ปริมาณความฝันน้อยกว่าปริมาณที่ลงมือ บางเรื่องก็ฝึกฝน บางทุกข์ก็อดทน หลายอย่างออกแรงเคลื่อนไหวทำสิ่งที่ใช่ที่เลือก แล้วยอมรับผลที่จะเป็นไป
บางวันดูเหมือนร้องขอรอฟ้าดิน เมื่อวันเวลาพาเราล่วงเลยมาไกล สำนึกรู้ชัดว่าเราได้รับการช่วยเหลือหลายรูปแบบทั้งนามธรรมและรูปธรรม เราไปดูคนอื่นทำไปฟังคนอื่นพูด คือทุนความคิดที่เหมือนฟ้าดินบอกเราผ่านคนอื่น เขาแบ่งปันประสบการณ์ แบ่งปันความหวังและความเข้มแข็งให้เราเห็น เขาปฏิบัติต่อบางฝันที่คล้ายกันได้ยังไง
เราเชื่อว่าจินตนาการมีชีวิตต่างจากข้อมูล ไม่มีการตัดสินใจครั้งไหนสำคัญสุดหรอก ทุกการตัดสินใจ มันดูคล้ายผจญภัยทุกครั้ง ทางแยกใหม่ท้าทายเสมอ และงานเขียนความคิดจากบทสนทนาหลังมื้ออาหารที่ไม่ใช่วิชาการใน ‘น่านไดอะล็อก’ ครั้งนี้ นี่คือความตื่นเต้นอีกครั้งใช่ไหม ถามใจตัวเอง
คำตอบคือใช่ ข้อเขียนความคิดจากประสบการณ์ที่ยืนยันวันเวลาของเรา นี่คือเรี่ยวแรงสุดท้ายที่อยู่บนระนาบสว่างไสว ความรักที่จะเขียนเป็นเชื้อปะทุขับเน้นให้เห็นแสงสว่างบนทางแยกนี้
จากกองแผ่นกระดาษว่างเปล่าที่เฝ้าขีดเขียน ร่างร่องรอยชีวิต แผ่นแล้วแผ่นเล่า นี่ไม่ใช่กิจกรรมพักร้อน แต่มันเป็นวันเวลาจริงของชีวิต ภาพร่างบนกระดาษ บนวัสดุชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านี้ไม่ใช่เศษกระดาษ มันคือส่วนประกอบของกลิ่นและเสียงในงานของเรา
ใจยังยืนอยู่กับสิ่งนี้ แม้จะมีเสียงรบกวนจากข้อกังวลอื่นๆ จากความขลาดเขลากับบางเรื่อง กับบางเสียงบั่นทอน (อย่าคิดว่าจะหนีพ้น) มันวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ถ้ายังยืนยันไม่หยุด เรามองว่าเสียงทั้งหมดนั้นจะเงียบไปเอง
การทดลองของศิลปิน
บนพื้นที่ว่างเปล่า ถ้าศิลปินกลุ่มนี้ขาดจินตนาการ ถ้าไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรใหม่ตามที่ฝัน อเมริกาจะมี Black Mountain College (BMC) ไหม
BMC คือตำนานสำนักคิดเชิงนวัตกรรมที่เป็นแบบอย่างในความกล้าหาญ กล้าทดลองรูปแบบการศึกษาที่เน้นศิลปกรรมและรูปแบบการศึกษาที่ก้าวหน้าที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
Black Mountain College ก่อตั้งโดย John Andrew Rice และกลุ่มเพื่อนอาจารย์และศิลปิน เขาเป็นทั้งศิลปินและศาสตราจารย์ที่เชื่อว่าการฝึกฝนศิลปะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เขาและเพื่อนศิลปินยกทีมออกจาก Rollins College ด้วยข้อขัดแย้งทางความคิดและยังชักชวนนักศึกษากลุ่มหนึ่งให้ออกมาร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนแห่งใหม่ตามจินตนาการ
Black Mountain College ก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ปี 1933 เป็นช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่สองพอดี ตั้งอยู่บนภูเขา Buncombe County รัฐนอร์ทแคโรไลนา ข้ามหุบเขาไปที่ทะเลสาบอีเดน ไม่ไกลจากที่เดิม พวกเขาตั้งใจใช้พื้นที่นี้ทดลองวิธีการเรียนการสอนแบบใหม่ ที่แหวกแนวจากมาตรฐานเดิมของโรงเรียนโดยทั่วไปในสมัยนั้น
โรงเรียนใหม่นี้มีหลายสถานะ ภาพหนึ่งคือเป็นแหล่งทดลองที่ช่วยปฏิวัติกวีนิพนธ์ในช่วงกลางศตวรรษที่ยี่สิบ ปัญญาชนฝั่งยุโรปยอมรับและเชิดชูนักศึกษาที่ได้รับการบ่มเพาะจากบีเอ็มซีในฐานะศิลปินอเมริกันแนวหน้ารุ่นใหม่ พื้นที่นี้ครูและนักศึกษาได้ทดลองใช้ชีวิตร่วมกันจนกลายเป็นศูนย์กลางของขบวนการศิลปะสมัยใหม่ของอเมริกา
ด้วยความกล้าหาญของกลุ่มศิลปินอกหักจาก Rollins College ในฟลอริดาและนักศึกษาที่มีจิตสำนึกสร้างสรรค์ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าสู่กระบวนการ พวกเขาร่วมกันสร้างความฝันให้เป็นจริง
ที่ท้าทายสุดในยุคนั้นคือการยกระดับวิชาศิลปกรรมให้มีสถานะเป็นหลักสูตรสำคัญเทียบเท่าวิทยาศาสตร์ ด้วยความเชื่ออย่างจริงจังว่าศิลปะคือศูนย์กลางของประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งปวง มีฝันแล้วลงมือทำคือโอกาส เริ่มต้นสร้างฝันด้วยการเช่าที่ ต่อมาจึงได้ช่วยกันสร้างอาคารใหม่ขึ้นเอง เปิดเทอมแรกเมื่อปี 1933 มีครู 13 คน นักเรียน 26 คน (สองต่อหนึ่ง โรงเรียนในอุดมคติจริงๆ) ความฝันเริ่มเป็นจริง ครูและนักศึกษาตกลงร่วมกัน เลือกทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ จากแนวคิดด้านการศึกษาของ เซอร์จอห์น ดิวอี้ (นักปรัชญาการศึกษาอเมริกันที่เชื่อว่า มนุษย์จะต้องปรับตัวเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด และสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ การศึกษาต้องเน้นฝึกให้มนุษย์แก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง และให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากการกระทำของตัวเองที่เราเรียกกันว่าประสบการณ์นิยม)
แบบที่เน้นเป็นคนๆ ไป คือให้ทุกคนได้พัฒนาตามทุนที่เขามีอยู่ในตัวเอง
วิธีเรียนของเขาคือให้คนวาดรูปจับคู่กับคนเต้นระบำ คนเล่นดนตรีจับคู่กับคนปั้น คนทำฟิล์มจับคู่กับนักแสดง ครูจับคู่กับนักศึกษา เรียนกันตัวต่อตัว รุ่นพี่จับมือรุ่นน้อง จัดสภาพแวดล้อมให้เป็นประชาธิปไตย ทำพื้นที่นี้ให้เป็นแหล่งบ่มเพาะอย่างเข้มข้น ผลการจับคู่จะเละเทะหรือรุ่งเรืองก็ให้เป็นไปตามเนื้อในของแต่ละคู่แต่ละคน
ถ้าอีโก้ไม่ชนกันดุเดือดเกินไป เขาก็จะได้อะไรๆ เอง แล้วผลปรากฏว่าศิลปินจัดวาง ศิลปินต้นแบบเกิดขึ้นที่นี่มากมายหลายคน กล่าวกันว่าที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มจุดแวะพักของกลิ่นศิลปะและปัญญาที่นำมาจากทิศตะวันออกผ่านวรรณกรรม ‘เต้าเต๋อจิง’ ที่เขียนโดย ‘หล่าวจื่อ’ เนื้อหาในคัมภีร์ว่าด้วยคุณธรรมที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมจีนและหลายสำนักคิดฝั่งตะวันตกจนถึงทุกวันนี้
พุทธนิกายเซนของ ฮวงโป ดาดาอิสม์ โยคะ และรพินทรนาถ ฐากุร มหากวีที่เปลี่ยนคนแปลกหน้าให้มาเป็นพี่น้องกัน มาถึงที่นี่และซีกโลกตะวันตกพร้อมๆ กัน
สภาพบนเขาเงียบสงบที่เข้มข้นในการสร้างสรรค์ คือพื้นที่ในตำนานที่ให้นักศึกษาทดลองสร้างศิลปะกับวัสดุอะไรก็ได้ที่อยากทำ อันนี้คือหัวใจของโรงเรียน ปัจจัยหนึ่งที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์คือการผสมผสานของศิลปินฝั่งยุโรปที่ถ่ายเทความรู้แลกเปลี่ยนกันได้ลงตัว เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มีอำนาจมากในขณะนั้น เขาสั่งปิดโรงเรียนการออกแบบเบาเฮ้าส์ที่ดีที่สุดระดับโลกในยุคนั้น ศิลปินครูบาอาจารย์หลายคนหนีเอาตัวรอดจากอุดมการณ์ฟาสซิสต์ นักคิดนักเขียนปัญญาชนในยุโรปตอนนั้นถูกคุกคามรังแก หลายคนหนีมาอยู่อเมริกา หลายคนมาอยู่ที่ Black Mountain College
ผู้ก่อตั้งบีเอ็มซีได้ว่าจ้างศิลปินสามีภรรยาชาวเยอรมันชื่อ Josef และ Anni Albers อาจารย์จากเบาเฮ้าส์ รวมทั้งศิลปินชื่อดังอื่นอีกหลายคนให้มาเป็นครูสอนและชักชวนให้คนในชุมชนใกล้โรงเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นช่างก่อสร้าง เกษตรกร แม่ครัว คือมีครบทุกอย่างในการเป็นสังคมที่ดี และทุกคนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของโรงเรียน
ความงดงามและความยากจนกินได้
นอกจากความเห็นไม่ตรงกัน ขัดแย้งกับกลุ่มอาจารย์ที่ฟลอริดาแล้ว สภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงตกต่ำ ทุนก็น้อย สุดท้ายมหาเศรษฐี Malcolm Forbes จากตระกูล Forbes ก็เข้ามาดูแล (มันจะหนีทุนนิยมไปได้ยังไง) ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำเนินงานได้ยืนยาว ถ้าครูไม่ยอมรับค่าจ้างน้อยนิดและสร้างกระบวนทัศน์การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายติดดิน อาหารมาจากพื้นดินของโรงเรียน พวกเขาช่วยกันทำทุกอย่างราวกับว่ากำลังบุกเบิกแผ่นดินใหม่ ด้วยแนวคิดว่าความสะดวกสบายของชีวิตที่แลกกับอิสรภาพนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม
วิทยาลัยทดลองนี้มีอายุสั้น หลักสูตรการเรียนรัฐบาลก็ไม่รับรอง ด้วยผู้ว่าการรัฐที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมไม่ต้องการให้มีแนวคิดคล้ายแบบอย่างสังคมนิยมในตอนนั้น เราไม่เคยไป ไม่เคยเห็น แต่เคยเรียนรู้ว่าจิตวิญญาณของ Black Mountain College คือความงดงามและความยากจนกินได้
ช่วงเวลาไม่นานนัก ตำนานแห่งโลกศิลปะศูนย์บ่มเพาะความก้าวหน้าหายใจอยู่ได้ราวยี่สิบสามปีก็ปิดตัวลง แต่ปรัชญาของสำนักคิดขนาดเล็กนี้ยังมีอิทธิพลต่อศิลปะเกือบทุกด้าน ไม่ว่ากวีนิพนธ์ เต้นรำและดนตรี
มาดูกันในกรอบเล็กเฉพาะส่วนของ Visual Art ปัญญาที่เกิดขึ้นในช่วงการเคลื่อนไหวของครูและนักศึกษาของ BMC ที่ตกทอดมาถึงวันนี้ ทั้งศิลปินและแนวคิดมีมากเกินจะนับ หนึ่งในต้นแบบงานที่โดดเด่นคือ Happening Art
สถานที่เกิดครั้งแรกในโรงอาหารของตัวอาคารที่มีหน้าต่างแบบบ้านในชนบท ภายในประกอบด้วยเตาผิง พื้นเป็นพื้นไม้ขัดมัน มีโคมไฟระย้าและล้อเกวียน ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งแรกปี 1952 งานที่รับแนวคิดมาจากปรัชญา Dadaism ทั้งหมด ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้สร้างหน้าตาใหม่ของการแสดงมัลติมีเดียที่เคยซับซ้อน และจากจุดนี้คำจำกัดความของคำว่า Happening Art ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นแนวคิดหลักให้ศิลปินรุ่นหลังอีกหลายคนเช่น Nam June Paik ศิลปินมัลติมีเดียเกาหลีระดับหัวแถว Yoko ono (Multimedia Artist) ฯลฯ
ภาพความเคลื่อนไหวที่ถูกบันทึกไว้ด้วยวีดิโอคือ มีคนดูนั่งเรียงตัวอยู่กลางห้องเป็นรูปสามเหลี่ยม จากเพดานมีรูปของ Robert Rauschenberg ห้อยลงมา มี John Cage นักประพันธ์เพลงนั่งอยู่ระหว่างขั้นบันไดแล้วอ่านข้อเขียนที่เขาคัดเลือกมา จากนั้นก็เปิดวิทยุ จิตรกร Robert Rauschenberg เป็นผู้เล่นแผ่นเสียง มีอีกคนอ่านบทกวี คนนี้เล่นเปียโนคนอื่นก็เต้นระบำ พร้อมกันนี้มีหนังฉายขึ้นเพดาน ทั้งหมดนี้อาจดูไม่แปลกใหม่ แต่สิ่งนี้ยังไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น
ผลผลิตของ BMC ที่โดดเด่นอีกคนหนึ่งคือ Ruth asawa ประติมากรหญิงชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ที่โลกไม่รู้จักไม่ได้ เธอเกิดที่ลอสแอลเจลิส พ่อของเธอถูกเอฟบีไอจับในข้อหาเป็นสายลับ หลังญี่ปุนโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ พ่อถูกขังที่นิวเม็กซิโก ส่วนเธอและแม่ถูกคุมขังร่วมกับชาวญี่ปุ่นกว่าแสนคนที่คอกม้าแคลิฟอร์เนีย
ที่ค่ายคอกม้า เธอเจอชายหนุ่ม Animator ของวอลต์ ดิสนีย์ ที่ถูกกักในบริเวณเดียวกัน เขาสอนเธอวาดรูป จากนั้นเธอไปเรียนที่วิทยาลัยศิลปะเพื่อเป็นครู ระหว่างนี้เธอก็เรียนการเขียนพู่กันและประดิษฐ์ตัวอักษรญี่ปุ่นด้วย เมื่อจบการศึกษาเธอย้ายมาเข้าเรียนที่บีเอ็มซี ที่นี่ได้หล่อหลอมตัวเธอให้สร้างผลงานที่ชาวโลกน่าจะรับรู้การมีอยู่ของเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ การทำงานและผลงานเธออยู่ในสายตาของ Josef Albers และ Buckminster Fuller อย่างใกล้ชิด (Buckminster Fuller ศิลปิน / สถาปนิกผู้จดสิทธิบัตรจิโอเดสิกโดมผู้ยิ่งใหญ่)
หลังการแต่งงาน สามีสถาปนิกสนับสนุนและช่วยเหลือให้เธอได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง รูปปั้นนามธรรมแขวนลอยอยู่เต็มบ้านทุกสิ่งทุกอย่างงอกงามเต็มที่ เธอค้นพบวิธีสร้างงานแบบ ad Infinitum ที่ทำให้รูปทรงนั้นขยายตัวไปได้ไม่รู้จบ ลองค้นดูผลงานของเธอแล้วจะทึ่งและน่าภูมิใจในสิ่งที่เธอทำ การทวีคูณของรูปทรงในผลงานกระตุ้นให้เกิดความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติ ทำให้คนนึกถึงปลาวางไข่จำนวนมหาศาล รังมดดำที่เดินมาเป็นกองทัพ หรืออะไรอื่นในธรรมชาติที่เราคุ้นเคย
ผลงานของเธอสร้างความรู้สึกยอมยกให้ เธอถักโครเชท์ด้วยลวดทองแดง เหล็กเส้นอาบสังกะสีและเส้นทองเหลือง วัสดุที่ไม่ใช่บางเบาราวปุยนุ่นนะ เธอถักแหจับปลาด้วยเส้นทองแดง น่าจะเป็นวัสดุใหม่แตกต่างจากที่เคยเห็นมาประติมากรรมแขวนลอยรูปทรงอิสระ เป็นรูปหยดน้ำรูปวัชพืชจัดแสดงในแกลเลอรี ผลงานสมมาตรสวยงามน่าทึ่งราวรูปทรงนั้นกำลังหายใจ
เธอยังมีอาจารย์เป็นนักประพันธ์เพลง John Cage จิตรกร Robert Rauschenberg และนักเต้นอเมริกัน Merce Cunningham อีกด้วย
ปี 1957 พื้นที่ทดลองสร้างความฝันปิดตัวไปแล้ว แต่ชื่อเสียงและแนวคิดในการทดลองยังก้องกังวาน ปัญญาที่ตกค้างคือตัวอย่างบางวัฒนธรรมที่ครูและนักเรียนได้ร่วมกันออกแบบ ร่วมกันประดิษฐ์และกำหนดขึ้น
รูปแบบของการพึ่งพาอาศัยกันของผู้คนในชุมชน การแบ่งภาระหน้าที่รับผิดชอบ แนวคิดและวิธีปฏิบัติเหล่านี้ได้รับการขยายแนวคิดไหม ไม่มีใครประเมินเป็นรูปธรรมได้ สิ่งที่เหลืออยู่ข้ามศตวรรษคือนามธรรมต้นแบบที่ปรากฏอยู่ในสุนทรียภาพของศิลปินรุ่นหลัง บีเอ็มซีก็เหมือนกองกระดาษเปล่าที่เราใช้ขีดเขียนรูปรอยชีวิต สร้างสีและสำเนียงของเรา
วันนี้สภาพกระดาษกับร่องรอยเหล่านั้นเริ่มเก่าและจะเสื่อมสลายไป ไม่ใช่ในสถานะเศษกระดาษ.
เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม
เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’