่รู้เลยว่ามีอยู่ ถ้าไม่ออกสื่อใหญ่

ไปร่วมไม่ได้ มีเสียงอยากสื่อสารถึงเพื่อนคนหนุ่มสาวด้วยกันมั้ย

ห่วงเรื่องความปลอดภัยมากที่สุด รองลงมาก็ไม่อยากให้มีเส้นแบ่งระหว่างรุ่นป้าคนเสื้อแดง กับวัยรุ่น อยากให้ทุกคนรู้สึกว่ามีเป้าหมายเดียวกัน หรือต่อให้คนละเป้า ก็ควรโอบรับ ฟังเสียงกันและกัน

มันไม่ใช่เวลาที่จะมาวัดว่าใครซ้ายกว่ากัน หรือใครไม่คอมมิวนิสต์ มึงเป็นสลิ่ม หนูว่ามันไม่ใช่ ความซ้าย ขวา แต่ละประเทศ ก็ไม่เหมือนกัน น่าจะพยายามเข้าใจคนรุ่นป้าเสื้อแดง เขาอาจเอาเจ้า ไม่เอาประยุทธ์
วิธีสื่อสาร ไม่ควรไปว่าเขาเป็นสลิ่ม ค่อยคุยกันดีกว่าไปผลักเขาออกจากขบวน ควรโอบรับ และเปิดกว้างมากขึ้น

แต่ละวันมีคนเจ็บ คนถูกจับติดคุก มันสูญเสียมากไปมั้ย คุ้มหรือเปล่าที่ออกไปต่อสู้

หนูไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงของรัฐอยู่แล้ว อาจต้องมาคุย ว่าถ้าเราไม่ใช้คนเยอะ แต่สร้างอิมแพคได้เท่ากัน อาจลองเปลี่ยนยุทธศาสตร์มั้ย ต้องช่วยกันคิด การต่อสู้ย่อมมีคนบาดเจ็บ แต่หนูไม่อยากให้เห็นว่าเป็นความปกติ และถ้าเปลี่ยนแนวทางให้มีคนบาดเจ็บน้อยลงหรือไม่มี มันก็น่าจะดี ลองหลายช่องทาง ทั้งออนไลน์และไม่ออนไลน์ ให้คนจำนวนมาก ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ มีส่วนร่วมม็อบกระจายไประดับประเทศ ไม่ควรกระจุกเฉพาะที่กรุงเทพฯ

ถือว่าก้าวหน้าอยู่มั้ย ระยะเวลาการต่อสู้ปีสองปีที่ผ่านมา

เชิงกฎหมายอาจยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่คืบหน้าด้านมายด์เซต บางเรื่องเคยพูดไม่ได้มานาน ตอนนี้พูดได้แล้ว การที่คนเปลี่ยนความคิดก็เป็นอาวุธสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงขั้นต่อๆ ไป เพราะก่อนจะเปลี่ยนกฎหมาย ต้องมีคนเชื่อในโลกใหม่ หรืออะไรใหม่ๆ มากพอที่จะเปลี่ยนได้ อาจคล้ายต่างประเทศที่เขียนหนังสือก่อน ควบคู่กับการต่อสู้บนดิน คิดว่าเปลี่ยนค่ะ เห็นความคืบหน้า ไม่ใช่ว่างเปล่า หาแนวร่วมไปเรื่อยๆ เช่น พอหลายคนพอยต์เอาท์ว่ารัฐแย่ยังไงในเรื่องบริหารจัดการวัคซีน คนก็เริ่มเห็นว่ามันแย่จริงๆ อย่าเพิ่งไปตีตราว่าใครเป็นสลิ่ม แต่เปิดข้อมูลให้คนเห็นว่าอันนี้ไม่ดี ทำให้ตั้งคำถามกับรัฐบาล คือเมืองไทยมันคอร์รัปชั่นทุกกระบวนการ ไฟเซอร์มา เหลือให้หมอแค่สองแสน ที่เหลือวีไอพีได้ กับความเป็นความตาย อำนาจก็ยังทำงาน สิทธิ์ไม่เคยอยู่ที่ประชาชนเลยจริงๆ ช่วยกันสาวไส้ความเน่าเฟะออกมาในวิกฤตินี้ว่ามันแย่ได้แค่ไหน

วันนี้มีนิวโลว์ พรุ่งนี้ก็มีอีกๆ ไม่มีมาตรการเยียวยา เด็กเรียนออนไลน์ยังต้องเคารพธงชาติ

คิดว่าจะยังติดตามการเมืองต่อไปมั้ย หรือเบรกไปพัก ขอเรียนให้จบก่อน

ติดตามนะคะ ตั้งแต่ปีหนึ่ง เรียนไปก็ติดตามไปด้วย ตัวอยู่อังกฤษยังรู้สึกเครียดไปด้วย ยังไงก็ไม่เลิกติดตาม และพยายามหาไอเดียว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง เพราะอย่างตอนที่ฮ่องกงเดือด เพื่อนๆ ก็จัดม็อบกลางสแควร์ที่อังกฤษ มีคนสนใจพอสมควร หรือเวลามีอะไรที่เมืองไทย หนูโพสต์ในไอจี เพื่อนฮ่องกงก็มาถาม สนใจ ร่วมรับรู้ และเขาบอกว่าเราจะสู้ไปด้วยกัน.

 

nandialogue

 

nandialogue

เรื่องและภาพ: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

You may also like...