the letter
the letter

เรือปู และดาวดวงนั้น

หวัดดีครับพี่หนึ่ง

ไม่กี่วันก่อน ผมตื่นเช้ากว่าปกติ หลับไปตอนประมาณสามทุ่มแล้วก็ตื่นมาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ นอนต่ออีกหน่อยแล้วก็ตื่นมาประมาณตีสี่ นึกขึ้นได้ว่าวันนี้พี่ชัยวัฒน์จะออกเรือไปเก็บอวนปู เลยลุกออกมาชงกาแฟ ดูดยาสักตัวแล้วขับรถไปที่อ่าวศรีธนู ใช้เวลาไม่นานครับ แค่สิบนาทีจากละแวกบ้านแถวโคโค่นัทเลนก็ถึงอ่าวชาวประมง

ไปถึงที่ โทรฯ หาลูกพี่ฟิชเชอร์แมน (แอ็คชวลลี่ แคร็บแมน 555) แกก็ว่าเดินมาเลย พี่อยู่ที่เรือแล้ว ผมลงเรือนั่งรอลูกเรืออีกคน (พี่รอง คนเรือที่หัวเสียฉิบหายตอนที่คนขึ้นจากหาดเทียนไม่ครบ–น้องชายผมเอง) สักพักพวกเขาก็แล่นเรือออกจากฝั่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ลูกพี่เค้าว่า ไปกันเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งเครื่องมากนัก น้ำมันแพง!

 

the letter

 

ออกเรือไปร่วมชั่วโมงพวกเราก็ถึงจุดหมาย ระหว่างทางกัปตันและลูกเรือคุยกันว่าเพื่อนพ้องคนไหนและใครออกเรือได้อะไรกันเท่าไร พี่วัฒน์กัปตันคนขับเรือขาออกบอกว่าถ้าไม่ได้ดาวนี่ขับเรือมาไม่ถูกนะนี่ ไอ้เราก็พานซื่อบวกโรแมนติก ถามแกว่าดาวดวงไหนที่พี่ใช้ดูเวลาหาทิศทางตอนขับเรือ แกตอบว่าดาวเทียม 555

ไม่กี่ปีมานี้แกใช้ GPS ในการระบุตำแหน่งจุดที่ลงอวนไว้ ใส่ตัวเลขประมาณหกหลักแล้วก็ขับเรือไปตามนั้นก็ถึงจุดหมายตามพระประสงค์ ผมทำตัวเป็นนักสัมภาษณ์ที่ดี ใคร่อยากจะรู้ว่าแล้วก่อนหน้านั้นทำกันอย่างไรถ้าไม่มี GPS พี่วัฒน์ตอบว่าหันกลับไปดูเกาะ ดูแล้วจะรู้ว่าเราอยู่ตรงจุดใด ไม่ได้ง่ายเหมือนจีพีเอส แต่ก็ได้ผลเหมือน

ผมคิดต่อกับตัวเองว่าแกตอบโคตรเป็นปรัชญา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่ตรงจุดใด ถ้าไม่รู้ว่าอดีตเราอยู่ที่ไหน และเราเคยเป็นอย่างไร

พวกเราถึงที่หมายก่อนดวงตะวันพ้นขอบฟ้าเล็กน้อย จึงพากันนั่งดูดยากันก่อนเริ่มลุ้น กลิ่นยาเส้น (แอ็คชวลลี่ น่าจะกลิ่นใบจากมากกว่าโทแบ็คโก) ทำให้ผมนึกถึงคราวยี่สิบปีก่อนที่ได้เคยไปคลุกคลีกับสมาคมชาวใต้ที่หมู่บ้านคลองเรือ อำเภอพะโต๊ะ กลิ่นนี่ทำให้เราหวนถึงอะไรก่อนๆ ได้มากเลย บางกลิ่นขุดความทรงจำให้หลั่งพรั่งพรูท่วมท้นมนุษย์ผู้หนึ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ฟ้าสาง ลูกเรือรองถามลูกพี่วัฒน์ว่าให้เค้าสาวอวนไหม ลูกพี่บอกว่าไม่ น้องไปจับหางเสือ เดี๋ยวพี่สาวอวนเอง ตอนแรกก็นึกสงสัยว่าทำไมลูกพี่ต้องทำตัวเองให้เหนื่อย แต่พอลงมือก็เริ่มเข้าใจ การสาวอวนขึ้นนี่แทบไม่ต่างอะไรกับการลุ้นหวย สาวขึ้นมา ถ้าได้ปูถือว่าถูก ถ้าได้ปลาเน่า (ซึ่งก็มีไม่น้อย) ก็เหมือนถูกเจ้ามือแดก พี่วัฒน์สาวอวนไปเรื่อย ได้ปลาเน่าบ้าง ปูเป็นบ้าง ออกท่าทางประดุจนักพนันที่ลุ้นไพ่ในมือ ส่วนลูกเรือรองก็ส่งเสียงทำนองคล้ายคนดูที่ลุ้นกับผู้เล่นบางคนในคาสิโน

เมื่อสาวได้ปู ผมจึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมแกถึงอยากลงมือเอง เวลาสาวอวนขึ้นมา ปลาเน่าจะไว้มุมหนึ่ง ปลาเป็นจะไว้อีกข้าง ส่วนปูจะไว้ในตำแหน่งที่ดีที่สุด สาวได้ร่วมร้อยสองร้อยเมตรก็จะห่อเก็บ ก่อนเริ่มสาวอวนระยะถัดไป

ก่อนห่ออวน แกจะไล่เรียงตามลำดับ ปลาเน่าไว้ล่างสุด ปลาเป็นไว้กลาง แล้วปูเป็นค่อยไว้บนสุด ผมถามแกว่าทำไมต้องแยกแบบนั้น แกเว้าว่าผมขายของเป็นๆ ต้องพยายามที่สุดให้มันเป็น เวลาเอามันไว้บนสุดของกองอวน เดี๋ยวไปถึงฝั่งจะได้รีบปลดแล้วเอามันไปแช่ในกระชังให้เร็วที่สุด

ไม่วายพานวักน้ำทะลราดรดลงห่ออวนที่มีปูเป็นๆ อยู่ ปูเป็นกับปูตายราคาต่างกันเยอะ เวลาเพียงเล็กน้อยก็มีราคา ผมนึกย้อนไปถึงตอนพวกเขาร้อนรนและเคร่งเครียดที่จะพาผู้โดยสาร (มนุษย์) ให้กลับเข้าฝั่งเต็มตามจำนวนขาออก

ต่างกันก็เพียงแต่ปูตายก็เสียแค่ราคา แต่ถ้าเป็นมนุษย์มนาอาจเสียถึงคุณค่าแห่งตัวตน

 

the letter

 

วันนั้นเราได้ปูม้าเป็นๆ เกือบสิบกิโลกรัมจากอวนยาวร่วมสองกิโลเมตร แกว่าไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีนัก บางวันอาจได้แค่อวนเปล่าๆ แต่บางวันอาจได้มากกว่านี้ร่วมสองสามเท่า ขากลับพี่วัฒน์ให้น้องรองขับเรือกลับฝั่ง ส่วนแกเวียนทำความสะอาดเรือ คว้าปลาอื่นๆ ที่ติดมากับอวนขึ้นมาดม แกเปิดเหงือกปลาขึ้นก่อนพุ่งจมูกลงไปดม ดมแล้วว่าสดก็โยนไปกราบเรือด้านซ้าย ดมแล้วว่าเน่าก็โยนไปทางขวา เสร็จจากกิจกรรมทั้งสองก็ไปยืนโด่อยู่ที่หัวเรือประดั่งดอนกีโฮเต้นำชัยชนะมาจากสมรภูมิ

ผมมองภาพทั้งหมดเหล่านี้ด้วยความเพลิดเพลินคล้ายดูหนังดราม่าดีๆ สักเรื่อง

Yeehow! We’ve caught a crabs!

จ๊อก

ปล.1 – ดีใจที่ได้พบและกอดพี่หนึ่งที่บางกอกในสัปดาห์ก่อน

ปล.2 – ขออภัยที่ส่งจดหมายมาช้า ยังจำที่พี่บอกได้เสมอว่าขอเวลาหน่อย จะได้สานต่อบทสนทนา แต่ก็…มนุษย์อ่ะครับ ผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา ผมขอโทษพี่และให้อภัยกับตัวเองเสมอ ดูเหมือนจะสับสนและขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่กับชีวิตตัวเองที่ผ่านมาผมคิดว่านี่เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเข้าใจและหมั่นดูแล

 

nandialogue

 

ตอบ จ๊อก

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (นอกจากเรื่องรัสเซีย/ยูเครน) แวดวงเฟซบุ๊กเห็นเขาเล่น ‘จุดแข็ง จุดอ่อน’ กันแพร่หลาย ถ้าจะเอาบ้าง เราว่าจุดแข็ง (ข้อหนึ่ง) ของคุณคือการเอ่ยคำขอโทษ ส่วนจุดอ่อนคือทำผิดบ่อย (ข้อนี้ล้อเล่นครับลูกพี่) ขอโทษและให้อภัยคือสิ่งจำเป็นที่ต้องเรียนรู้และเข้าใจอย่างที่คุณว่า

ใช่มั้ย–อย่าว่าแต่กับคนอื่นเลย บางทีการให้อภัยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ย้อนพิจารณาตัวเอง เราค่อนข้างทำได้แย่ คือขอโทษคนไม่ค่อยเป็น จริงๆ ในใจอาจรู้สึกแบบนั้น อยากทำแบบนั้น แต่ทั้งที่มีอาชีพใช้ถ้อยคำ กลับยากลำบากที่จะเอื้อนเอ่ย ไม่ใช่ว่าอับอายหรือกลัวเสียฟอร์มอะไรหรอกนะ แต่มันจะอึ้งๆ ไป เงียบๆ ไป หรือคิดว่าการแสดงอากัปกิริยาแบบหนึ่งแบบใดแล้วคู่กรณีจะรับรู้สัมผัสได้ว่าเสียใจ ขอโทษ นึกออกใช่ไหม แต่คือ.. มึงไม่พูดไง แล้วใครเขาจะตรัสรู้ มนุษย์คิดภาษา มีวาจาสื่อสาร ยามที่ต้องใช้มันก็ต้องใช้น่ะ ไม่ใช่แค่นั่งมองตา หรือนิ่งเงียบแล้วอธิษฐานภาวนาว่าโลกจะเข้าใจ

เติบโตขึ้นมาก็พยายามกำจัดจุดอ่อนเรื่องนี้อยู่ ซึ่งยังไม่ค่อยรอดเท่าไร ที่แย่กว่าคำขอโทษที่ติดอยู่ในคอ ล้วงควักไม่ออกคืออารมณ์หงุดหงิด

ให้คิดเอาเอง เราเป็นคนอารมณ์ดีมากคนหนึ่ง (อาจถึงระดับส่งเข้าประกวดได้) แต่ในร่างกายจิตใจเดียวกันก็เป็นคนหงุดหงิดง่ายมาก (ภาษา ศุ บุญเลี้ยง เรียกว่า อารมณ์ดี แต่ขี้รำคาญ) เรื่องที่หงุดหงิดมากที่สุดคือเวลาเจอคนหงุดหงิด (งงป่ะ) คือโดยพื้นฐาน โดยตัวของตัวเองค่อนไปทางเบิกบาน (คิดเอาเอง) แต่จะเปลี่ยนจากบวกเป็นลบทันทีที่เจอคนหงุดหงิดง่าย คนที่อารมณ์เสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อยู่ใกล้ อยู่ร่วมกับคนพวกนี้แล้วเราจะทนไม่ค่อยได้ หรือพบเจออะไรที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น คนบ่นว่าต้นทุนต่ำ ไม่มี ขาดแคลน ฯลฯ คือเราเข้าใจนะว่าคนเรามันก็ต้องน้อยใจ ฟูมฟาย หรือบ่นเบื่อ ตัดพ้อต่อว่ากับชีวิตกันบ้าง ประเด็นคือบ่นมาเท่าไรแล้ว บ่นแล้วลงมือปรับปรุงแก้ไขหรือเปล่า และบ่นกับใคร เราคิดว่าบางเรื่องมันต้องคิด ต่อสู้ ปะทะ ด้วยตัวคนเดียว เจ็บคนเดียว ล้มคนเดียว บางเรื่องอนุญาตให้มีผู้ฟังที่สนิทชิดใกล้มาร่วมทุกข์ได้ แต่แน่นอนว่าต้องเลือกอย่างเข้มข้น (เอาว่าคิดให้ดีก่อนว่าใครคนนั้นคู่ควรหรือเปล่า หมายถึงเขายินดีนะ เขาไม่รำคาญคุณนะ) ไม่ว่าจะอย่างไร การหาใครสักคนมานั่งฟังนี้ควรเป็นเรื่องรอง เรื่องที่ยอมให้เกิดขึ้นน้อยครั้งที่สุด นานทีปีหน ปรับทุกข์กันในวงเหล้า อะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ประกาศผ่านพับลิก

เรื่องทำนองนี้ ตอนเด็กๆ หรือวัยรุ่น มันพออนุโลม อนุญาตให้ย่อหย่อนอ่อนแอได้บ้าง แต่กับคนที่โตแล้ว การกลืนเลือดมันจำเป็น และจำเป็นกว่าคือการลงแรงแก้ไข ซ่อมบำรุงอย่างเอาเป็นเอาตาย คิดแค่การใช้เวลา ระหว่างการบ่น (แล้วงอมืองอเท้า) กับการออกแรงแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า อย่างหลังย่อมมีคุณค่า มีประโยชน์อย่างเทียบไม่ได้

เราจะพูดกันอีกซ้ำๆ ทำไมว่า เกิดมาต้นทุนต่ำ ?

ต่ำ ก็ทำให้มันสูงสิ ไม่มี อ้าว ไม่มีก็ออกแรงแสวงหาสิ

เราเข้าใจดี ว่าไอ้ที่พูดอยู่นี่มันไม่ง่าย และไม่ได้ใช้เวลาชั่วข้ามคืน แต่แล้วไงวะ มันมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ นอกจากการออกแรง เพราะยิ่งผัดผ่อนไปเรื่อย บ่นเบื่อทดท้อกับชะตากรรมไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไร สิ่งที่คาดหวังไว้จะได้มา

ก็นั่นแหละ เวลาเจอคนใกล้ตัวอยู่ในภาวะเหล่านี้ เราจะพูดไม่ดีเลย (แบบที่กำลังพูดกับคุณ) อารมณ์เสีย หงุดหงิดง่าย แต่คำพูดไม่ดีเหล่านั้นคือเราหมายความแบบนั้น เราคิดแบบนั้นจริงๆ เพียงแต่ว่ามันอาจพูดด้วยท่าที หรือน้ำเสียงไม่ดี (ก็มันหงุดหงิดไปแล้วไง) ย้ำว่า เราคิดแบบนั้น เคียงข้าง เป็นกำลังใจให้เพื่อนพี่น้องก้าวผ่านภาวะห่วยแตกในชีวิต และขอโทษที่พูดจาไม่ดี

ปล. เรื่องจดหมายของคุณที่บางครั้งส่งล่าช้ามาบ้าง (ประมาณ 0.00001%) เราไม่ติดใจใดๆ เลย (คือแน่นอนว่าถ้าเร็วได้ มันดีแน่ๆ–ฮา) เหตุที่ไม่ติดใจ เพราะเข้าใจ และสมัยส่งงานให้บรรณาธิการท่านอื่นๆ เราก็กระทำเช่นนี้ไว้มาก

ทีเขา ทีเราละมั้ง (กรรมใดใครก่อ) โลกมันก็เป็นเช่นนี้เอง 55.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...