สวัสดีครับพี่หนึ่ง
ขออภัยที่ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้มาล่าช้ากว่าที่เราตกลงกัน
ไม่กี่สัปดาห์มานี้ ผมมีโอกาสได้พบปะคนต่างชาติที่อพยพมาอยู่ที่พะงันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง
จากที่คิดว่าอาจอยู่ได้แค่หนึ่งปีเพราะไม่มีธุรกิจอะไรที่นี่ ใจผมก็เริ่มเรรวน ความฝันเรื่องหมู่บ้านนานาชาติกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
ฝรั่งหน้าใหม่ๆ ที่ผมพบนั้นล้วนขายทรัพย์สินที่บ้านเกิดตัวเองแล้วเอาเงินส่วนนึงมาลงทุนที่นี่ ถ้าไม่นับว่าพวกเขามาจากประเทศที่ค่าครองชีพสูง รายได้และมูลค่าทรัพย์สินที่มีก็มักจะสูงกว่าคนในวิชาชีพเดียวกันในประเทศไทยโดยเปรียบเทียบ แต่การที่พวกเขาจะลงทุนทำธุรกิจอะไรที่นี่ ก็มีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย ไหนจะเรื่องภาษา ข้อจำกัดทางกฏหมาย และเส้นสายกับภาครัฐ
คนไทยอย่างเราๆ เวลาจะก่อสร้างอะไรในผืนดิน ก็มักจะต้องคิดก่อนว่าเป็นดินของเรารึเปล่า แต่กับพวกเขาคิดอีกแบบ เอาแค่มีสัญญาเช่าคุ้มครองสัก 20-30 ปี คนต่างชาติเหล่านี้ก็พร้อมจะลงทุน แล้วตั้งเป้าว่าจะทำให้คืนทุนได้ใน 5-10 ปี ส่วนระยะเวลาที่เหลือในสัญญาเช่านั้นคือช่วงเวลาตักตวงกำไรของพวกเขา เงินลงทุนกับผืนดินก็น้อยกว่าเพราะแค่จ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี
เคยคุยเรื่องนี้กับชัย ทนายความชาวอิสราเอลครั้งหนึ่ง ผมบอกว่าลงทุนซื้อที่ดินทำบ้านเช่าก็ดีนะ หลังจากคืนทุนแล้วยังกำไรจากมูลค่าที่ดินเติบโตขึ้นทุกปีอีกต่างหาก ชัยหันกลับมามองแบบเคืองๆ (ไม่รู้ว่าด้วยความน้อยใจที่ดินซื้อไม่ได้ หรือรำคาญวิธีคิดแบบนี้) แล้วบอกว่าพวกคุณ (คนไทย) ก็คิดกันซะอย่างนี้ ประมาณว่าเป็นพวกหวังกำไรจากเวลาที่ผ่านเลย ในขณะที่เขาคิดว่าลงทุนอะไรไปแล้ว จะคืนทุนในกี่ปี และหลังจากคืนทุนทรัพย์สินนั้นๆ (บ้านเช่า) จะทำเงินให้พวกเขาอีกเดือนละเท่าไร

คนหนึ่งมองเรื่องอสังหาริมทรัพย์ดั่งสายธารหรือสายแร่ ที่สร้างเงินให้พวกเขาอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งหมดสัญญาสัมปทาน
ส่วนอีกคนมองเหมือนอสังหาริมทรัพย์ดั่งสลากออมสิน ยังไงราคาที่ดินก็เติบโตอยู่แล้ว และถ้าหากโชคดีที่ดินบางผืนอาจมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างพรวดพราดด้วยเหตุปัจจัยบางอย่าง ก็ดูคล้ายๆ กับการถูกหวย
วิธีคิดที่ต่างกันอาจนำมาสู่ความพยายามและผลลัพธ์ที่แตกต่าง พี่เชื่อไหมว่า ฝรั่งที่สร้างบ้านบนผืนดินที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของนั้น โดยส่วนใหญ่สร้างดีและน่าอยู่กว่าคนไทยที่สร้างบ้านบนที่ดินของตัวเองแท้ๆ ซะอีก
ที่พูดว่าดีกว่านี่คือในความหมายของมาตรฐานสากลนะครับ คนเราถ้าสร้างอยู่เองไปทั้งชีวิตก็เรื่องนึง แต่ถ้าสร้างแล้วอยู่เองช่วงเวลาหนึ่งและอาจปล่อยให้คนชาติอื่นมาเช่าในอีกช่วงเวลา การยึดกับสิ่งที่เป็นของสากลโลกอาจดูมีอนาคตกว่า แล้วไอ้มาตรฐานสากลพวกนี้มันต้องเริ่มตั้งแต่งานโครงสร้าง อาทิ ความกว้างของบันได ขนาดของห้องต่างๆ ที่ได้สัดส่วน ระบบระบายอากาศ
คนหนึ่งมั่นใจว่าทำให้ดี สิ่งปลูกสร้างจะทำรายได้ต่อเนื่อง อย่างมากหน้าโลว์ก็ลดราคาค่าเช่าสักหน่อย
อีกคนบอกว่าลงทุนสร้างแบบประหยัดๆ ดีกว่า เอาแค่ให้พอได้ค่าเช่าเล็กน้อยๆ ประวิงเวลารอราคาที่ดินขึ้น กระทั่งหน้าไฮก็อาจไม่มีคนมาพักก็เป็นได้
ส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่าเกิดปรากฏการณ์บ้านฝรั่งสวยกว่าบ้านคนไทยก็คือเรื่องความเข้าใจในวัฒนธรรมอันหลากหลาย ความเอาใจใส่ในรายละเอียดของสิ่งที่เรียกว่าบ้าน รสนิยมทางศิลปะ คนไทยรวยๆ นี่เงินในกระเป๋าก็เยอะไม่แพ้ฝรั่งหรอกครับ มันอยู่ที่ใจว่าพร้อมจะจ่ายและลงทุนรึเปล่า บางครั้งพอใจมันไม่เอา เงินในกระเป๋าก็เลยไม่เคลื่อนที่ไปในทางที่ดินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากสิ่งปลูกสร้างที่สวยงาม หากแต่ถูกใช้ไปเพื่อปริมาณที่ดินในครอบครองแทน

บ้านเช่าที่นี่จึงมีราคาตั้งแต่สี่ห้าพันไปจนถึงแสนกว่าบาทต่อเดือน ทั้งๆ ที่ทำเลแทบไม่แตกต่างกัน ความต่างหรือส่วนต่างระดับนี้ทำให้คนต่างชาติจำนวนหนึ่งเห็นช่องทางในการทำธุรกิจ อุปสรรคเยอะกว่าคนไทยไม่เป็นไร พวกเขาเชื่อว่าจะเอาชนะทางธุรกิจด้วยทุนทางวัฒนธรรมและทัศนคติของพวกเขา
นี่เล่าให้ฟังแบบขำๆ นะครับ ผมเดาว่าถ้าครั้งนี้ผมซื้อที่บนเกาะจริงๆ ผมอาจจะซื้อผ่านนายหน้าฝรั่ง ลูกพี่เค้าชื่อเค็ม (Kem) เป็นคนฝรั่งเศส เคยทำงานแถบหมู่เกาะในแคริเบียน ช่วงสี่ห้าปีก่อนเริ่มรู้สึกว่าหมู่เกาะแถบนั้นไม่ปลอดภัย ความเหลื่อมล้ำสูงพอๆ กับเมืองไทย แต่คนท้องถิ่นที่นั่นไม่ยอมจำนนและอาจก้าวร้าวกว่าคนไทย เหตุการปล้นชิงทรัพย์ ขโมยข้าวของเป็นเรื่องสามัญ แทนที่จะออกจากบ้านได้ทุกเวลาและไปได้ทุกๆ ที่บนเกาะ มันดูจะปลอดภัยกว่าที่จะอยู่บ้านยามวิกาลและเดินทางไปแค่บางพื้นที่ของเกาะ
เค็มย้ายมาอยู่เกาะในอีกซีกโลกที่เขารู้สึกว่าปลอดภัยกว่า และเริ่มเป็นนายหน้าขายที่ดิน สองสามครั้งที่เราพบกัน นอกจากจะมีบทสทนาที่ดีว่าเกาะพะงันน่าอยู่อย่างไรแล้ว เค็มมักจะฟังไอเดียของผู้ซื้ออย่างผม แล้วหาที่ที่เหมาะสมมานำเสนอ ขั้นตอนง่ายๆ อย่างการฟัง ทำการบ้าน และนำเสนอที่ดินแต่ละแปลงอย่างจริงใจ (อธิบายข้อดีข้อเสีย ความเสี่ยง สถานการณ์ของผู้ขาย) นี่ก็มีผลทำให้ผมรู้สึกพอใจและเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่แพงกว่าการไล่หาและซื้อกับเจ้าของที่ด้วยตัวเอง
ถ้านายหน้าทำงานได้อย่างนี้ ผมคิดว่าคุ้มกับส่วนต่างของราคา
ทุกวันนี้ วันๆ ผมมักจะตระเวนดูที่ดิน และหอบความฝันสร้างวิมานในอากาศไปวางไว้ตามผืนดินแปลงต่างๆ ที่ได้ไปเยือน บ้างเหมาะ บ้างไม่ ไว้เริ่มลงหลักเมื่อไร จะเชิญพี่หนึ่งมาทำพิธีลงเสาเอกครับ
ด้วยมิตรภาพ
จ๊อก

ตอบ จ๊อก
คล้ายหลายๆ ครั้ง อ่านจดหมายคุณไปด้วยความสนุกและเอาใจช่วยในความฝันอันพึงมีพึงได้ เป็นแสงแห่งความหวังเช่นที่ชาวกรุงมีผู้ว่าฯ ชัชชาติ ไม่มีเรื่องเล่าของคุณ เราก็นึกไม่ออกว่าจะไปหาฟังทัศนะเรื่องบ้านเรื่องที่ดินของพวกฝรั่งแบบนี้ได้ที่ไหน บางมุมโลกเราเหมือนแคบลง แต่กับเรื่องแรกๆ เรื่องที่เป็นพื้นฐานมากๆ อย่างวิธีคิดเกี่ยวกับบ้าน ทบทวนดูแล้วก็พบว่ามีเรื่องเล่าทำนองนี้น้อย และวนเวียนอยู่ในกรอบคิดเดิมๆ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นสิ่งที่เราท่านต้องตระหนักรู้ให้ถ่องแท้ ด้วยมันล้อมรัดกวาดเกี่ยวทุกมิติชีวิตมากองรวมกันหมด ไม่ว่าเงิน งาน เวลา คนรัก เพื่อนบ้าน แสงแดดสายฝนสิ่งแวดล้อม ฯ ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกถูก ทุกโจทย์ก็ไม่น่าจะแก้ไขยากเย็นเกินไป
ขณะที่คุณกำลังทำวิจัยในวิมานแห่งใหม่ เดือนนี้ทั้งเดือนของเราก็ขลุกคลุกอยู่กับ ‘นกก้อนหิน’ โปรเจ็กต์ที่รับปากมาว่าจะเป็นผู้ผลิตให้พี่นักเขียน โดยหลักการและเหตุผล ‘บางลำพู’ ก่อตั้งมาเพื่อดูแลงานของเราเท่านั้น ไม่มีเป้าหมายในการทำธุรกิจสำนักพิมพ์ (ในความหมายว่าเฝ้ามอง เล็งหา วิจารณ์วิจัย ว่าอะไรจะทำเงิน / ไม่ได้รังเกียจนะ มันเป็นการงานสุจริต แค่เราไม่ถนัด ไม่มีใจ ไม่สนใจ) ในอดีตเคยเอ่ยอ้างข้อยกเว้น เดินออกจากจุดยืน ตัดสินใจพิมพ์งานของเพื่อนคนหนึ่ง (ธีร์ อันมัย กับรวมเรื่องสั้น ‘ตะวันออกเฉียงเหนือ’) ครั้งนี้ก็คล้ายกันคือพิมพ์เพราะว่าเป็นเพื่อน ภาคภูมิใจที่ได้จัดพิมพ์ เพียงแต่มันก็จะวุ่นๆ หน่อย เพราะอยู่กันคนละที่ ชีวิตกระจัดกระจาย ทั้งนักเขียน นักออกแบบ และคนจัดพิมพ์

ยุคนี้–กับใครคนอื่น ฟังแล้วเขาคงยักไหล่ ส่ายหน้า เทคโนโลยีทะลุฟ้าทะลุดินหมดสิ้นแล้วลุง อยู่ไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้น
ไม่ผิดหรอก แค่กับเรา มันเป็นจังหวะที่ยังไม่เข้าจังหวะ เป็นรูปรสสัมผัสห่างไกล ไม่อร่อย
นี่ยังไม่นับเงื่อนไขข้อจำกัดเสริมอีกว่านักเขียนก็ไม่แข็งแรงนัก นักออกแบบเลี้ยงลูกเล็ก ฝ่ายเราก็มะรุมมะตุ้มกับงานสื่อใหม่รายสัปดาห์ ผลพวงแห่งความขัดขืน ยืนยันว่าจะทำ ที่สุดก็ถือว่าลุล่วง ส่งเข้าโรงพิมพ์ไปได้ ถัดจากนี้ก็ว่ากันไปตามกระบวนการค้าขายจัดจำหน่าย ขอบคุณมากที่คุณช่วยชี้เป้าให้ชักชวน ‘เปิ้ล-ป่าน’ แห่ง fathom bookspace มาทำพรีออร์เดอร์ กว่าที่หนังสือเล่มหนึ่งจะถึงมือผู้อ่าน เราต้องการมืออาชีพจำนวนไม่น้อยเลยจริงๆ
ตามความน่าจะเป็น จดหมายของคุณควรจะออนไลน์ตั้งแต่เมื่อวาน (june 24) แต่เราไม่มีสมาธิเลย มัวแต่ติดตามข่าวกิจกรรมต่างๆ นานาที่กรุงเทพฯ ฟังปาฐกถาณัฐวุฒิ, อาจารย์พวงทอง, โภคิน, จาตุรนต์ ต่อด้วยเทปที่จอม เพชรประดับ สัมภาษณ์ปวีณ นายตำรวจผู้ลี้ภัย ไหนจะไลฟ์ทะลุฟ้า และสำนักข่าวราษฎร ที่รายงานเรื่องราวลานคนเมือง ฯลฯ ทั้งสิ้นทั้งปวง ฟังแล้วดูแล้วแม่งก็คือวันคืนแห่งความหวังอย่างแท้จริง คุณสังเกตมั้ย สองสามปีมานี้ ไม่ว่าครบรอบ 6 ตุลาฯ ไม่ว่า 22 พฤษภาฯ และล่าสุด 24 มิถุนาฯ เยาวชนคนหนุ่มสาวตื่นตัวมาก กระตือรือร้นมาก ชัดเจนว่าพวกเขาและเธอรับรู้ รับสปิริตอิสรภาพมาจากคณะราษฎร แปดปีกับแก๊งมาเฟียกดทับประเทศ (และหวาดกลัวแม้กระทั่งปากกา) เป็นแปดปีเดียวกันที่ทำให้ผู้คนยิ่งหิวโหยแสวงหาความรู้ และเมื่อรู้ ต่างก็ลุกขึ้นยืน
มันแตกต่างมากเลยนะกับทศวรรษสามศูนย์ หรือเมื่อสามสิบปีก่อน เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ มีกลุ่มเดียว หยิบมือเดียวที่พร่ำพูด (หนึ่งในนั้นคือ วัฒน์ วรรลยางกูร) ส่วน 24 มิถุนาฯ เงียบกริบ คนรุ่นเราเติบโตมาโดยไม่เคยได้ยินคำว่า ‘วันชาติ’ มีแต่ความเป็นทาสที่เขาเฝ้ายัดเยียดให้ มีแต่ความจน โลกแคบ ด้อยโอกาส ที่คนชั้นสูงผู้เป็นเจ้าของอำนาจดื้อด้านประกาศว่างดงาม พอเพียง
แล้วคุณดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานสิ คุณเห็นภาพการเต้นรำเฉลิมฉลองท่ามกลางสายฝนมั้ย คุณได้ยินสำนึกในหัวใจคนหนุ่มสาวถึงคำว่า ‘วันชาติ’ กระหึ่มกึกก้องใช่มั้ย ใครจะยกมือปิดป้องท้องฟ้าได้ ใครจะหยุดหัวใจแห่งเสรี บางทีมันก็เป็นเรื่องเดียวกันนะเราว่า คือขณะที่คุณกำลังหาเหลี่ยมหามุมสร้างบ้านหลังใหม่ในอุดมคตินานาชาติ เพื่อนร่วมชาติของเราก็กำลังทำความสะอาดบ้านหลังนี้ให้น่าอยู่ และสันติสุข ข้างผนัง–แขวนนาฬิกาที่เข็มของมันหมุนไปตามกฎ กติกาอารยะ.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน