สวัสดีปีใหม่ครับพี่หนึ่ง
ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ในวันสุดท้ายของปีซึ่งคล้อยหลังกำหนดที่เราตกลงกันส่งไปสองสามวัน
เช้าวันก่อนผมเปิดคอมพ์ฯ นั่งพิมพ์ไปได้ไม่กี่ตัวอักษรก็เกิดอยากบ่ายเบี่ยงไปทำเรื่องอื่น
แทนที่จะพิมพ์จดหมายให้เสร็จ ทั้งๆ ที่กลับมากรุงเทพฯ รอบนี้ก็พบปะผู้คนและมีเรื่องให้เขียนมากมาย
ผมกลับเดินไปคุยกับผู้ใหญ่ในครอบครัวเพื่อรายงานสถานการณ์ธุรกิจโรงพิมพ์แล้วชวนลูกกับเมียไปเที่ยวในเมือง เป้าหมายอยู่ที่ร้านหนังสือคิโนะคุนิยะในห้างสยามพารากอน ถ้าพี่บอกว่าผมผูกขาดการพิมพ์หนังสือให้พี่ ร้านหนังสือแห่งนี้ก็ผูกขาดการซื้อหนังสือจากผมเหมือนกัน ถ้าไม่นับการซื้อในช่องทางออนไลน์ซึ่งก็มีอีกร้านที่ผูกขาดการซื้อจากผมเช่นกัน ผมคิดว่าร้านหนังสือสาขานี้ได้เงินค่าหนังสือจากผมไปเกินกว่าครึ่ง เหตุผลก็คงจะเป็นด้วยเรื่องทำเลที่อยู่ใกล้บ้านผมที่สุด เลย์เอาท์การจัดวางชั้นหนังสือที่ผมคุ้นเคย ปริมาณและคุณภาพของรายชื่อหนังสือในร้าน และทักษะความรู้ในเรื่องหนังสือของพนักงาน ตั้งแต่ไปอยู่พะงันมาปีกว่าๆ ผมกับร้านหนังสือแห่งนี้แทบจะไม่ได้พบกันเลย ครั้งนี้มีโอกาสเหมาะเลยขอจัดซะหน่อย
หนึ่งในเหตุที่ไปก็เพื่อจะให้ของขวัญกับลูกชาย ตอนแรกบอกไว้ว่าให้ซื้อได้สิบเล่ม แล้วก็เปลี่ยนใจเป็นให้โควต้าซื้อกี่เล่มตามอายุของศิลป์ ลูกชายเจ็ดขวบในปีนี้ พ่อก็จะซื้อให้เจ็ดเล่ม ปีหน้าก็แปดเล่ม พูดติดตลกกับลูกว่าถ้าเขาอายุเจ็ดสิบแล้วผมยังมีชีวิตอยู่ ก็ยินดีจะซื้อหนังสือให้เจ็ดสิบเล่ม เป็นทั้งของขวัญปีใหม่และของขวัญวันเกิดซึ่งอยู่ถัดไปไม่กี่วัน
ผมคิดเงื่อนไขแปลกๆ มาเผื่อว่าลูกจะระลึกได้ถึงความเพื้ยนและความงมงายต่อสิ่งซึ่งเรียกว่าหนังสือของพ่อมัน ถ้าจะมีบางเรื่องในโลกที่ผมสปอยล์ลูกมากที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องนี้ ตอนกำลังรอคิวเพื่อจ่ายเงินซึ่งวันนี้แถวยาวมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเข้าร้านมา (โคตรน่าดีใจ) ศิลป์เหลือบไปเห็นหนังสืออีกเล่มที่อยากได้ จึงคุยกับผมว่าขอเอามาเปลี่ยนแทนเล่มอื่นที่เลือกมาแล้วได้ไหม แทนที่จะธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและการรักษาคำมั่นสัญญาที่ผมย้ำหนักย้ำหนากับลูกให้ยึดถือ ผมกลับบอกว่าเอามาเพิ่มได้เลย เกินโควต้าไม่เป็นไร (ฮา)
ผมจะตอบไปทางอื่นอย่างไรได้ล่ะ เพราะตัวเองก็หยิบก้อนกระดาษเปื้อนหมึกมาซะล้นตะกร้า ต่อไปลูกชายน่าจะรู้จุดอ่อนซึ่งนำมาสู่ความใจอ่อนของพ่อมันมากขึ้น ประมาณว่าครอบครัวเรา (โดยเฉพาะตัวพ่อ) มองหนังสือเสมือนอาหาร ใครในครอบครัวหิวต้องได้กิน (อ่าน) อย่างไม่มีข้อแม้
ก่อนชำระเงินไม่นาน ระหว่างที่รอผมเลือกหนังสือจากชั้นหมวดแฟนตาซี (ซึ่งผมเพียรหาอยู่หลังจากได้อ่าน Hobbit จบไป) ศิลป์บอกกับผมว่า ป๊า, นายต้องไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่บรรดาพ่อแม่ทั่วโลกเกลียดที่สุด ! พูดจบก็เดินจูงมือผมไปในโซนหนังสือ Young Adult กวาดนิ้วไปตามชั้นแล้วชี้ไปที่หนังสือเล่มหนึ่ง ผมอ่านชื่อและคำโปรยก็พบว่าเป็นหนังสือว่าด้วยคำหยาบ เป็นแนวอินโฟกราฟฟิกเพื่อสอนให้คนอ่านรู้ว่าจะสบถให้ดีและมีสไตล์ได้อย่างไร
แทนที่จะบอกเด็กๆ (โตหน่อย) ว่าพูดคำหยาบไม่ได้หรือไม่ดี ก็สอนพวกเขาไปเลยว่าคำแต่ละคำมีที่มาอย่างไร และควรใช้ตอนไหน ในลำดับใดของประโยค
ผมเองต้องกลับมาเจอกับคำถามของลูกอีกแล้วว่าถ้าห้ามเด็กๆ พูดแล้วพวกผู้ใหญ่จะคิดคำสบถกันขึ้นมาทำไม นอกจากประเด็นเรื่องว่าคำดั่งศาสตราที่พี่เคยตอบผมในจดหมายฉบับแรกๆ แล้ว ผมกำลังคิดว่าจะเปรียบเปรยมันดั่งเครื่องปรุงรส ปราศจากคำถ่อยเถื่อน วัจนะที่เราเอื้อนเอ่ยอาจคล้ายดั่งอาหารที่แสนจืดชืด แม้จะเปี่ยมล้นไปด้วยสารอาหารเพียงใด ผมก็มิอาจกระเดือกมันได้ลง ประเด็นจึงอยู่ที่การปรุงอย่างไรให้ได้รสชาติซะมากกว่าการไม่ปรุง
ผมเกริ่นเรื่องหนังสือแล้วมาจบด้วยเรื่องคำสบถ เป็นสองสิ่งอาจดูไกลห่างในสายตาของผู้ที่เคร่งครัดในปิยะวาจา แต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่ใกล้กันเสียเหลือเกิน คำสบถสวยๆ ในบทสนทนากับเพื่อนฝูงก็แทบไม่ต่างอะไรกับประโยคดีๆ ในวรรณกรรมสักเล่ม
หวังว่าพี่จะม่วนชื่นกับชาวคณะที่น่าน และได้ยินถึงมิตรภาพผ่านเสียงสบถเล็กๆ ของผมผ่านจดหมายฉบับสุดท้ายของปีนี้
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
อ่านจดหมายคุณด้วยความชื่นชมระคนละอายต่อบาป เราเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าหนังสือคืออาหาร แม้ใครจะว่ามัน old school เต็มที โลกเปลี่ยนไปสู่ออนไลน์หมดแล้ว (เช่นที่เรากำลังทำกันอยู่) วัฒนธรรมหนังสือก็ยังแข็งแรงและเป็นความเชื่อมั่นเสมอ ที่ละอายก็เพราะไม่ได้ทำอย่างที่คุณทำ ข้ออ้างในเรื่องเศรษฐกิจ ยุคสมัย เพราะลูกของเราอายุต่างกันยี่สิบปีก็ฟังไม่ขึ้นหรอก หลักๆ เป็นเรื่องวิชั่นต่างหาก ความใส่ใจต่างหาก ซึ่งข้าน้อยขอคารวะมา ณ ที่นี้
สังคมไทยมีคำพูดหนึ่ง สมัยก่อนได้ยินบ่อย ตอนนี้ห่างหูไปบ้างคือ ‘พ่อแม่ไม่สั่งสอน’ จดหมายของคุณทำให้คิดถึงคำนี้อยู่เรื่อย อย่าเพิ่งตกใจ เราคิดในความหมายตรงกันข้ามคือ เออเว้ย ทำไมมันขยันสอนลูกจริง (ก็ถูกแล้วป่าววะ) เรื่องขยัน เราไม่ตื่นเต้นหรอก สิ่งที่ทำให้สะดุดเสมอคือสอนลูกสนุกดี สำหรับเรา ถ้าเด็กเวร เด็กเหี้ย ให้ด่าพ่อแม่ แต่ถ้าผู้ใหญ่เหี้ย อันนี้พ่อแม่ไม่เกี่ยว โดยอดีตกาลพื้นฐานมันก็เกี่ยวแหละ แต่ถ้าใครสักคนโดนตำรวจจับเพราะไปฆ่าคน หรือให้เหตุผลว่าที่ตัวเองแย่ ตัวเองเถื่อนถ่อยเลวทราม ฯลฯ เป็นเพราะพ่อแม่ไม่สั่งสอน เราว่าแม่งโคตรใจร้าย คือมึงช่างมีความพยายามในการปัดป้ายความผิดได้เก่งเกินมนุษย์มนา ใจคอทั้งชีวิตไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยใช่มั้ย
สมัยเรียนทับแก้ว เรามีเพื่อนคนนึง ไม่ว่าเรากำลังคุยกันเรื่องอะไรอยู่ มันจะต้องอ้างคำพ่อตลอด (พ่อมันเป็นช่างตัดผม) ที่ว่าอ้างคือเอามาชวนคุยน่ะ ว่าต่อเรื่องนี้ เคสแบบนี้ พ่อเคยสอนว่ายังไง สอนดีด้วยนะ น่าสนุก มีหลักการ มีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผล แรกๆ เราก็เฉยๆ ลูกมีพ่อมีแม่ ก็ธรรมดาที่เขาต้องจดจำบางอย่าง มีประสบการณ์ร่วมกันในบางเรื่องที่ฝังหัวและอยากเอามาแชร์ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นไง คือมันมาบ่อยเสียจนเราต้องกลับมาถามตัวเอง –แล้วพ่อแม่กูล่ะ ?
พูดจริงๆ เรานึกไม่ค่อยออกว่าพ่อแม่สอนอะไร คิดกี่ทีกี่ทีก็ยังบางเบลอ ไม่เป็นก้อนๆ เป็นฉากๆ ไหลมายังกะแม่น้ำแบบของเพื่อน มั่นใจนะว่าพ่อแม่สั่งสอนแน่ๆ แต่พอนึกได้ไม่ชัดมันก็ไม่มีหลักฐาน ไอ้ครั้นจะบอกว่าสมองเสื่อม ความทรงจำวัยเด็กฟั่นเฟือน ก็คงไม่จริง สรุปคือนึกไม่ออก บางทีก็รู้สึกแย่เหมือนกัน ยิ่งพอมาบวกกับพฤติกรรมไกลบ้าน ไร้การสื่อสารโอบกอด มันก็มีที่แบบ เราน่าจะไม่ค่อยรีเลต หรือใกล้ชิดกับญาติพี่น้องเท่าไร อันนี้เป็นความจริงซึ่งพูดตรงๆ คือความสนใจระหว่างเรามันแตกต่างกันมาก โลก รสนิยม ทัศนะ กระจัดกระจายไปคนละทาง
ไม่ได้ว่าใครดี ไม่ดี แค่เป็นความต่าง ทุกบ้านว่าไปก็คงต่าง แต่เขาอาจมีวิธีชิดใกล้ร่วมกิจกรรม ของเราเป็นบ้านที่ไม่ค่อยมีกิจกรรม คงมีบ้างแหละ เพียงแต่หลายกิจกรรมที่เขาชอบกัน เราก็ไม่ชอบอีก และพออยู่ไกล ไปๆ มาๆ ก็เลยต่อไม่ติดเท่าไร
ย้อนไปที่ประเด็น ‘พ่อแม่ไม่สั่งสอน’ ของเรายังยืนยันเหมือนเดิมว่าสอน ใส่ใจ เลี้ยงดูมาดี (ส่วนพอโตแล้วดี-ไม่ดี นั่นอีกเรื่อง) ที่นึกไม่ออกเป็นคำๆ เหมือนเพื่อนจำมาบอกเล่า เราว่าอาจเพราะโดยวิธีบอกสอนของบ้านเรามันไม่ได้เป็นคำๆ แต่เป็นการกระทำ คือคำพื้นฐานชาชินที่ได้ยินจนฟังไม่รู้เรื่อง จำพวกขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน คงเคยผ่านหูผ่านตามาเหมือนเด็กไทยทุกคน แต่ที่มีผลจริงๆ จังๆ คงเป็นวิธีคิดและพฤติกรรมการอยู่การกินของพ่อแม่ ประหยัดคงไม่ต้องย้ำหรอก นึกออกมั้ย แหม แค่จะกินยังไม่พอ มันจะฟุ่มเฟือยตอนไหน
ความดีของแม่ ความแข็งแรงของเค้า (single mom) ทำให้เรายากจะหลุดออกนอกลู่นอกทาง ติดยา เกเร ไม่เรียนหนังสือ ไปก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ปล้นชิงวิ่งราว ฯลฯ มันเป็นไปไม่ได้ มองหน้าแม่ มันมีแต่ต้องขยันเรียนเท่านั้น เห็นแม่ทำงาน มันมีแต่ต้องอดออมเท่านั้น วัยที่ยังเด็ก ช่วยหาไม่ได้ ก็ช่วยรัดเข็มขัด ประหยัดให้มากที่สุด โตขึ้นมาพอทำงานอะไรไหว ก็ทำ (เช่น ขายเรียงเบอร์ รับจ้างขุดดิน ทำวิจัย) ชีวิตที่เริ่มต้นจากติดลบมันไม่อนุญาตให้ผิดพลาดบ่อยๆ เงินน้อย ต้องคิดเยอะ คิดให้แม่น ลุกยืนให้เร็ว
ต้นทุนต่ำต้องใช้แรงสูง วิ่ง ดิ้นรน ขยันเรียน อ้าว ลืมแล้วเหรอว่าเราไม่มี ถ้ามัวแต่นั่งดูทีวีเหมือนลูกคนรวย เราก็อดตาย
อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี มันก็ต้องคิดให้รอบคอบรัดกุม ออกแรงให้หนัก เพราะต้นทุนเราน้อยไง จะมีเพิ่มได้ต้องขวนขวาย สร้างเอาด้วยแรงซึ่งพ่อแม่ก็ให้ร่างกายที่ดีมาแล้ว ทุกหยาดเหงื่อของแม่ลบคำว่า ‘ยอมจำนน’ ออกจากพจนานุกรมชีวิตเราตั้งแต่เด็ก รุ่นนี้รู้จักแต่คำว่าลุย ล้มก็รีบลุก ความหิวมันเฆี่ยนตีเราให้เลิกทอดหุ่ยพิรี้พิไร แม้นิสัยลึกๆ จะเป็นแบบนั้น ก็ต้องรีบปรับ ไม่งั้นเอาตัวเองไม่รอด
พ่อแม่ไม่จ้ำจี้จ้ำไชใช้เวลาสั่งสอนนัก เปิดพื้นที่ไว้กว้างๆ เราว่าก็มีข้อดี ที่ชัดๆ คือพอไม่มายุ่งมาก เสรีภาพของคนเป็นลูกก็มีพอจะใช้จ่าย มันบังคับกลายๆ ว่าต้องเติบโต รับผิดชอบชีวิตให้ได้โดยเร็ว คุณพอรู้ข่าวตอนดราม่า 112 บ้างมั้ยไม่รู้ ช่วงที่นักเขียนรับแนวคิด ‘คณะนิติราษฎร์’ มารณรงค์ให้แก้ไข ร่วมลงชื่อ หลายครอบครัวพอเห็นต่างถึงขั้นตัดพ่อตัดลูก ยกเลิกการใช้นามสกุล มันทั้งน่าเศร้าและแปลกๆ ดี คนที่ลงชื่อเป็นนักเขียนและไม่ใช่เด็ก สิทธิเสรีภาพการคิดการเลือกควรเป็นของเขาและเธอเต็มร้อย ไม่ว่าพ่อแม่จะเห็นด้วยหรือไม่ มันก็มีแต่ต้องแลกเปลี่ยน คุยกัน และยอมรับในความคิดกันและกัน
เราเคยเขียนเรื่องนี้นานแล้วว่า ถ้าแม่เรามีปัญหา (ที่เราอยู่ฝ่ายให้แก้ไข–ถามตอนนี้ก็จะบอกว่ายกเลิกไปเลย) เราจะบอกเค้าว่า ก็แม่ไม่ใช่เหรอที่สอนเรามาให้เป็นคนแบบนี้ (เราไม่เคยไปอยู่เมืองนอก ไม่ได้เรียนในโรงเรียนอินเตอร์ พูดง่ายๆ ว่าโตมาในขนบจารีตนิยมสุดๆ) สอนมา ก็รับไปสิ จะมีปัญหาอะไร ถ้าแม่บอกไม่ได้สอน เราก็จะบอกว่า อ้าว แม่มีลูกแล้วไม่รู้จักอบรมสั่งสอน แล้วจะมามีปัญหาอะไรเนี่ย
นึกออกป่ะ คือเราเข้าใจนะว่ามันก็มีแหละ โดยเฉพาะเรื่องแหลมคมของยุคสมัยเช่นนี้ ที่พ่อแม่ลูกอาจเห็นคนละทาง แต่จะทำไงได้ นอกจากยอมรับและยิ้มให้กับความหลากหลายของโลก เราว่าปัญญาอ่อนน่า ที่บ้านบ้านหนึ่งจะแตกแยกหรือมองหน้ากันไม่ติดด้วยเพราะความคิด ทำไมน่ะเหรอ ก็ความคิดเราไม่เหมือนกันอยู่แล้ว มันโคตรจะปกติ
ทำตัวแบบนี้ เวรกรรมมันก็จะวิ่งไล่ตามใช่มั้ย–เวลาเรามีลูก ไม่รู้สิ มันอาจพูดยากเหมือนกันว่าพอเป็นพ่อแม่ เราอยู่ในกลุ่มพ่อแม่ไม่สั่งสอนลูกหรือเปล่า ให้พูดเอง ก็น่าจะบอกสอนตามสมควร อาจจะคล้ายๆ แบบเบ้าที่รุ่นพ่อแม่เราทำมา คืออย่าไปยุ่งกับมันมาก เปิดพื้นที่กว้างๆ ให้คิดเอง ทำเอง หกล้มเอง เวลาราวๆ สิบปีในมือบุพการี กุลบุตรกุลธิดาหนีไปไหนไม่รอดหรอก ถ้าพ่อแม่เป็นคนโอเค อย่ากังวลเรื่องลูกมากเกินไป เลี้ยงแบบไหน คุณก็ย่อมได้ผลแบบนั้น เด็กๆ จะไม่โอเคด้วยเหตุผลเดียวคือพ่อแม่เป็นคนไม่โอเค ตลกเกินไปหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนไม่โอเค แต่ไปเรียกร้องความสมบูรณ์จากผู้อื่น
เราชอบฟังเพื่อนเล่าคำสอนของพ่อแม่ ชอบที่คุณดูแลเจ้าศิลป์ ยิ่งกลยุทธ์ซื้อหนังสือให้ตามอายุนี่มันช่างว้าวซ่าส์ (เหี้ย ใช้ศัพท์โคตรเชย) การพาไปร้านหนังสือบ่อยๆ พาไปอยู่ในบรรยากาศความรู้ สร้างสรรค์ถกเถียง เสวนา ถ้าพ่อแม่ชอบอ่านหนังสือ ถามจริงๆ ลูกมันจะหนีไปไหนรอด เลี้ยงลูกต้องให้อิสระในวัยวาระที่เหมาะสม ลูกไม่ใช่นกในกรง ลูกก็คือคน เขาคิดเอง เลือกเองได้ โดยไม่ต้องเหมือนพ่อแม่ เพราะชีวิตเป็นของเขา เรื่องตื้นเขินเช่นนี้พ่อแม่ทุกคนรู้ดี แค่อดไม่ค่อยได้ที่ต้องอยู่เหนือ เสพติดระบบอาวุโสอย่างที่คนไทยจำนวนมากลุ่มหลง กอดรัดและแก้ไม่หาย
ในวัยที่ยังเยาว์ การกระทำของพ่อแม่สำคัญแน่ๆ แต่เราก็ชอบถ้อยคำ โวหาร ชอบวิธีของคนสร้างสรรค์ขยันหาวิธี มันมีเสน่ห์ และทำให้ลมหายใจในรั้วบ้านไม่น่าเบื่อ ก็อีกแหละ ถ้ามองมุมนี้ เราน่าจะอยู่ในกลุ่มพ่อแม่น่าเบื่อฉิบหาย คิดเกมสนุกๆ ไม่ค่อยเป็นกับเขา ซึ่งก็น่าจะถูกต้องแล้วละที่มีลูกคนเดียว ขณะที่ของคุณ ฟังแล้วมันน่ามีอีกสักสิบคน ตั้งทีมฟุตบอลไปเลย สหาย.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue