interview nandialogue
interview

Exclusive ‘จอมยุทธ์’ อานนท์ นำภา เปิดน่านฟ้าบทสนทนาเสรี

วันนี้เมื่อปีกลาย 13 ตุลาคม 2020 ผมนั่งกินดื่มอยู่กับเพื่อนที่กรุงเทพฯ และจู่ๆ ในยามพลบ อานนท์ นำภา ก็เดินเข้ามา

ภาษาชาวบ้านเรียกว่าซีนผีจับยัด เป็นบทสัมภาษณ์ที่ไม่ได้นัดหมาย–จะพูดอย่างนั้นก็ได้

ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เตรียมตัว แต่เมื่อบังเอิญพบปะทะแกนนำคนสำคัญของฝ่ายประท้วงขับไล่รัฐบาลและเสนอให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จะให้นิ่งเฉยดูดายคงไม่ใช่วิสัย

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมมีงานบรรยายที่คณะนิเทศฯ จุฬาฯ ส่วน อานนท์ นำภา ก็อย่างที่รู้ เขาและเพื่อนทำม็อบ 14 ตุลาคม ที่หน้าทำเนียบ ในวงเล็บว่า ไผ่ ดาวดิน ก็เพิ่งถูกจับไปเมื่อช่วงเย็นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ไม่ได้เตรียมตัวกันทั้งสองฝ่าย แต่สถานการณ์นี้ย่อมมิอาจเป็นอื่น นอกจากหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาวาง ไล่เรียง พูดคุย ซักถาม

 

เมื่อสิบปีก่อน, มกราคม 2011 ผมเคยสัมภาษณ์ อานนท์ นำภา แบบยาวๆ ครั้งหนึ่ง (ตีพิมพ์ในเจอร์นัล OCTOBER ของ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา) เมื่อครั้งที่ทนายน้อยๆ ในวัย 26 ปี เพิ่งจบหมาดๆ และริเริ่มทำสำนักทนายความราษฎรประสงค์

ตัดบทโปรยมาให้ดูอีกครั้งก็ได้–

ผู้ชายคนนี้ชื่อ อานนท์ นำภา อายุ 26 ปี ประกอบวิชาชีพทนายความ

ไม่น่าจะมีเหตุอะไรจำเป็นต้องเดินทางไปนั่งคุยหลายชั่วโมง และใช้กระดาษอีกนับสิบๆ หน้าถ่ายทอดความคิดเห็น ประสบการณ์ ถ้า..

หนึ่ง เขารับจ้างทำคดีธุรกิจทั่วไป เลิกงานแล้วก็ดูหนัง กินเบียร์ ตีกอล์ฟ

สอง เขาไม่สนใจการเมือง และนิ่งดูดายเมื่อรัฐบาลใช้กำลังทหารล้อมกรอบ ‘ฆ่าประชาชน’

อานนท์ นำภา เป็นคนร้อยเอ็ด จบชั้นมัธยมฯ ที่บ้านเกิดแล้วเข้ามาเรียนคณะสังคมฯ ในรั้วเหลืองแดงอยู่ปีหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปเรียนนิติศาสตร์ รามคำแหง ใช้เวลาสองปีเศษก็จบการศึกษาออกมาเป็นทนายความอาชีพ
เพื่อนร่วมรุ่นส่วนใหญ่มุ่งไปสายอัยการและผู้พิพากษา อานนท์ นำภา ปักธงชัดเจนว่าขอยืนหยัดการเป็นทนาย เพราะสนใจใฝ่ฝันมาตั้งแต่ ม.5 ซื้อประมวลกฎหมายอาญามาอ่านเอง อ่านด้วยความสนุก อ่านแล้วเข้าใจคล้ายกำลังเสพนวนิยาย

เพื่อนร่วมรุ่นส่วนใหญ่อ่านหนังสือพิมพ์ หนังสือบันเทิง อานนท์ นำภา อ่านและเขียนบทกวี

ชีวิตของเขาอยู่กับชาวบ้าน บทกวีของเขาจึงบอกเล่าเรื่องชาวบ้านได้อย่างสะเทือนใจ

19 กันยายน 2549 พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจากรถถังและกองกำลังฝ่ายรัฐประหาร ขณะที่ฝ่ายผู้นำพลาดท่าเสียทีและถูกโค่นล้ม ประชาชนจำนวนมากคล้ายถูกบังคับให้ฟื้นตื่น

หนึ่งในนั้นคือองค์กรของคนเสื้อแดงซึ่งนับวันยิ่งเติบใหญ่ และมีแนวร่วมมากที่สุด

แม้จะถูกปราบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อานนท์ นำภา เข้าร่วมกับเครือข่าย 19 กันยาฯ เรียนรู้เส้นทางประชาธิปไตยผ่าน สมบัติ บุญงามอนงค์ และ น.พ. เหวง โตจิราการ

เมื่อครั้งสงกรานต์เลือด เมษา ’52 เขาเข้าไปเก็บหลักฐาน เพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐ แต่ไม่เป็นคดี

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สิบเมษาฯ และสลายการชุมนุมครั้งใหญ่ที่ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 อานนท์ นำภา เสนอตัวเข้าไปเป็นทนายอาสา ช่วยทำคดีคนเสื้อแดง ได้เห็นปัญหา ข้อเท็จจริง และความเดือดร้อนของชาวบ้านทุกวัน ในที่สุด เขาตัดสินใจลาออกจากสำนักงานกฎหมายมีสิทธิ์และการบัญชี มาทำคดีที่ค้างคาใจเพียงอย่างเดียว

นั่นคือที่มาของสำนักงานทนายความราษฎรประสงค์ ที่เปิดสดๆ ร้อนๆ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

เปิดขึ้นมาเพื่อทำคดีชาวบ้านโดยตรง คดีคนเสื้อแดง และคดีหมิ่น

สำนักงานเล็กๆ แห่งนี้มีทนาย 3 คน บริหารงานด้วยเงินบริจาคภายใต้ปรัชญาตามชื่อ ‘ราษฎรประสงค์
ไม่แปลก ถ้าเดินเข้าออฟฟิศนี้แล้วเจอชาวบ้านผู้เป็นจำเลยมากินมานอนที่นี่ และไม่แปลก หากพื้นที่บางส่วนจะกันไว้สำหรับจัดกิจกรรมการเมืองและศิลปวัฒนธรรมของประชาชน

วิสา คัญทัพ ใช้โวหารเปรียบเปรยว่า อานนท์ นำภา คือสาย สีมา ตัวละครเอกในวรรณกรรม ‘ปีศาจ’

ตัวเขาเอง–อานนท์ นำภา บอกว่ารู้จักและสนใจอาชีพทนายเพราะมีไอดอลชื่อ ทองใบ ทองเปาด์
จะเป็นเพราะใคร หรือคล้ายใครก็ตาม ทนายความของราษฎรก็เกิดขึ้นแล้ว

 

นั่นเป็นข้อเขียนเก่า ความนำของบทสัมภาษณ์ในอดีตเมื่อสิบปีก่อน

ส่วนนี่เป็นเทปเก่า บันทึกไว้เมื่อ 13 ตุลาคม ปีที่แล้ว ตั้งใจนำมาเปิดเผยแพร่วันนี้ วันครบรอบปีที่ผมกับเขาพูดคุยกัน ตั้งใจนำมาสื่อสาร ส่งเสียงกับสังคม ว่าสิ่งที่กระบวนการยุติธรรม และผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ กระทำกับนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่นหนุ่มสาว ณ ขณะนี้ ไม่ว่าการไล่ล่ายัดคดี ม.112 ไม่ว่าการขนสรรพกำลัง คฝ. ไล่ขยี้ที่สามเหลี่ยมดินแดง และไม่ว่าการยืนยันจับขัง ทำให้แกนนำคนรุ่นใหม่สิ้นไร้อิสรภาพ ฯลฯ

ทั้งสิ้นทั้งปวง นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้วใช่ไหม
นี่คือขั้นตอนหนึ่งในการสร้างชาติสร้างสังคมอารยะ ?

nan dialogue ภูมิใจนำเสนอบทสัมภาษณ์พิเศษ ว่าด้วยมุมมองและความคิดของ อานนท์ นำภา
เชื้อชวนให้สังคมไทยสำรวจตรวจสอบสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ บันทึกไว้ ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2021 วันที่ ไผ่ เพนกวิน ทนายอานนท์ ฯลฯ ยังถูกขังอยู่ในคุก –พวกเราทุกคนสบายดีหรือเปล่า..

 

interview nandialogueอานนท์ นำภา ในปี 2011 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ 

ทำไมคุณถึงกล้าพูดเรื่องเจ้าต่อหน้าพับลิก พูดด้วยเอาชีวิตเข้าแลก กินดีหมีมาหรือยังไง ทำไมจึงเหมือนไม่กลัวตายเลย

ผมฝันว่าผมตายบ่อยนะ โดนยิงบ้างอะไรบ้าง ความตายในฝันเหมือนตายจริง ดับ มืด ไม่รู้สึกตัวไปสักพัก โดนยิง โดนฆ่า เอาจริงๆ ผมคงรู้สึกอะไรบางอย่างกับคนที่รู้จักมา รู้สึกเป็นหนี้อากง (อำพล ตั้งนพกุล) แกตายในคุก เป็นหนี้อาจารย์สุรชัย (ด่านวัฒนานุสรณ์) และใครอีกหลายๆ คน คือต่อให้เราไปติดคุกหรือขึ้นเวทีพูดปราศรัย เรายังเป็นหนี้พวกเขา ไม่ได้พูดเอาหล่อ เพราะคนมันตายจริงๆ โดนฆ่าจริงๆ แล้วมึงจะมาอยู่เฉยๆ ได้ยังไง เราละอายใจที่ยังอยู่ปกติหรือเลี่ยงที่จะไม่พูดถึง มันหลอนนะกับคนที่ตาย กูตายแล้วพวกมึงอยู่เฉยๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

นี่เป็นแรงขับสำคัญ แต่ผมไม่ได้คิดซับซ้อนว่าต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผมแค่รู้สึกเป็นหนี้คนที่ตาย

ทำไมต้องจังหวะนี้ ทำไมไม่ใช่ 5-10 ปีก่อน

ผมพูดมาตลอดนะเรื่องพวกนี้ เหมือนฆ่าตัวตายมาตลอดด้วยซ้ำ อย่างตอนที่ กปปส. ขึ้น ผมเขียนบทกวีวิจารณ์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ แต่ไม่ถูกสปอตไลท์

ทำไมวันม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ มันมาถึงจุดนั้น

เหมือนกัน คือไม่ได้คิดอะไรมาก พูดปกติของกูนี่แหละ น้องมาชวน บอก–พี่ไปช่วยพูดหน่อย เปิดแคมเปญ เปิดตัว ผมเป็นคนประหลาด ถ้าคิดเยอะ มักไม่ได้ทำ แค่คิดว่าถูก ผมทำเลย อย่าเสียเวลา ทำหรือไม่ทำ เอาสมองไปคิดเรื่องเนื้อหา แม่งแค่นั้นจริงๆ วันนั้นเสียวๆ นะ ที่พูด แต่ตอนพูดก็ปกติ คนที่นั่งฟังสิ พี่ต้องได้เห็น แม่งเหมือนความกลัวทะลุมาจากแววตา ไม่มีใครกล้าปรบมือ ทุกคนช็อก มาถึงจุดนี้ได้ไง พอลงเวที พี่เสื้อแดงวิ่งมาจับมือผม มือแกสั่น กลัวว่าเราจะโดนอะไร มันมาถึงจุดนี้ได้ไง ตำรวจทำอะไรไม่ถูก ช็อก ไม่รู้ทำไง

คุณน่าจะเตรียมเนื้อหาล่วงหน้าไปก่อน ถูกมั้ย แล้วผลของการพูดเรื่องแบบนี้ก็คงประเมินไว้พอสมควร ?

พูดของผมคือการต่อสู้ และไม่ต้องไปคิดซับซ้อน สมองผมคงมีเซลอะไรสักอย่าง บอก–มึง อย่าคิดมาก อย่าชั่งน้ำหนักมาก ถ้าคิดว่าถูก เคาะแล้ว แบบนี้คือแบบนี้ ถ้าคิดมาก เสียเวลา ถ้าคิดมาก ทำให้ความกลัวครอบงำเนื้อหาที่จะพูดด้วย มึงคิดว่าถูก มึงทำเลย แค่นั้น พูดตามที่เราคิด ที่เรามีข้อมูล

ว่ากันว่านั่นคือการพูดเรื่องกษัตริย์ต่อหน้าพับลิกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ?

โคตรหล่อ อลังการ วันก่อนเดินตลาด แม่ค้าเอาของให้ มันหล่อจริงๆ

มีผลแง่ลบยังไงบ้างมั้ย

แทบไม่มี นอกจากพวกคลั่งเจ้าหรือไอโอมาด่า และมีคนมาเล่าให้ฟัง แม้ว่าคนเชียร์เจ้าจริงๆ ก็เห็นด้วยกับเรา คือมันถึงเวลาต้องพูด เขารับไม่ได้จริงๆ กับสิ่งที่เป็นอยู่ เขาเห็นด้วยกับเรา

เท่าที่เจอมาเองกับตัว ส่วนใหญ่เป็นแง่บวก ?

บวกเยอะมาก เดินห้าง ยังไม่เจอใครมาด่า ไปเติมน้ำมัน เด็กปั๊มมาทัก ขอถ่ายรูป ยังกะดารา เดินตลาด แม่ค้าแผงเล็กๆ ชนชั้นทำมาหากิน เขารู้จัก ยามที่หอ ยามตามตึก วันก่อนไปแถลงข่าวที่ธรรมศาสตร์ พนักงานเก็บตั๋วรถเมล์ชูสามนิ้วให้ ยุคนี้ทุกคนมีโทรศัพท์ ดูคลิป ทุกคนคิดแบบนี้ หรืออาจไม่เคยคิด แต่พอเราพูด แม่ง เออ กูเห็นด้วยว่ะ ผมว่าแทบเป็นฉันทามติของคนทั้งสังคมว่าเจ้าแบบนี้มันไม่เวิร์ก

ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ?

ใช่ แต่ต่างจังหวัดระดับชาวบ้านยังไม่เท่าชานเมืองใหญ่ๆ ที่มีสื่อครบกว่า อินมากกว่า ขนาดเอาหน้ากากปิดหน้า เขายังจำได้

เมื่อก่อนเป็นคนธรรมดา ตอนนี้ดังใหญ่ ?

ตอนแรกรู้สึกดี คนมาทัก สักพักจะรู้สึกว่าไม่อยากให้คนรู้จัก ผมอยากเดินห้างคนเดียว ไปกินเหล้าร้านพี่เอฟ (มูนชายน์ บาร์) กินยาดอง พอแม่งทุกคนจำได้ ชีวิตประจำวันไม่สนุก

คนมาทักทุกวัน ?

ใช่ แรกๆ มันดี หลังๆ ไม่สนุก ขอถ่ายรูปทีแรกดี หลังๆ ไม่ใช่ มันสูญเสียชีวิตตัวเองไป ต้องมานั่งคิดว่าถ้ากูออกไปข้างนอก ก็จะมีคนถ่ายรูปด้วย ฉะนั้น กูอยู่ห้องดีกว่า คือมันไม่ใช่แล้วไง ชีวิตแบบนี้ มันเสียความเป็นตัวเองไปเยอะ ผมว่ามันเกินกว่าที่เราเป็นไปไกล สิ่งที่เราเป็นคือคนธรรมดา ตอนนี้คือผมอยากไปลดทอนความเป็นศาสดา อยากจะไปแก้ผ้าถ่ายรูป เราอยากเป็นคนธรรมดาที่พูดเรื่องเจ้าได้ ทุกคนก็พูดได้

หลงมั้ย กับชื่อเสียง เสพติดการมีชีวิตคนดัง ?

ผมรู้สึกว่าผมเสียชีวิตบางส่วนไป มันไม่สนุก มันไม่ใช่ความดีใจ คนรู้จักเรา สักพักจะรู้สึก เราเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตปกติ แล้วเอาเข้าจริงสิ่งที่คุณทำมันก็ไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรี คุณแค่ทำ ไม่คิดมากด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดลึกซึ้งว่าเป็นอุดมการณ์ เป็นขั้นเป็นตอนสำหรับการเปลี่ยนแปลงสังคมขนาดใหญ่ มึงแค่ทำตามความรู้สึกว่าต้องทำตอนนั้น รู้สึกเป็นหนี้คนที่ตายไปแล้ว มึงสามารถพูดได้ เหมือนลงทุนห้าบาท ถ้าได้เท่าทุนก็ดีแล้ว หรือกำไร ได้มาหกบาท จบ แต่พอได้กำไรมาสามพัน มันไม่ใช่ มีคนที่ทำมามากกว่าเราเยอะ แต่ไม่ถูกสปอตไลท์

โดยสรุปคือไม่สนุก ไม่มันส์ในการมีชีวิต

คนสมัยก่อน ไม่ว่า ศรีบูรพา, จิตร ภูมิศักดิ์ เขามีอุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นขั้นเป็นตอน เรามีแค่ความรู้สึก คิดว่าถูกก็ทำไป มันไม่ใช่อุดมการณ์ซับซ้อน แต่ผลออกมาแม่งเกือบจะเป็นศาสดาของคนรุ่นใหม่ ผมว่ามันเยอะเกิน

รับไหวมั้ย

ยาก ชีวิตส่วนตัวหาย ไปรับลูกยังลำบาก ปกติผมไปรับตอนเย็น แม่เขาไปตอนเช้า ตอนนี้ไปรับลำบากเพราะคนจำได้ บางทีมีตำรวจตาม มันวุ่นวาย ชีวิตส่วนตัวหาย

เอาอยู่มั้ยกับชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามา

ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นชื่อเสียงอะไรมาก เราเป็นคนธรรมดา เช้า ไปศาล เย็น กลับมา กินเหล้ากินเบียร์ นอน ตื่นเช้าไปทำงาน ไม่ได้คิดว่าเป็นชื่อเสียงที่ต้องไปไขว่คว้า เป็นความประหลาดมาก ทีแรกผมนึกว่าผมจะคิดว่ากูหล่อมาก ไปๆ มาๆ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ทางเรา ทางเราคือทำงานแล้วไม่ใช่ไปรับโล่เหรียญเกียรติบัตร เราชอบทำงานแล้วคนไม่ให้รางวัล หลบไปกินเหล้า ต่ำต้อยในร้านเหล้า ผมรู้สึกดีกับการเป็นจอมยุทธ์ที่คนไม่เห็นค่า พอมาเริ่มอยู่ในแสงไฟหวือหวา มันไม่สนุก

พอจะดีลได้ เอาอยู่ ?

เอาอยู่ มั่นใจ ความหวือหวาทางลาภ ยศ ชื่อเสียงนี่ไม่มีปัญหา ตอนนี้ผมอายุสามสิบหก ตอนเจอพี่ครั้งแรกผมอายุยี่สิบหก เราอยู่ในวงการนี้มานานเหมือนกัน ไม่ได้ออกไปไหน ผมทำคดีเสื้อแดงมาจนถึงปัจจุบัน

ราคาที่ต้องจ่าย ความเป็นความตาย คุณไม่รักชีวิตเหรอ ไม่กลัวตายเหรอ รู้มั้ยว่าสิ่งที่ทำ มันแลกด้วยความตาย

รู้สิ ผมว่ามันเลยจุดนั้นมาจน.. ตายก็ได้ ไม่ได้แปลว่ากูยอมตาย ยอมเสียสละ แต่เฉยๆ ตายก็ตาย กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ไม่ได้กลัวเสียจนทำอะไรไม่ได้ ตายก็ตาย จบ คงเจ็บไม่นาน

ผมไม่ได้รู้สึกซับซ้อนกับมัน หรือมานั่งกังวลกลัวตาย ไม่มี ตายก็ตาย เจ็บก็เจ็บ แต่ไม่ใช่ไม่ระวังเลย และเราแค่พูดอะไรที่มันตรงๆ สิ่งที่ผมพูดอาจผิดก็ได้ แต่เราคิดแบบนี้ เราสื่อออกไป และเป็นคนไม่ค่อยอยากปรุงแต่งสิ่งที่พูด ถ้าปรุงแต่งเยอะ ผมว่ามันไม่อร่อย เป็นบทกวีก็ไม่อร่อย

เชื้อกวีในตัวไม่เคยห่างหายไปไหน ?

กวีเป็นความรู้สึกเสมอ ทุกครั้งที่พูด อย่างการบอกว่าเรามีความฝัน อยากให้เจ้ามาฝันกับเรา นี่ก็เป็นบทกวี ผมชอบอารมณ์กวี มันคือความ.. เฮ้ย ใช่ (ดีดนิ้ว) รู้สึกตรงกัน มันอิน

การทำกิจกรรมเคลื่อนไหว ผมจะเคาะก็ได้ว่าย้ายหรือไม่ย้าย แต่เมื่อเราบอกว่าเรามีเสนาธิการ 5 คน ช่วยกันออกเสียง และเอาเสียงข้างมากเป็นคำตอบ ถ้าน้องบอกไม่ย้าย อารมณ์ที่คิดไว้ไม่ตรง แม่งขัดใจกู ผมว่ามันเป็นความรู้สึกดีด้วยซ้ำ ตายก็ตายวะ เราไปด้วยกัน เหมือนมีคนมาท้าให้เรากินเหล้าผสมยาพิษ เรายิ้มเย้ยยุทธจักรได้ คือเป้าหมายมีร่วมกัน ตรงไหนมีสองทางแยก ขวามือ เดินได้สบาย ทางซ้าย มันมีพรรคพวกเราเดินไปด้วย เดินคุยกัน เหยียบหนาม เหยียบเหี้ยอะไรไม่รู้เยอะแยะ กว่าจะถึงเส้นชัย ผมเลือกทางซ้าย เวลาเราไปกับเพื่อนมันมีความสุขกว่า ทางขวาอาจสบาย แต่ระหว่างทาง ซ้ายมือสนุกกว่า การได้เจอเพนกวิน เจอรุ้ง มันตื่นเต้นกว่า ถ้าพี่มาเป็นผมตอนนี้ พี่จะมีความสุขมาก เราได้ทำสิ่งที่เราคิด มาถึงจุดนี้ กูไม่กลัวตาย คิดอะไรก็ทำได้ตรงๆ รู้สึกดีมาก มันได้สื่อสารสิ่งที่เราคิดออกไปโดยไม่ต้องปรุงแต่ง โชคดีของผมคือผมไม่คิดมากกับวิธีการ หรือเรื่องบางเรื่อง เพื่อนว่ามา มติแบบนี้ เราก็ทำตามนั้น หรือผมเป็นคนชอบเล่นการพนันมั้ง ไม่รู้ ชอบอะไรที่เสี่ยงๆ มันมีความสุข

 

interview nandialogue

 

แต่ความตายมันเรื่องใหญ่นะ ติดคุกเรื่องใหญ่นะ แล้วเมื่อก่อนคุณตัวคนเดียว ตอนนี้เป็นพ่อ เป็นสามี..

เอาเรื่องคุกก่อน สำหรับผม ติดคุกด้วยเรื่องการเมืองเป็นเรื่องเท่ ยิ่งหล่อ พูดตรงๆ ว่าไม่กลัวเลย

ติดสามวันมันอาจจะหล่อ ถ้าติด 20 ปี มันไหวเหรอ

ก็หล่ออยู่ดี ถ้าติดด้วยเรื่องการเมือง ด้วยอุดมการณ์ พี่ต้องลองไปติดคุกดู จะรู้สึกได้ว่าติดเพราะการเมืองมันมีคุณค่า มันไม่ลดทอนเลย แล้วลูกเมียเราเขาอยู่ได้ เข้าใจเรา เขาไม่มีปัญหาเรื่องเงิน หรือเกิดผมติดนานเกิน เขาอาจไปหาแฟนใหม่ ไม่รู้ แต่ไม่มีเซ้นส์ลำบากเพราะผมติดคุก หรือต่อให้ผมตายไป เขาคงไม่ลำบากมาก เพราะอยู่กับผมก็ลำบากประมาณนี้แหละ

ส่วนตัวคุณติดคุกนี่คือเฉยๆ ?

ใช่ เฉยจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น คุก ไม่รู้สึกกลัวเลย

ในคุกไม่มีเบียร์กินนะ คุณชอบกิน ผมรู้

แต่มันก็มีความสุขอย่างอื่นมาทดแทน ถ้าติดด้วยการต่อสู้ มันหวานหอม มันใช่ มันคือการต่อสู้ ผมไม่มีปัญหากับการติดคุก

ทำไมชีวิตต้องวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้ทางการเมืองอะไรขนาดนี้ คุณไม่อยากมีชีวิตปกติ กินเหล้า เป่าขลุ่ย..

อยากใช้ชีวิตปกติครับ แต่มันต้องทำอะไรบางอย่าง

แต่คุณทำเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า

ตอนทำผมไม่คิดว่าเสี่ยงไง มันดี มันใช่ เราก็ทำ เหมือนซื้อหวย แล้วเผอิญว่ามันถูก การไปพูดตอนแฮร์รี่ พอตเตอร์ เราไม่ได้ซีเรียสว่าจะเป็นจุดเปลี่ยน เราว่ามันใช่ มันต้องพูด แค่นั้น ผมไม่คิดอะไรซับซ้อน

คุก ไม่กังวล ?

แต่เราต้องแสดงออกว่าเรากังวล เพื่อให้ศาลรู้สึก

เรื่องความตาย ?

สำหรับผม ตายคือจบ แค่นั้น การอยู่ต่อไป สิ่งที่มีอื่นๆ อยู่กับสิ่งสมมุติ ทำงาน กินเหล้า เมา ตื่น ทำงาน อ่านหนังสือ เล่มนี้ชอบมาก อ่านไปก็จบ รู้เรื่องแล้วโยนทิ้ง จบ แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่รู้สึกว่าใช่ แล้วมันเกิดตายขึ้นมา มันก็แค่จบ ตายแล้วเราไม่รู้หรอกว่าคนข้างหลังจะสรรเสริญหรือมาด่า ตายก็จบ และทุกคนก็ตาย อายุหกสิบ เจ็ดสิบ ตาย หรือตอนนี้ตาย เป็นไปได้หมด

ผมไม่อยากใช้คำว่าสิ่งที่ทำมีคุณค่า มันฟังดูมีอุดมการณ์เกินไป เอาแค่ถ้าตายในสิ่งที่ตอนมีชีวิตอยู่ เราอยากทำ มันแฮปปี้นะ ผมไม่แปลกใจเลยกับไอ้พวกไปโดดร่มสูงๆ มันกล้าโดด มันฟีลนั้น พวกนั้นรู้ว่าอาจจะตายได้ มีโอกาสตายมากกว่าปกติ มันยังทำ อารมณ์เหมือนกันเป๊ะ พวกขี่มอไซค์เร็วๆ ก็รู้ว่าอาจตายได้ แต่ได้ทำอะไรที่อยากทำ
ถ้าตายในสิ่งที่อยากทำ ผมว่ามันรู้สึกดี และผมไม่มีเซ้นส์ที่จะวิ่งชนกำแพง ไม่ได้ทำแบบเอาชีวิตเข้าแลก อยากตายพร้อมตาย ผมระมัดระวังที่สุด แต่ถ้าต้องตายก็ช่างมัน คือผมไม่ใช่คนแบบ สืบ นาคะเสถียร ไม่ใช่คนแบบลุงนวมทองแน่ๆ ที่ผูกคอตาย ผมไม่ทำแบบนั้น กลัวด้วย แต่ถ้าเราปราศรัยแล้ววันหนึ่งมันยิงเรา ก็จบ คือยังไงก็ไม่ใช่แบบ.. พี่น้องครับ ผมขอใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ยิงตัวเองตาย ผมไม่เอา ผมแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองคิด ผมไม่ได้อยากตาย

ในเมื่อมันอยู่ในความเป็นความตาย คุณคิดว่าคุณได้พูดไปหมดหรือยัง สารที่จะสื่อยังเหลืออะไรอีกมั้ย

สิ่งที่สื่อสารไปคล้ายคำนำหรือสารบัญของหนังสือ ผมพูดได้ไม่หมดหรอก แต่มันทำหน้าที่แล้ว ที่เหลือคนอื่นไปสานต่อเอง ถ้าวันพรุ่งนี้ มะรืน เราเป็นอะไรไป สิ่งที่ทำไว้ คนมันเอาไปทำต่อแน่ เป็นเชื้อให้คนไปคิด เป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ยังอยู่ต่อสู้ต่อไป พี่ต้องไปดูการปราศรัยในต่างจังหวัดกับผม มีเด็กมัธยมฯ มากรี๊ด เราเป็นไอดอลของเขา ถ้าเราตายไป คนพวกนั้นมาสานต่อแน่นอน ไม่ว่าเรื่องสถาบัน เรื่องความเท่าเทียม มันเป็นแบบนั้นจริงๆ คือต่อให้ตายวันนี้ วันพรุ่ง ก็โคตรคุ้ม แต่ถ้าอยู่ไปอีกยี่สิบปี แล้วตายเพราะไปทำสิ่งเสื่อมเสีย เช่น ตำรวจไปจับในซ่อง ผมกำลังเอากับเด็กอายุสิบสอง อะไรแบบนี้ แม่งหมดกัน ถ้าเลือกได้ ขอตายแบบทุกวันนี้ยังจะดีกว่า

เนื้อหาที่จะพูดหมดหรือยัง สุดเพดานแล้วหรือเปล่า

หลักการใหญ่ๆ พูดไปหมดแล้ว และเอาเข้าจริงคือเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้คิดใหม่ ข้อเสนอสิบข้อ สมศักดิ์ก็พูดมาก่อน (สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล) สิบข้อนั้นผมไม่ได้คิดด้วยซ้ำ มันมาจากเวทีธรรมศาสตร์ นักศึกษาเขาไปจัดการ นำเสนอ เราไม่รู้เรื่องด้วย ผมว่าหลักที่เราพูดมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่คนมาก่อนคิดและพูดมาก่อน แต่สิ่งที่จะพูดพรุ่งนี้ หรือวันต่อๆ ไป เราต้องคอยปรุงใหม่เท่านั้น

ผมมายืนในจุดที่เรียกว่าพูดอะไรก็ได้ ปัญหาของสถาบันกษัตริย์ ผมพูดไปหมดแล้ว คนรุ่นเก่า รุ่นผม รุ่นพี่ มีมุมสมมุติเทพ อาจไม่ถึงลิเก แต่มีชฎาสักหน่อย มีชุดแพรวพราว แต่คนรุ่นใหม่ไม่มีอารมณ์นั้นเลย เขาเชื่อมากๆ ในเรื่องคนเท่ากัน พอรู้สึกว่าคนเท่ากัน ถ้าเจ้าทำตัวแบบนี้ก็ต้องโดนด่าสิ คนรุ่นใหม่ไม่มีเซ้นส์เทวดา ไม่มีเลยจริงๆ ทีแรกผมก็แปลกใจว่ามันมีเส้นแบ่งอะไรวะ กับคนรุ่นเรา เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับคือพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา เป็นเส้นแบ่งของอะไรสักอย่าง เสื้อแดงกับสังคม ใหม่กับเก่า การกำเนิดขึ้นของธนาธรและอนาคตใหม่ เป็นเส้นแบ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน ไปคุยกับเด็กมหาลัย มัธยมฯ มันเติบโตและตื่นขึ้นมาตอนเรายิงกันตายที่ราชประสงค์ ไม่ใช่ตื่นสิ มันหลับช่วงนั้นแล้ววันหนึ่งตื่นมา สงสัย ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไรวะ คนรุ่นใหม่เป็นเจเนอเรชั่นที่ประหลาด เขาไม่รู้สึกกลัวเหมือนเราเคยกลัว ผมจะพูดเสมอว่าการที่ผมไปปราศรัย ผมต้องใช้ความกล้ามากที่จะพูดแต่ละครั้ง แต่กับคนรุ่นใหม่ เด็กมัธยมฯ เขาไม่ได้ใช้ความกล้า เขาใช้สามัญสำนึก คือไม่รู้สึกกลัวในสิ่งที่พูด เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิด แต่ผมกลัว กังวล เราอยู่ในการหล่อหลอมที่ต้องกลัว ระมัดระวัง ต้องใช้คำพูดที่ไม่ผิดกฎหมาย

ทำไมผมพูดแล้วคนจำนวนมากรับฟังได้ เพราะผมมีความกลัวไง ผมต้องบิดคำ พลิ้ว ดัด แต่น้องๆ ขึ้นเวที มันบอกเลยว่ากษัตริย์เมื่อไรจะปรับตัว เขาไม่มีความกลัวแบบเรา มันไม่ใช่ความกล้าด้วยนะ เขาพูดซื่อๆ แบบปกติ มือไม้ไม่สั่น แต่เราสั่น นี่คือความต่างของผมกับน้อง

“ไผ่ อยู่ สน. ใช่มั้ยตอนนี้” มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมา
มันไปถึงไหนกันแล้ว–อานนท์ เป็นห่วง

 

interview nandialogue

 

โพรฟายคุณในเฟซฯ ทำไมเลือกใช้รูป จิตร ภูมิศักดิ์

มันสวย ใช้ตั้งแต่เริ่ม จริงๆ ไม่คิดมาก แค่รูปมันสวยดี โรแมนติกไปอย่างงั้น

มีรูปตั้งเยอะแยะที่สวย..

ไอดอล.. ผมดูไลฟ์ตอนเขาล้อม จับ (พูดถึงไผ่ ดาวดิน และเพื่อนอีก 21 คน ที่ตอนนี้ถูกจับ พาไปอยู่ค่าย ตชด. ปทุมธานี) ความตลกคือตำรวจที่ไปจับคือกลัวเจ้าเห็นภาพประท้วง กลัว หงอ ถ้าอยู่ตรงนั้น ผมคงโดนจับไปด้วย จับแกนนำ เพื่อให้พรุ่งนี้ไม่มีคนมานำ พรุ่งนี้เขาน่าจะจับอีก

คิดว่าจะเข้าม็อบกี่โมง พรุ่งนี้

น่าจะเข้าบ่ายสองบ่ายสาม กำลังเตรียมเรื่องที่จะพูด อ่านเกม ดูว่าน้ำมันเดือดหรือยัง คืออีกอย่างตอนนี้มันมีความพยายาม ไม่อยากให้เราพูดเรื่องเจ้ามาก แต่ผมจับอารมณ์ได้ ของฝ่ายเสื้อแดงที่เสนอแบบนี้ไม่ใช่เจตนาร้าย แต่เป็นความกลัวส่วนตัว เหมือนช่วงที่ทำเรื่องคนอยากเลือกตั้ง ก็บอกๆ กันว่าอย่าไปเลย เป็นประสบการณ์เก่าซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่มีเซ้นส์นี้ คนบอกคือคนรุ่นเก่า พวกเขาเคยผ่านความเลวร้ายของการสู้แล้วไม่ชนะ เป็นความกลัว

จับไผ่วันนี้เหมือนจงใจหาเรื่อง เพราะประเมินแล้วม็อบ 14 ตุลาฯ คนไม่น่าเยอะมาก แต่พอมีเคสนี้คนอาจจะเยอะ

ใช่ ยิ่งถ้ามีคนเจ็บ เรื่องใหญ่

เรื่องชีวิตส่วนตัวของคุณ ไม่ว่าจะในฐานะพ่อ สามี หรือต่อตัวเอง อย่างที่บอกว่ามันค่อนข้างยืนอยู่บนเส้นด้าย ขอถามถึงสภาวะจิตใจตอนนี้อีกหน่อยว่ามันเป็นยังไง

ทางเลือกมีไม่มาก ต่อให้ผมประกาศถอนตัวจากการเป็นแกนนำ ผมก็ต้องกลับไปเป็นทนายความที่ทำคดีให้นักศึกษาอยู่ดี คือต่อให้ลดการเป็นแอกติวิสต์ ก็ต้องมาเป็นทนายด้านสิทธิฯ ซึ่งต้องมาเสี่ยงตายเหมือน สมชาย นีละไพจิตร อยู่ดี แล้วถ้าไม่เป็นทนาย กลัวตาย ไปขายกาแฟ เปิดร้านหนังสือเท่ๆ ชิวๆ มีคนมาสัมนา คุยกัน อ่านบทกวี สุดท้ายถ้ามีม็อบ ผมก็ต้องไปอยู่ดี มีจังหวะก็ต้องขึ้นไปอ่านบทกวี หรืออย่างน้อยก็ไปร่วม ถ้ามีการยิง กูก็ตายอยู่ดี ต่อให้ลดเพดานลงจากหลังเสือ โดยสันดาน ผมต้องไปอยู่ดี ให้อยู่บ้านเฉยๆ เป็นไปไม่ได้

คือผมไม่ใช่คนที่รักความเป็นธรรมมากมาย แต่เจออะไรไม่ถูกต้อง มันก็ต้องออกไปทำอะไรบางอย่าง

ก็ช่างมัน อยู่บ้านกับลูกเมียไป..

มันอยู่ไม่ได้

ความรักที่บ้านไม่แข็งแรงพอที่จะฉุดเหนี่ยวรั้งไว้หรือ

ต่อให้ผมไม่ออกไปชุมนุม ผมก็ต้องออกไปตามเมีย หรือถ้าพูดโรแมนติก วันหนึ่งถ้าลูกสาวโตมา ผมก็ต้องไปตามลูกสาวอยู่ดี ต้องเป็นพวกไปเรียกร้องความเป็นธรรม เราเลี่ยงเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก อย่างพี่ พี่ยังมาเลย จาก จ.น่าน ไม่มาก็ได้ ช่วงนี้อากาศดีด้วย แต่มันรู้สึกว่าต้องมา ผมเหมือนกัน ผมก็ไป สรุปคือสุดท้ายคุณเลี่ยงไม่ได้หรอก

ให้ค่าในเรื่องของสังคมประเทศมากกว่าครอบครัวหรือ

ความโชคดีในความโชคร้าย แฟนผมมันยังไม่กลับเลยตอนนี้ ยังอยู่ในม็อบ ผู้หญิงมันแรงกว่าผู้ชายนะพี่ วันนี้ผมนอนดูหนังอยู่ มันเก็บข้าวของออกไปแล้ว ผู้หญิงแรงกว่าผู้ชาย โชคดีในโชคร้าย เจอคนที่คิดเหมือนกัน อยู่ด้วยกัน
แต่ช่วยได้เยอะ จองตั๋วให้เรา เค้ามีทักษะหลายอย่างที่ทำให้เราใช้ชีวิตสบาย

ระหว่างการเลือกชีวิตสุขสงบที่บ้าน กับการออกมาเสี่ยงภัยทางสังคม มันได้อะไรขึ้นมา คุ้มมั้ยกับประเทศแบบนี้

มันทำไม่ได้พี่ คุณเป็นรถเมล์ จะให้ไปขับเป็นรถส่วนตัวไม่ได้ ผมถูกสร้างมาเป็นแบบนี้ เอาง่ายๆ ถ้ายังเรียนอยู่ ม.5-6 ผมก็ต้องเป็นแกนนำนักเรียนในการประท้วง จริงๆ ผมเห็นภาพตัวเอง ผมต้องเป็นคนจับไมค์ประท้วงที่ร้อยเอ็ดวิทยาลัย มันถูกผลิตโดย.. โดยเหี้ยอะไรวะ จะบอกว่าพระเจ้าก็เว่อร์ไป มีอะไรไม่รู้หล่อหลอมมาให้เป็น อย่างที่ผมบอก ต่อให้ไม่ปราศรัย คุณก็ต้องไปม็อบอยู่ดี ยิงมา ก็ตายอยู่ดี มันไม่มีทางเป็นอื่น เหมือนพี่ พี่ไม่จำเป็นต้องมา แต่มันต้องมา เหมือนถูกกำหนดว่าต้องมา คือไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แค่รู้สึก แค่มันต้องมา เหมือนป้าๆ ที่มาทำอาหาร ไม่มีใครเอ่ยชื่อเลย ไม่มีความดัง สมัคร ส.ส. ไม่ได้ กูทำอะไรไม่ได้ กูขอทำอาหาร ผมเชื่อลึกๆ ว่าเขารู้สึกเหมือนผมว่าต้องทำอะไรสักอย่างซึ่งโดยความเป็นมนุษย์ เราจะให้นิยามยังไง คือให้ไม่ได้น่ะว่าทำไมต้องมา

คุณต้องปรับตัวอะไรบ้าง จากสิบปีก่อนที่ทำสำนักงานทนายความราษฎรประสงค์ จนมาวันนี้เป็นเบอร์หนึ่งในแกนนำนักศึกษาตอนนี้

ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นอะไรยิ่งใหญ่ มันฟลุกด้วยมั้งที่มาถึงวันนี้ แต่สิ่งที่ยืนยันกับตัวเองได้คือกูไม่ได้มาแบบมั่วๆ สิบปีที่ผ่านมาผมอยู่ในวงการนี้มาตลอด ว่าความคดีเสื้อแดง คดีหมิ่น ศาลจะสั่งขัง กูก็หล่อเว้ย ขังผมเลยครับ สิบปีที่ผ่านมาเราอยู่กับมันมาจนผมคิดว่าทุกคนที่รู้จักผมน่าจะหมดความกังขา ว่าไอ้นี่มาเพื่อหาชื่อเสียง หาเงิน โอเค วันนี้มีคนโอนเงินมาเป็นล้าน มาเอง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่สร้างขึ้นมา มันเป็นชีวิต ผมทำคดีเสื้อแดงเรื่อยมา ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งจะมีรัฐประหาร 22 พฤษภาฯ

ปรับตัวยังไง จากคนธรรมดามาเป็นเซเล็ปฯ

ปี 53 คนรู้จักผมนะ แต่หลังจากไปพูดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีคนนอกวงการเริ่มรู้จัก เสื้อแดงนี่รู้จักอยู่แล้ว แต่รอบนี้มีคนใหม่ๆ วงนอกจริงๆ เลยนะ ไปเช็กเฟซบุ๊กแล้วไม่มีเพื่อนร่วมกันสักคน เขาจำเราได้ เฮ้ย มันโอเค และที่แน่ๆ คือมึงต้องทำอะไรที่เขาคาดหวัง เชื่อมั่น ต้องทำอะไรที่มากกว่าเดิม ซึ่งมันกดดัน ไม่ใช่สิ ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นแรงผลัก ต้องไปข้างหน้า

สาบานเลย เรื่องชื่อเสียงนี่ผมแทบจะไปยืนแก้ผ้า ชักว่าวกลางสนามหลวง เพื่อว่ามึงช่วยลดทอนกูหน่อย กูไม่อยากเป็นแบบนั้น ผมอยากทำอะไรหล่อๆ เท่ๆ อยากทำงานเยอะๆ แล้วคนเข้าใจผิด มาด่า และเราไปหาที่นั่งกินเหล้าเงียบๆ แบบนั้นดีกว่า ทำสิ่งสำคัญ แต่คนไม่ค่อยรู้ ผมมาถึงจุดที่ไม่มีเลยเรื่องความผยอง รู้สึกเฉยๆ ค่อนข้างเฉยๆ มาก พี่ต้องมาถึงจุดที่แต่ก่อนไม่มีเงินกินไวน์กินเหล้าแพงๆ วันนี้ผมพกตังค์แบบนี้ (หยิบเงินมาให้ดูเป็นฟ่อน) ซื้ออะไรกินก็ได้ แต่มันไม่อร่อย ผมอยากไปกินยาดองร้านพี่เอฟ แบนละสองร้อยห้าสิบ มีมะยม คือมันต้องไปแบบนั้นกับคนแบบนั้น พอมีเงินขึ้นมา พกแบบนี้ มันไม่ได้มีความสุขมาก ถ้าพูดแบบหนังจีนคือมันสู้เวลาเรากินกับคนรู้ใจไม่ได้ เรื่องชื่อเสียง ตัดไปเลย สมองไม่คิดเรื่องนี้ ไม่มีความสุขกับมัน

มีเพื่อนที่ออฟฟิศบอกว่ามีคนเสนอให้ไปรับรางวัลกวางจู ได้เงินเป็นล้าน ผมบอกเลย ผมจะเหมาเครื่องบิน เอาคนที่ผมอยากพาไปเที่ยวด้วยกันทุกคน คือเมื่อต้นปี ผมไปเที่ยวญี่ปุ่นกับแฟน เค้าชอบถ่ายรูป ก็เดินถ่ายอะไรของมันไป ไอ้เราชอบกินเบียร์ ก็นั่งแช่ ผมมีความใฝ่ฝันอยากพาเพื่อนๆ ไปนั่งกินเบียร์ กินสาเก มองฟูจิ คือในตัวผมคงมีความเป็นหนังจีนสูง

บ้านคุณอยู่ไหน มันมาอารมณ์หนังจีนได้ยังไง

ผมชอบ การเป็นจอมยุทธ์ เย้ยยุทธจักร อยากทำสิ่งเหล่านี้ ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เย้ยยุทธจักร ฝ่ายตรงข้ามก็รู้สึกได้ว่าเอาคนแบบผมไปขัง มันไม่สลด เรามีความเป็นศิลปินในตัว เป็นกวี มันสามารถรังสรรค์ทุกฉากของชีวิตให้โรแมนติกได้

สิ่งนี้ทำลายคุณไม่ได้เลยหรือ ไม่ว่าศาล หรือทหาร..

ไม่ได้ๆ เชื้อกวีมีในใจเสมอ ต่อให้เขาพาเข้าปราสาทราชวัง ผมก็ไม่กราบ อาจโค้งคำนับสวยๆ ถ้าท่านจะให้ผมคุกเข่า ท่านเอามีดมาตัดขาผมเถอะ คิดแบบนี้จริงๆ วันที่ศาลจะขัง เราคิดความเท่ขึ้นมา ไปได้เรื่อยๆ ป้าแกยังน้ำตาไหล (พยักหน้าไปยังพรรคพวกคนหนึ่ง) แกอยู่ด้วยวันนั้น เหมือนเรารู้ว่าฉากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นแล้วเราสามารถประดิษฐ์ถ้อยคำ ไม่ได้ร่างมาก่อนนะ คิดหาทางทำให้เป็นอีกแบบหนึ่งได้ แล้วรู้สึกอินไปกับมันจริงๆ ใครจะนึก ว่าผมลุกขึ้นแถลงว่าผมไม่ประกันตัวครับ ถ้าท่านจะขัง ก็ขังไป พูดต่อหน้าทนาย บอกฝากน้องๆ ทุกคนด้วย ผมว่ามันเท่นะ

แต่ติดคุกนะ

เราไม่กลัวไง มันเป็นชีวิตที่เป็นวรรณกรรม เหมือนเราเป็นตัวละครในหนังสือเรื่อง ‘ปีศาจ’ เราเห็นฉากนั้น การพูดในงานเลี้ยงกับของเราที่พูดในศาล มันคล้ายกัน แต่นิยายคือเรื่องแต่ง ในศาลคือเรื่องจริง เราคือ ‘สาย สีมา’ ในศาล มันอิ่มเอมใจ ในทางวิทยาศาสตร์ผมไม่รู้ว่าสารเคมีเหี้ยอะไรมันหลั่งออกมาให้รู้สึกดี

ให้ค่าโลกกวีนิพนธ์สูง ?

ผมอ่านหนังสือน้อยนะ อ่านไม่เยอะ แต่อินกับบางเรื่อง

เอาชีวิตเข้าแลก โรมานซ์กับวรรณกรรมได้ ?

โรมานซ์ ผมพูดบ่อยๆ พูดมาตลอดว่าไม่ได้อยากติดคุก และต้องทำให้เห็นว่ากูไม่ได้กลัวติดคุก

พ่อแม่คุณว่ายังไงบ้าง

พ่อแม่ไม่มีอิทธิพลกับการตัดสินใจเพราะว่าตั้งแต่เด็กจนโต เราเป็นผู้นำครอบครัว คอนโทรลพ่อแม่ได้ทั้งหมด แต่เราจับความรู้สึกที่เขาเป็นห่วงได้ พยายามพูดคุย ปลอบประโลมกันไป เขาไม่ใช่คนที่จะมามีอิทธิพลอยู่เหนือเรา เขาเป็นห่วงเรามากกว่า ห่วงแบบพ่อแม่ อย่างชุมนุมใหญ่พรุ่งนี้เขาจะมา ผมบอกไม่ต้องขึ้นมา เพราะมาก็ทำให้ผมเป็นห่วง เป็นภาระอีก อยู่บ้านไปดีกว่า เขารู้ว่าเราเป็นคนแบบนี้

แต่เวทีที่ธรรมศาสตร์ แม่ก็มา เห็นคุณพูดถึงแม่ตอนอยู่บนเวที

พูดให้กำลังใจเขาหน่อย ลึกๆ ก็เป็นห่วงเขา ผมทำประกันชีวิตมอบผลประโยชน์คนละครึ่งกับแฟน ผมจ่ายให้แม่กับยายเดือนละเจ็ดพัน จ่ายทุกเดือนตั้งแต่เรียนจบ เป็นคนโชคดีอย่างหนึ่ง เงินไม่ขาดมือ มีกินมีใช้ ไม่ได้ตกอับเรื่องการเงิน แต่สิ่งที่ต้องดูแลคือมียาย ที่เลี้ยงเรามา เป็นคนที่เรารักมากที่สุดในโลก สักวันแกคงตายไปตามอายุขัย

ทำไมถึงรักยายมากที่สุด

ตั้งแต่ผมเกิดมา จนถึงนั่งกินไวน์แก้วนี้ มีคนนี้คนเดียวที่เราบอกว่ารักที่สุดในโลก

เพราะ..

ยายเลี้ยงเรามา อยู่กับเรามาตลอด พี่ต้องมีเว้ย คนที่พี่รักที่สุดซึ่งของผมคือยาย ไม่ใช่แม่ เพราะตอนที่ผมเรียนประถมฯ มัธยมฯ แม่มาทำงานกรุงเทพฯ ทำงานส่งเราเรียน ยายคือคนใกล้ชิด เหมือนถ้าเราเป็นดักแด้ ยายก็เป็นสิ่งที่ห่อหุ้มเรา และสักวันถ้าเขาตายไป เราต้องเติบโต ธรรมชาติเป็นแบบนั้น สักวันเขาต้องตาย เราจะเสียใจ ร้องไห้ยังไงก็ว่าไป มันไม่มีคนที่เรารักที่สุดในโลกแล้ว และไม่มีคนมาแทนด้วยนะ ยายกูตายไป รักแม่แทน รักแฟน รักลูก ไม่มี คือมันคนนี้คนเดียว ความรักแบบนี้ และเราหยุดยั้งความตายของคนไม่ได้

เขารับรู้มั้ยว่าเรากำลังทำอะไร

รับรู้ พรุ่งนี้ก็อยากมาเชียร์

แฟนคุณว่ายังไงบ้าง

ล่าสุดบอกว่าไม่ค่อยมีเวลาให้กัน แค่บ่นๆ ผู้หญิงบ่น สุดท้ายจัดกระเป๋าให้ มึงต้องไปชุมนุม ก็ดีอยู่ แต่ผู้หญิงขี้บ่นคือจังหวะบ่น หน้าทำร้าย แต่พอรู้สึกดี มันดี

ยังไงนะ

พี่ต้องเคยขับรถที่มันพังบ่อยๆ ตอนพังเราก็อารมณ์เสียใช่มั้ย แต่ช่วงที่มันดี ขับรถไป ริมเขา ซ้ายมือทะเล ขวามือภูเขา แล้วจังหวะนั้นมันไม่สะดุด จังหวะนั้นมันดี เอ้า ดื่มครับพี่ (ยกแก้วไวน์ชน)

ระหว่างสามีภรรยามีคำพูดโรมานซ์ต่อกันมั้ย

ไม่มีครับ

แค่อุดมการณ์เดียวกัน ?

ใช่ ถ้าตัดเรื่องเซ็กซ์ออกก็เป็นเพื่อนกัน เอาจริงๆ นะ ผมผูกพันกับลูกมากกว่า ลูกสาวอายุสี่ปี

พ่อมามีบทบาทแบบนี้ กังวลอนาคตลูกสาวหรือเปล่า

ไม่เท่าไร ไม่มีเรา เขาก็เติบโตได้และมีชีวิตของมัน เด็กวัยนี้เหมือนหมา เวลาคุย มาอ้อน น่ารัก หมาคือหมาจริงๆ เลยนะ

เพื่อนสนิทคือใคร

ตอนนี้สนิทสุดคือที่ศูนย์ทนาย ทุกคนมาแบกรับหลายเรื่องแทนเรา ทั้งคดีที่เราเป็นจำเลยด้วย อารมณ์แบบ.. อะไรที่ทำให้ผมเสียเวลาน้อยลง และทำอย่างอื่นได้ดีขึ้น เขามาช่วย อย่างวันสองวันนี้ก็อาสาไปมุกดาหาร ไปทำงานแทนเรา

คุณโดนไปกี่คดี ตอนนี้

ไม่นับแล้ว เกินกว่าจะนับ

เกินห้า..

เยอะ เยอะจนไม่รู้จะนับทำไม บ้านผมอยู่ร้อยเอ็ด เวลาจะมากรุงเทพฯ ผมไม่อยากนับอำเภอ มันผ่านกี่อำเภอกว่าจะถึง ถามว่านับได้มั้ย ได้ แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะนับแล้ว ต้องบอกว่าชีวิตโคตรดี มีกัลยาณมิตร ช่วงผมติดคุก และมารู้ทีหลัง พี่สุชาติ นาคบางไทร ปกติแกไม่ขึ้นเวที ไม่อะไรทั้งนั้น วันนั้นแกมาขึ้นเวทีปราศรัย มันเหมือนมีคนอยู่ข้างๆ เอกชัย หงส์กังวาน ก็ขึ้นพูดปราศรัย คนที่พร้อมจะไปกับเรา ทุกคนได้ใจกัน กว่าจะได้ใจใคร เราต้องพิสูจน์ตัวเองกับเขาเยอะพอสมควร กับนักศึกษา ผมเป็นรุ่นพี่ แต่ไม่เอาความเป็นพี่มาใช้ ตกลงยังไง เอาแบบนั้น พูดไป มติคือมติ ไม่ใช่ฝืน จุดที่เสี่ยงคือเป็นตายร่วมกัน อย่างที่บอก ถ้ามันมีสองทาง ทางหนึ่ง เราไปสะดวก สบาย นั่งรถแอร์ กับอีกทาง ขรุขระ ถ้าเพื่อนเลือกไปทางนี้ ผมเอาด้วย มันสนุกกว่า ชอบไปกับเพื่อน

คุณมีที่ปรึกษาหรือเปล่า

ไม่มี ใช้วิธีโทรฯ คุย เพื่อมายืนยันสิ่งที่เราตัดสินใจ คล้ายๆ มีคำตอบอยู่แล้ว หาคนคอนเฟิร์ม

ถือว่าว้าเหว่มั้ย เงียบเหงามั้ย หรือว่าไม่

อบอุ่นมาก ชีวิตแม่งโคตรดี ปี 53 มีคนทั้งชอบเรา ด่าเรา แซะเราก็เยอะ พี่ต้องไปถึงจุด คนที่ด่าหันมาเชียร์เรา คือเขาด่าไม่ใช่ด้วยรังเกียจ อาจแค่ไม่ชอบท่าทีบางเรื่อง วันหนึ่งพอเขามาเชียร์ เออ เยอะด้วยนะ ไม่ใช่สองสามคน เคยด่าและมาชม มันดีมาก

คนพวกนั้นเขาอาจว่าเราปรับตัวดีขึ้น จริงๆ ไม่ใช่หรอก กูก็เป็นแบบนี้มาตลอด (หัวเราะ) ชีวิตแม่งโคตรดี บอกเลย ไม่รู้จะดียังไง มันเหมือนกับมีความรักอีกครั้ง แต่ไม่ใช่รักชู้สาว แต่มันวาบหวามมาอีกครั้ง วาบหวามมาก ทำอะไรก็มีความสุข ไม่รู้หาคำอะไรมาอธิบาย

เป็นวันเวลาที่ดี แม้ว่าเหนื่อย ?

ใช่ เหนื่อย โอยพี่ เหนื่อยมาก ไม่ต้องพูดเลย สามเดือนมานี้บางวันแทบไม่ได้นอน เหนื่อย สารัตถะเหนื่อย แต่มีความสุขมาก ผมว่าความเป็นมนุษย์ของเรามันถูกขับจนถึงจุดที่เป็นตัวตนของเรา สิ่งที่คิดที่ฝัน เราสามารถทำได้ตรงๆ เหมือนกวีที่บรรลุวัตถุประสงค์ทางกวี ถ้าเป็นจอมยุทธ์ก็สำเร็จวิชาสุดยอด เสี่ยง แต่มีความสุข ทุกวันนี้เสี่ยงจนไม่รู้จะเสี่ยงยังไง แต่ไม่เป็นไร มันอิ่มเอม ไม่ทุกข์ สิ่งที่เราเป็นอยู่บางทีหวาดกลัว หวาดระแวง แต่เป็นการระแวงที่มีความสุข มีเพื่อนมานอนด้วย มีบอดี้การ์ด เขาไม่ได้มาเพื่อค่าจ้างรางวัล เขาชอบสิ่งที่เราทำ เห็นด้วย ก็เข้ามาแจม เอาง่ายๆ ตอนนี้ผมมีรายจ่ายเป๊ะๆ เอาเฉพาะส่วนรวม เจ็ดหมื่นต่อเดือน

ค่าอะไร

เงินเดือนให้เพื่อนที่มาช่วยทำงานสองคน คนละสามหมื่น เช่าห้องไว้อีกห้อง ค่าเช่าหมื่นนึง ก่อนเดือนสิงหาฯ ยังไม่รู้จะทำไง พี่หนูหริ่งประกาศระดมทุนให้ ก็ได้ค่าใช้จ่ายตรงนี้มา เจ็ดหมื่นบวกค่าผ่อนคอนโดฯ กับแฟน ค่ากินอยู่จิปาถะ รวมแล้วเดือนหนึ่งก็เป็นแสน แต่มันเป็นไปได้ มีชีวิตอยู่ได้

ขึ้นพูดทุกครั้งมีคนฟัง คนปรบมือ ?

ถ้าเป็นไอดอลสมัยก่อนที่เรารู้จักมา อย่างรุ่นเสกสรรค์ (ประเสริฐกุล) ผมว่าเขาไม่เหมือนผมหรอก เขาไม่มีช่วงชีวิตที่มันอิ่มเอมแบบนี้ ต่อสู้ ขึ้นเวที เข้าป่า ไม่มีเวลามาเสพ แต่เรามีช่วงชีวิตนิ่งๆ ได้อยู่กับมัน ชีวิตดีงาม มึงมาจับกู มึงมาฆ่ากู ก็แบบ.. คงจะตายไปด้วยความสุขระดับหนึ่ง แต่คงไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก ขออยู่กินไวน์กินเบียร์ก่อน ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร การอยู่โดยไม่มีเสียดายชีวิต ไม่เสียดายความสุข ทำให้เรากล้า

 

interview nandialogue

 

คุณมองเห็นเมืองไทยปีนี้ หรือปีหน้ายังไงบ้าง

ผมว่าน้ำใหม่มันจะมาขับไล่น้ำเสีย คนรุ่นใหม่ กระแสมันมา ประเทศไทยเปลี่ยนแน่นอน คนอายุต่ำว่าสามสิบ หรือต่ำกว่ายี่สิบห้า เอารุ่นยี่สิบละกัน มันเป็นคนอีกโลกหนึ่งจริงๆ เราต้องยอมรับ มันมาในทางที่เราเชื่อ ไม่ใช่โลกในฝันเราด้วย ในฝันเราโรแมนติก แต่โลกใหม่คือความจริง ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ประนีประนอม โลกของเขาคือความจริง ตรงๆ เราทานกระแสนี้ไม่ได้ กษัตริย์ ทหาร ทัดทานกระแสนี้ไม่ได้ มันมาถึงจุดที่ทหารไปล้างสมองในโรงเรียนแล้วเด็กยกมือว่าไม่เห็นด้วย

ผมไม่รู้ว่าถ้ายังเป็นเด็ก ผมจะกล้าทำแบบนั้นหรือเปล่า โลกและสังคมเรามันมาไกล ประเทศไทยเปลี่ยนแน่นอน

อีกนานมั้ย

ต่อให้เราแพ้พรุ่งนี้ มะรืน หรือปีหน้า สุดท้ายมันจะชนะอยู่ดี ต่อให้พรุ่งนี้ม็อบโดนปราบ สุดท้ายยังไงก็ชนะ เพราะคนมันเปลี่ยน

คำว่าแพ้ ชนะ ของคุณแปลว่าอะไร

แพ้คือเจ็บตัว ชนะคือไม่เจ็บตัวมากและได้กล่อง แต่แพ้คือแค่เจ็บตัว อาจตาย เหมือนหนัง Les Miserables ในหนังคือช่วงที่แพ้ แต่หลังจากนั้นคือชนะ ฝรั่งเศสปฏิวัติสำเร็จ ช่วงชีวิตพวกเรา ของผม ของพี่ เราอาจอยู่ในช่วงแพ้ก็ได้ แต่รุ่นถัดๆ ไปชนะแน่

ชนะคืออะไร

มันจะเปลี่ยนสังคม เปลี่ยนไปถึงโครงสร้าง ถึงระบอบ เปลี่ยนแน่ๆ คนรุ่นใหม่ไม่อินกับกษัตริย์ มันไปรีพับลิกแน่ ไม่ช้าก็เร็ว จะเปลี่ยนความคิดของคนล้าหลังให้เป็นสมัยใหม่ เราจะเห็นแน่ๆ คือบางเรื่องที่คาดฝันไม่ถึง อย่าง LGBT หรือเด็กมัธยมฯ ผมยาวย้อมผมไปโรงเรียน เราถูกสอนว่าผมยาวเป็นคนเกเร แต่รุ่นใหม่ไม่ใช่ เขาเห็นแบบนั้น หลายครั้งเวลามีม็อบ เราจะไปทัดทานน้องๆ แต่พอฟังมันพูดและเราคิดตามนั้น มันใช่หมด ฉะนั้น การที่จะเราจะไปบอกว่าไล่ประยุทธ์ก่อนมั้ย ลดเรื่องเจ้าลง เราบอกไม่ได้เลย เพราะพอเด็กพูด มันถูกหมด

เพดานของคุณมีมั้ยตอนนี้

ไม่มี แค่ถึงเวลาหรือยังที่จะพูดบางเรื่อง แต่คำว่าเพดานมันบรรลุร่วมกันทั้งผู้พูดและผู้ฟัง อยู่ที่จังหวะเวลามากกว่า เพดานไม่มีแล้ว

มีใครเป็นเจ้านายคุณหรือเปล่า

ไม่มี

รับงานใครมามั้ย

ไม่มี ถ้าจะมีคือเกรงใจ แต่ลักษณะมาสั่ง ทำให้เราไม่พูดหรือพูดอะไร ไม่มี 

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีเจ้านาย ?

ไม่มี ไม่ได้เป็นมือปืนรับจ้างของใคร โชคดี และโชคดีคือไม่มีใครกล้ามาสั่ง เขารู้ว่าเราเป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่อง

เอาเงินมาวางสิบล้าน ให้พูดเรื่องนี้ ไม่ให้พูดเรื่องนี้ ทำไม่ได้ ?

จะให้พูดยังไง เรื่องเงิน มันไม่มีความหมายกับเรา

คุณก็ไม่ใช่คนรวย เป็นคนบ้านนอก ทำไมเงินถึงไม่มีความหมาย

ผมเป็นจอมยุทธ์ พี่ต้องนึกถึงฉากเย้ยยุทธจักร ไม่ได้พูดเล่น เงินมันซื้ออะไรได้วะ ตอนนี้ผมซื้อไวน์ เหล้า ไปเที่ยวต่างประเทศได้ แต่มันไม่มีความหมายไง ถ้าไปคนเดียว หรือไปกับแฟน คุณค่าชีวิตผมมันมีเรื่องมิตรสหาย ไปเชียงใหม่ เราไปเจอเพื่อนที่ร้านสุดสะแนน กินเหล้ากับเขาโคตรมีความสุขเลย เรื่องเงิน ผมเป็นคนไม่มีเงิน ไม่รวย แต่ไม่ขัดสน ตั้งแต่ทำงานมา ปี 53 จับเงินแสนเงินล้านไปประกัน เงินคลุกคลีอยู่กับชีวิตเรา

ไม่หลงใหลได้ปลื้มกับอามิสรางวัล ?

ไม่มีเซ้นส์นั้นเลย เอางี้ละกันว่าผมไปทำคดีชาวบ้านและสามารถติดคุกแทนชาวบ้านได้ มันถึงจุดนั้นแล้ว มันอิ่มเอมแบบนั้น ฉะนั้น มันไม่ใช่เรื่องเงินแน่ๆ หรือเราอาจไม่ใช่คนชอบเงินวะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง

ไม่ชอบเงินแล้วชอบอะไร

ได้กินได้ดื่ม ฟังเพลง หรือความสุขอีกแบบที่ไม่ต้องมีเงินเยอะ เงินคือกระดาษ คือสื่อที่ไปแลกบางอย่างได้ มีเรื่องเยอะแยะที่ต้องใช้เงินก็หาไปจ่ายไป แต่ถึงที่สุดมันไม่ใช่เรื่องเงิน

จับเงินเป็นฟ่อนก็เหมือนเย็นชา ไม่รู้สึกอะไร ?

ไม่ได้พูดเล่นนะ ผมไม่มีรถ ไม่อยากซื้อด้วย มันมีความสุขที่ได้นั่งรถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน หรือเช่ารถมาขับ บ้าน ผมไม่มี คอนโดฯ ก็ชื่อแฟน ยังช่วยเขาผ่อนอยู่

ทำไมไม่หลงใหลเงิน

เป็นความรู้สึกของจอมยุทธ์จริงๆ ผมไม่แยแสกับการติดคุก ไม่แยแสกับการตาย แล้วเงินแสนเงินล้านมันจะมีความหมายยังไง

จริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ผมมั่นใจมากว่าเรื่องเงินทำอะไรผมไม่ได้

ถ้าผู้หญิงมาแก้ผ้า โชว์นม..

อาจจะเข้าไปดมหน่อย (หัวเราะ) เรื่องเงิน เกียรติยศ ชื่อเสียง ไม่อยู่ในความคิด ไม่อยู่ในสมอง ไม่ยินดียินร้ายกับมัน ผมมีอีกมุมหนึ่ง เหงาๆ ทำดีแล้วคนไม่เห็นดีกว่า

จอมยุทธ์ที่คุณพูดบ่อยๆ มันหล่อหลอมมายังไง จอมยุทธ์ของคุณแปลว่าอะไร

การอยู่แบบน้อยเนื้อต่ำใจมันเป็นความสุขอีกแบบ อยู่แบบทุกข์ๆ

อยู่แบบทุกข์ๆ แล้วเป็นสุขอย่างหนึ่ง ตกลงคือยังไง โลกทุกวันนี้ใครเขาสนใจจอมยุทธ์

หนังจีนมีคนสองประเภท หนึ่งคือแสวงหาชื่อเสียง เป็นที่หนึ่งในแผ่นดิน แต่สุดท้ายมันจะมีอีกพวกคือกระบี่เย้ยยุทธจักร นั่งกินเหล้า เป่าขลุ่ย เย้ยยุทธจักร เพราะสุดท้ายสิ่งที่ไขว่คว้ามามันไม่ใช่ชีวิตแท้จริง วันที่คุณเป็นไอดอลของคน เดินเข้าไปในงานหนึ่งแล้วคนลุกขึ้นปรบมือให้ เลี้ยงเหล้าเลี้ยงไวน์ มันไม่เท่ากับเราไปกินกับคนที่อยากกิน ต่างกันเยอะ ผมเคยกินไวน์ขวดละแสน โอเค รสชาติไวน์อร่อย แต่บรรยากาศของงานนั้นมันไม่ใช่ และคนเชิญอาจไม่ได้อยากเชิญเราหรอก เขาอาจอยากได้คอนเน็กชั่นบางอย่าง มันคนละอารมณ์กับเวลาผมไปกินเหล้าต้มยี่ห้อสะเอียบกับอ้ายแสงดาวที่สุดสะแนน ผมมีความสุขกว่า แล้วสุขจริงๆ นั่งกิน รอว่าสาวคนนั้นจะมาหรือเปล่านะ กูอยากให้มีฉากบังเอิญมาก มันต้องบังเอิญที่สาวคนนั้นเดินเข้ามาสักวัน

คุณไปสมาทานอารมณ์จอมยุทธ์มาตอนไหน ทำไมมันอยู่ในเนื้อตัวคุณได้

พูดยาก หาคำอธิบายไม่ได้ มันมีคนเหมือนผมจำนวนหนึ่ง อาจไม่เยอะ วันหนึ่งถ้าผมเป็น ส.ส. ผมจะประกาศเลยว่าที่เป็นเพราะเงินมันเยอะ สมมุติว่าจะต้องเป็นจริงๆ กูเอาเพราะเงินเดือน แต่ไม่หรอก ผมไม่อยากเป็น ส.ส. มันไม่ใช่ความสุข

ทำงานทนายความแบบนี้ต่อไป ?

ถ้าจะคุยกันเรื่องอาชีพ ผมแม่งเกิดมาเป็นทนายเลยและคงเป็นไปจนตาย ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ โอเค อาจจะว่าความไม่ดี ไม่เก่ง หรือไม่ค่อยเตรียมพร้อม แต่เหมือนถูกกำหนดให้มาเป็นทนาย

นักการเมืองเป็นมั้ย

ไม่เป็นแน่ๆ ที่ใกล้ตัวที่สุดตอนนี้คืออะไรรู้มั้ย สสร. ร่างรัฐธรรมนูญ แต่ผมคิดว่าจะเป็นทำเหี้ยอะไร มึงอยู่นอกสภา มึงทำงานได้มากกว่า ถ้าไปเป็นก็เพื่อเงินเดือนแสน แค่นั้น แต่กินเหล้าไม่อร่อยหรอก หรือสมมุติอยากได้เงินแสนจริงๆ ผมว่าผมหาได้ เข้าไปเป็น สสร. จะทำอะไรได้ เราเห็นพรรคพวกเราเข้าไปแล้วมีเงื่อนไขรุงรัง

ตอนนี้คุณยังไม่สี่สิบ ถ้าอายุสักห้าสิบ ชีวิตน่าจะเป็นยังไง

เป็นทนายซีเนียร์ อยากนั่งดูคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาแลกเปลี่ยน คุยกัน กินกาแฟ ฟังเพลงดีๆ ดูดไปป์ ความชอบคือเท่านี้ ดูหนังฟังเพลง หนังสือไม่ค่อยชอบอ่านหรอก และยังคงไปศาลอยู่เหมือนเดิม เป็นงานที่แง่หนึ่งก็อาจเป็นเกราะป้องกันตัวเราด้วย

บ้านน่าจะอยู่ไหน

อยู่กรุงเทพฯ เป็นหลัก ต่างจังหวัดไปเที่ยวมากกว่า อาชีพทนายมีปัญหา ถ้าอยู่ต่างจังหวัด ความโชคดีคือเรารู้จักกับคนกับเพื่อน กับวงการที่เรามีความสุขเพียงพอกับการมีชีวิตอยู่ ชีวิตมีแค่นั้น พอ ไม่รู้จะเอาอะไรอีก

ไม่เบื่อหน่ายการต่อสู้ ?

ไม่ เราเป็นจอมยุทธ์ ดูหนัง เห็นคนทะเยอทะยาน เราสมเพช มันทุเรศ

ความทะเยอทะยานของคุณไม่มีเลยหรือ

มี แต่มันต้องในด้านติดลบ คือต้องไปกินเหล้าเงียบๆ ในมุมเงียบๆ

ทะเยอะทะยานอะไรของคุณ

(หัวเราะ) ผมไม่ใช่คนที่จะมาสุขใจเวลาไปเป็นประธานในงานอะไรสักอย่าง ยกแก้วไวน์ ไม่ใช่ ผมบอกกับเพื่อนหลายคนบ่อยๆ ว่าเวลาไปงานแต่ง ผมมักนึกว่าผมเป็นแฟนเก่าของเจ้าสาวเสมอ ไปงานแต่งแล้วเราทำให้ตัวเองเศร้า

 

interview nandialogue

 

เหลืออะไรที่ยังไม่ได้บ้าง ชีวิตนี้

สิ่งที่อยากได้มีสองอย่าง คือเปียโน ผมอยากเล่นเปียโน ยังเล่นไม่เป็นนะ แต่อยากมี ตื่นเช้ามาอยากเล่น กับสอง อยากไปเจอหิมะ นั่งจิบชาจิบเหล้า ข้างนอกหิมะตก มีเท่านี้ ไม่อยากมีร้านหนังสือ ไม่อยากมีบ้านอยู่ในป่าในดอย แต่อยากไปเที่ยวบ้านเพื่อน ถ้ามีเองแบบนั้นคงเหงาชิบหาย สิ่งที่อยากได้มีเท่านี้

เชื่อผมเถอะว่าสังคมไทยเปลี่ยนแปลงแน่ๆ แนวปะทะแรกอย่างรุ่นผม หรือรุ้ง เพนกวิน อาจแพ้ เมื่อปะทะ แต่ถ้าคนรุ่นใหม่ปะทะอีก ชนะแน่ ไม่มีทางแพ้ ไม่ได้พูดเพราะอหังการหรือเข้าข้างตัวเอง แต่ความเก่าของสังคมมันไปไม่ได้แล้ว มันไม่มีทางที่จะไปด่าใครว่าไอ้ตุ๊ด อีกะเทย มันหมดยุค มันผ่านไปแล้ว เราเถียงกันเรื่องผู้หญิงทำแท้งไม่ผิด โลกและสังคมมันก้าวหน้าไปอีกยุคหนึ่งแล้ว ช่วงนี้เป็นภูเขาไฟระเบิด ขรุขระ แต่หลังจากนี้ไม่มีทางอยู่เหมือนเดิม เราเป็นยุคสุดท้ายที่ต้องเจอ คนที่จะโดนทำลายเขารู้ว่าถึงจุดเปลี่ยน กษัตริย์ ทหาร พวกอำนาจนิยมรู้ตัวและประคองไปไม่ได้หรอก แล้วเวลาในอีกไม่นานด้วย ไม่ถึงห้าปีสิบปี อาจจะแค่สองปีนี้ ต้องเปลี่ยน

มีความหวังกับสังคมไทย ?

มี และไม่ลมๆ แล้งๆ ด้วย หวังแบบจับต้องได้ ผมพูดเสมอว่าเราทำในสิ่งที่เห็นว่ามันเป็นไปได้ ไม่เกินตัวด้วย โคตรเป็นไปได้ เอาเข้าจริงคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับความคิดความฝันความเชื่อ มันมีเยอะนะ ผมว่าพี่ก็เป็น แล้วมันมีความสุข บางทีความไม่แน่นอนก็ดีเหมือนกัน ไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ความคิดฝันเพ้อฝัน วาดฝัน มันงดงามกว่าสเต็ปที่มันเป็นไป วันที่เราไม่เคยคิดว่าเรื่องเจ้าจะพูดบนเวทีในม็อบได้อย่างเปิดเผย แล้วมันมาถึง วันนี้พูดเรื่องเจ้าเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่พูดคือไม่ปกติ โคตรอัศจรรย์ ใครจะนึกว่าคนชุมนุมเป็นแสน มาฟังเรื่องเจ้า คนคิดไม่ถึงนะ ช่วงเวลาแค่ไม่กี่เดือนเปลี่ยนสถานการณ์ได้ขนาดนี้ สมัยก่อนที่เราอ่านเราทำหนังสือ ต้องหลบซ่อนแทบตาย กลัวคดี กลัวหลายเรื่อง กังวลนั่นนี่ ทุกวันนี้คุยกันตรงๆ มันมาถึงจุดที่นั่งบนโต๊ะเจรจาแล้ว เราผ่านยุคเขียนนิยายเขียนกวีหลบซ่อน วันนี้ถึงจุดที่นักศึกษาปราศรัยบนเวทีว่ากษัตริย์ต้องปรับตัว คือผมไม่รู้จะอธิบายปรากฏการณ์นี้ยังไง มันก็เร็วนะ และใครจะนึกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เซอร์ไพร์สโคตรๆ

ระมัดระวังตัวเองยังไงบ้าง ต้องมีที่หลบซ่อนอะไรมั้ย

ใช้ชีวิตปกติ ยิ้มเย้ยยุทธจักร ที่ระมัดระวังมากขึ้นคือมีเพื่อนไปด้วย ตายไม่กลัว ถ้าตาย ควรมีคนเห็นว่าใครมายิงเรา

ยังไหวอยู่นะ

ไหวๆ วันนี้ตั้งใจมากินเหล้า เมาแล้วนอน ถ้าไม่กินกลัวนอนไม่หลับ

อากาศแบบนี้ ฝนตก กินเหล้าดีชิบหาย ขนาดไม่ตกบางวันผมยังเปิดเสียงฝนจากยูทูบฟัง มันได้อารมณ์นะ เปิดฟังเสียงฝน

ตอนนี้มีภาพที่ทำให้รู้สึกดีมากคือคนเสื้อแดงเข้ามาสู้ เมื่อก่อนเขาห่อเหี่ยว แล้วกลับมาอีกครั้ง ปี 53 ผมไปทำคดีที่มุกดาหาร เจอศิลปินหมอลำ เขาเหี่ยวแห้ง เหมือนตายไปเป็นสิบปี วันนี้เขาสดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันไม่ได้เข้ากันนักหรอก เสื้อแดงกับเด็กรุ่นใหม่ แต่ใกล้เคียงที่สุดในเชิงอุดมการณ์ ไม่ใช่อันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นสับเซ็ต ทำให้การต่อสู้โคตรโรแมนติก พี่ต้องดูตอนป้าๆ มาช่วยล้อมเป็นเกราะให้นักศึกษา วันนี้ในม็อบ ทุกคนเป็นเจ้าภาพร่วมโดยปริยาย ผมไม่เคยไปคุยกับทราย (เจริญปุระ) แต่ทุกคนรู้ว่าถ้ามีม็อบ ทรายจะมา การ์ดเสื้อแดงไม่ได้คุย เขาก็มา มันเหมือนทุกคนรู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนในขบวนนี้ เหมือนเราคิดจะสร้างบ้าน ลำพังผมสร้างได้แค่เสากับโครง แต่สักพักพายุพัดหน้าต่างประตูมาประกอบกัน โคตรดี เวลาเดินเข้าไปในม็อบ มันลงตัว ต่อให้แพ้ครั้งนี้ก็แพ้เพื่อชนะ

พวกเด็กๆ หรือนักศึกษาที่เจอ เป็นยังไงบ้าง

ผมว่าเขามุ่งมั่น สมัยก่อนมุ่งมั่นเหมือนกัน แต่ตอนนี้โชคดีคือเขาสามารถพูดได้ในสิ่งที่คนคิดเยอะๆ ถ้าคนอย่างรุ้ง เพนกวิน เมื่อ 5-6 ปีก่อน จะไม่ใช่แบบนี้ วันนี้คนคิดเหมือนกันและตอบรับ ที่รุ้งพูด ที่ผมพูด กับสิ่งที่สุรชัย สมศักดิ์ หรือลุงสนามหลวงพูด อาจไม่ต่างกันมาก แต่จังหวะมันต่างกัน

คุยกันแทบทุกวัน ประชุม ออกต่างจังหวัด คุยตลอด เท่าที่เจอมา เด็กมันมีคำถามในใจตลอดในเรื่องกษัตริย์ และคุณูปการของคนมันมีจริงนะ ไม่สูญสลาย ทุกวันนี้ ‘ฟ้าเดียวกัน’ มีคุณูปการมาก เด็กมัธยมฯ อ่านหนังสือพวกนี้เยอะ ความคิดของเขาจัดระเบียบมาจากหนังสือ ใครจะนึกว่าเด็กสมัยใหม่ไปงาน 6 ตุลาฯ สะสมหนังสือ ธงชัย วินิจจะกูล เอาจริงๆ นะ หนังสือธงชัยผมแม่งอ่านไม่จบสักเล่ม ที่สำคัญ ที่ผมเซอร์ไพร์สมากคือขณะที่ผมอินกับ 14 ตุลาฯ คนรุ่นใหม่แม่งข้ามไปถึง 2475 เลย คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักเสกสรรค์ ผมโคตรงง มึงมาทำกิจกรรม ขึ้นปราศรัย ไม่รู้จักเสกสรรค์ได้ไงวะ

เด็กมันไม่รู้จริงๆ คนรุ่นใหม่รู้จักแต่ปรีดี พนมยงค์, จอมพล ป. พิบูลสงคราม, พระยาพหลพลพยุหเสนา ฯ

มันมาถึงจุดนี้แล้ว.

 

nandialogue

 

nandialogue

เรื่องและภาพ: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

 

You may also like...