วิธีตั้งชื่อลูก บางคนไปพบพระ หาชื่อสิริมงคล บางคนไล่เรียงเลือกชื่อดอกไม้ บางใครเปิดหนังสือพิมพ์ เลือกหาคัดสรรจากบุคคลในข่าว และบางเราไม่ยึดขนบธรรมเนียมใดทั้งนั้น ขอตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อม้าแข่งตัวโปรด
‘โอ๋’ แพรวพราว วิไลเลิศ อายุ 44 ปี บอกที่มาของชื่อด้วยเสียงหัวเราะ พ่อเขาชอบแบบนั้น ก็โอเค เธอยินดีกับสิ่งที่บุพการีเรียกขานเอ่ยนาม ดูเหมือนจะยินดี พึงพอใจและสบายๆ ไปหมดกับชีวิตประจำวันหน้าห้องน้ำ กลางตลาดเมืองน่าน มันคือออฟฟิศ คือชีวิตสามัญของผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียนจบ กศน. ชั้นมอปลาย เคยเข้าไปแสวงโชคในเมืองกรุงเกือบยี่สิบปี เลี้ยงลูกให้พี่สาว ขายของ เชือดไก่ในโรงงาน ฯลฯ ก่อนจะคืนสู่น่าน ให้บริการคนถ่ายทุกข์หนักเบา
วัยเด็ก ไม่น่ามีใครใฝ่ฝันจะทำงานแบบนี้ บรรยากาศ สถานที่ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่มีสิ่งใดน่าพิสมัย แต่ความจริงใครบางคนก็เฝ้ายามอยู่ที่นี่ และสามร้อยหกสิบห้าวันตลอดทั้งปีไม่มีวันหยุด
เคยฝัน แต่มันล้มเหลว ในตัวเลือกที่แม้ต้องดิ้นรน ปากกัดตีนถีบ เธอปรับมุมคิด หาทางเอาชีวิตให้รอด นี่เป็นงานชุดซีรีส์ตลาดสด ที่ nan dialogue ภูมิใจนำเสนอเรื่องเล่าของสามัญชน
1
ณ ห้องน้ำแห่งนี้ แม่ทำมาก่อน แพรวพราวมารับช่วงต่อ
“ทำแทนได้สองสามปี เพราะแม่เหนื่อย ทำมาเป็นสิบปีแล้วมั้ง น่าจะถึง เรามาทำต่อเพราะแม่อยากพักแล้ว อายุหกสิบแปดหกสิบเก้า เค้าเปรยๆ ว่าอยากพัก ไม่มีใครแทน เราก็ เออ มาก็ได้”
ง่ายๆ แค่นั้น ?
“ใช่ (หัวเราะ) ไม่ได้บังคับขอร้อง ก่อนนั้นขายของอยู่กรุงเทพฯ ไปๆ มาๆ น่าน กรุงเทพฯ อยู่แบบนี้ พอแม่บอกอยากพักก็เลยมาถาวร”
2
โอกาสแต่ละคนมีมากน้อยแตกต่าง บางโอกาสก็มาจากห้องเรียน “เราเรียนไม่เก่ง จบ กศน. แล้วก็เลยอยากหยุด หางานทำ ..ไม่ใช่พ่อแม่ไม่ให้เรียน ถ้าจะเรียนก็ได้ เราหาเงินเองด้วย แต่ดูแล้วไม่ไหว สมองไม่ดีว่างั้นเถอะ เรียนสู้คนอื่นเขาไม่ได้ พอดีพี่สาวมีน้อง ก็ไปช่วยเค้าเลี้ยงอยู่ที่กรุงเทพฯ พอโตหน่อย ก็หางานทำ มันหลายช่วง หลายเรื่อง จำได้ไม่หมด จำได้ว่ากลับมาอยู่น่านตอนอายุสี่สิบ มาถึงก็ทำงานนี้เลย ทีแรกนั่งเป็นเพื่อนแม่ได้สักเดือน หลังจากนั้นบอกแม่ว่าพอเถอะ อยู่บ้านไป เฝ้าสองคนไม่มีประโยชน์ ก็ยาวเลยทีนี้ ทำเหมือนที่แม่ทำมาตลอด”
3
กิจวัตรประจำวันต้องทำอะไรบ้าง ?
“เช้า ทำงานบ้านเสร็จ เตรียมกับข้าวให้พ่อแม่แล้วก็ออกมา ถึงนี่ราวๆ เก้าโมง ล้างห้องน้ำ ถูพื้น เช็ดกระจก กวาดใบไม้ ใบมะขามมันร่วงเยอะ เสร็จแล้วก็เตรียมของขายน้ำ เพราะทำสองอย่าง เฝ้าห้องน้ำกับขายน้ำ ..อ้อ นี่สบู่สมุนไพร แม่ฝากขาย วันๆ ก็อยู่อย่างนี้ ไม่มีวันหยุด”
พักผ่อนตอนไหน ?
“ตอนเย็น กลับบ้านเราก็ได้พัก เลิกงานห้าโมงครึ่ง ทำไปพักไป งานมันไม่ได้หนักหนา แค่คอยดูความสะอาด อะไรไม่เรียบร้อย มาถึงเช้าล้างไปรอบหนึ่งแล้ว ล้างอีกรอบตอนบ่ายสาม แม่ทำไว้แบบนี้ ช่วงก่อนปิดร้านก็เคลียร์ให้จบ หกโมงเช้าพี่ชายมาเฝ้าให้ เพราะเราต้องทำงานบ้านก่อน ทำความสะอาดบ้าน ดูว่าพ่อแม่มีอะไรขาดเหลือ เสร็จแล้วถึงออกมา ช่วงเช้าจะยุ่งหน่อย”
4
ค่าบริการ ?
“เข้าห้องน้ำสามบาท อาบน้ำยี่สิบ ชาร์จแบตฯ ยี่สิบ แต่ชาร์จแบตฯ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีหรอก นานๆ นักท่องเที่ยวจะมาใช้ คนหายหมดตั้งแต่โควิด”
“ค่าน้ำค่าไฟ เราเป็นคนจ่าย เดือนหนึ่งตกร้อยกว่าบาท ค่าน้ำสามร้อยกว่าบาท ..เก็บสามบาทตั้งแต่แม่ทำมา ไม่ได้ปรับ เพราะจะขึ้นเป็นห้าบาทก็ยาก แม่เคยขึ้น พอดีเรามีธุระไปกรุงเทพฯ แม่มาช่วยเฝ้าเก้าวัน และขึ้นราคาเป็นห้าบาท เรากลับมาเจอ บอกแม่ว่าไม่ต้องขึ้นหรอก ยึดอันเดิมดีกว่า เพราะมีลูกค้าเข้าๆ ออกๆ อยู่แล้ว บางคนจ่าย บางคนไม่จ่าย มีหลายอย่าง”
ไม่จ่ายก็มี ?
“มี, คนเรามันก็มีหลายแบบ บางคนบอกลืม เดี๋ยวไปเอาตังค์ที่รถแป๊บ แล้วหายไปเลย ก็แล้วแต่ ไม่ว่าอะไร มีหลายประเภทค่ะ ..ตอนมาทำใหม่ๆ ก็งงนิดนึงนะว่า อะไรอะ ตอนหลังก็เริ่ม อ๋อ โอเค ไม่ว่ากัน ต้องรับให้ได้ทุกแนว ไม่ได้พกตังค์มา เดี๋ยวไปเอาที่รถ บางคนเข้าแล้วเดินออกไปเลยก็มี”
แล้วทำไง ?
“จะทำอะไรได้ ไม่ให้ก็ไม่เอา คนที่อื่นมาใช้บางทีเขาไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ (หัวเราะ) ป้ายก็มี ปกติไม่ได้ติดป้ายนะ เพิ่งมาติด บางคนไม่รู้ เราก็ไม่ว่าอะไร นั่งเฉยๆ ให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ไม่ให้ ไม่รู้จะว่าอะไรเขา บางคนแต่งตัวดี แต่ว่าไม่ให้ ก็มี แต่บางคนจนจริงๆ ไม่มีตังค์ มาขอเข้า เราไม่มีปัญหา พระภิกษุสงฆ์ เราให้ท่านเข้าฟรี ..ส่วนมากเป็นพ่อค้าแม่ค้าแถวนี้ นักท่องเที่ยวน้อยมาก นานๆ ครั้ง ลูกค้าหลักเห็นหน้ากันทุกวัน บางคนเข้าเช้าเข้าเย็น”
เจ้าของอาคารสถานที่เป็นญาติห่างๆ เมื่อก่อนเขาคิดค่าเช่าหนึ่งร้อยบาทต่อวัน ตั้งแต่ตอนรุ่นแม่ทำมา ช่วงหลังเริ่มไม่ไหว รายได้ลดลง ขอต่อรองเหลือแปดสิบ ก็ยังไม่ไหว ตอนนี้ลดเหลือห้าสิบบาท
“ยังดีที่เขาลดให้ มันไม่ไหวจริงๆ ไม่มีคน เขาเห็นใจเรา ..มาเก็บทุกวัน มีคนหรือไม่มีคน ได้เงินหรือไม่ได้ เราต้องจ่ายเขาทุกวัน หยุดหรือไม่หยุดก็ต้องจ่าย น้ำ-ไฟ ว่ากันตามมิเตอร์ หลังวันที่ 17-18 เดี๋ยวเขาถือบิลมาเก็บ”
5
งานนี้มีปัญหาอะไรบ้าง ?
“ไม่ค่อยมี เพราะเราทำทุกวัน บริการทุกวัน ถึงมีก็นิดหน่อย อย่างที่บอก มีคนจ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง ก็ไม่เป็นไร”
ลูกค้าคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ (คงได้ยินเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่) เขาบอก “ปัญหาคือน้ำไม่ไหลนี่แหละ”
“อือ เอาอีกแล้วเหรอ” แพรวพราวลุกขึ้นไปดู เป็นที่รู้กันว่าช่วงนี้ทั้งเมืองน่านอยู่ในช่วงวางท่อประปาใหม่ ขุด เจาะ ต่อเติม มาหลายเดือน สร้างปัญหาเรื่องเสียงและรถติดหนึบหนับเอาเรื่อง
ไม่ไหลบ่อยมั้ย ?
“ตั้งแต่ซ่อมท่อนี่สามครั้งแล้วนะ แล้วเป็นเฉพาะฝั่งนี้ ฝั่งทางโน้นไม่เป็น ดีที่เพื่อนบ้านบอกว่าไปเอาน้ำบ้านเขาได้ เราบริการห้องน้ำ ไม่มีน้ำ มันไม่ได้”
“เบาอย่างเดียวครับ ห้ามหนัก” ลูกค้าคนเดิมช่วยเสริม ก่อนพ่นบุหรี่บางๆ เดินจากไป
“ใช่ๆ บางทีต้องถามลูกค้าว่าเบาหรือหนัก บางคนเขาก็งงว่าถามทำไม”
ส่วนใหญ่คนที่มาใช้ห้องน้ำช่วยรักษาความสะอาดดีมั้ย ?
“บางคนก็สะอาด บางคนไม่ ขนาดเขียนป้ายว่าอย่าทิ้งทิชชู่ลงโถส้วม เพราะมันอัดเข้าไป โทษนะ อย่างผ้าอนามัยเมื่อก่อนเยอะมาก บางทีเราไปเจอพอดี เอ้า ต้องคอยดึงออก”
ทำให้ส้วมเต็ม ?
“เมื่อก่อนเต็มบ่อยมาก หลายปีก่อนตอนแม่ทำ สองสามเดือน อ้าว เต็มอีกแล้ว เพราะคนทิ้งอะไรลงไปเยอะ แต่นานแล้วนะที่ไม่เต็ม ทั้งที่คนเข้าตลอด ไม่มีน้ำท่วมเอ่อ คงเป็นเรื่องระบบน้ำ ระบบท่ออะไรด้วย เทศบาลอาจจะจัดการดี แต่ยังมีคนทิ้งอยู่ พวกทิชชู่ ถังขยะมีให้ แต่เขาวางบนก๊อกน้ำมั่ง ทิ้งบนพื้นมั่ง เราไปเห็นก็รีบหยิบออก ส่วนน้อยที่ทำ โดยรวมถือว่ากลางๆ ไม่ถึงกับช่วยกันดูแลความสะอาดมาก แต่ก็ไม่แย่ นานๆ หรอกที่เจอแบบแย่มาก ..เขียนติดประตูไว้แล้วว่าอย่าทิ้งทิชชู่นะ เพราะมันมีถังขยะอยู่ ก็มีคนทิ้ง”
โกรธมั้ย วันไหนเจอแย่ๆ ?
“ไม่นะ อาจจะมีแค่บ่นเล็กๆ น้อยๆ ว่า โอ ทิ้งอีกแล้ว ..ก็แค่นั้น ไม่ถึงกับโกรธเกลียดใคร เพราะถึงขั้นทำสกปรกมากๆ เลย มันก็ไม่มี มีตอนพี่ชายอยู่ มีบ้าง แต่ถือว่าน้อยครั้ง อีกอย่าง เราทำตรงนี้ งานแบบนี้ เราไม่ได้รังเกียจหรือขยะแขยง ก็แค่เก็บกวาดของเราไป มันเป็นอาชีพที่ทำมานานแล้ว ถ้าบางคนคอตื้นหน่อย เขาเห็นแล้วอาจจะอ้วกออกเลย (หัวเราะ) สำหรับเราก็เฉยๆ ล้างเหมือนล้างห้องน้ำที่บ้าน”
6
รู้สึกว่าเป็นงานที่ต่ำต้อยมั้ย ล้างห้องน้ำ ?
“ก็ไม่นะคะ เพราะเป็นอาชีพสุจริต อิสระ เราไม่ได้ไปขอใครกิน”
บางคนเขาทำงานในที่หอมๆ แอร์เย็นๆ ของเราอยู่กับของเสีย สิ่งปฏิกูล มันไม่มีความรู้สึกต่ำต้อยน้อยใจบ้างเหรอ ?
“เคยทำห้องแอร์มา ทำโรงงาน หลายที่มันสะอาดกว่านี้เยอะ แต่บางที่ก็เหม็นคาวเลือด”
ยังไง ไปทำงานอะไรมา ?
“อยู่โรงงานไก่ ทำหลายหน้าที่ หมุนเวียน เชือดไก่ กรีดหลังไก่ ทำหลายอย่าง แต่เอาจริงๆ ที่โรงงานนั่นก็ทำแค่หกเดือน เพราะแพ้สารเคมีอะไรสักอย่าง แอร์เย็น แต่เป็นผื่น ไม่ได้สะดวกสบายเท่าไร”
หนักกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว ?
“ใช่, แต่งานทุกวันนี้ถือว่าไม่หนักหรอก ที่หนักมากคือตอนเด็ก เข็นรถช่วยแม่ขายของ รถคันใหญ่ๆ แม่ขายผลไม้ ขายข้าวหลาม เมื่อก่อนลำบาก ตอนนี้สบายขึ้นมาบ้าง เราไม่ได้ทำอะไรเยอะแยะ ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง แค่นั่งเก็บเงินไป เมื่อยก็ลุกขึ้นไปกวาดถู จะยุ่งหน่อยช่วงเช้าแค่นั้น สาย บ่าย ก็เรื่อยๆ มันไม่ค่อยมีคน”
รายได้เสริมอื่นๆ ทำอะไรอีกมั้ย ?
“ไม่มี มีเท่านี้” เธอเขียนเลขหนึ่งลงบนเหรียญบาท เลขสองบนเหรียญสองบาท เพื่อคัดแยก หยิบทอนไม่พลาด
พอหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้ ?
“ได้, เลี้ยงพ่อแม่ด้วย ดูแลอาหารการกินให้เขา สมัยนี้หาได้เท่าไรก็ต้องพยายามทำให้พอ แต่บางทีไม่พอ เศรษฐกิจดิ่งลงแล้ว ต้องบริหารให้ดีๆ อย่างวันนี้เก็บได้ เป็นค่ากับข้าว เราก็หมุนทุกวันๆ มันพอได้อยู่ ระวัง ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย”
7
ยอดต่ำสุดที่เคยได้ ?
“เฉพาะห้องน้ำก็ประมาณ 40-50 บาท แบบไม่มีคนเลยนะ ตอนแม่อยู่เคยได้ถึงห้าหกร้อย แต่นานเป็นสิบปีมาแล้ว ตอนเรามา มันลดลงๆ โควิดก็คงเกี่ยวเยอะ คนออกจากบ้านน้อย”
วันที่ทำเงินสูงสุด ?
“สองร้อยกว่า ประมาณนั้นแหละ ถึงต้องขายน้ำขวดนี่เสริม เทียบกันแล้วขายน้ำได้มากกว่าด้วย วันไหนอากาศร้อนๆ บางทีได้สามร้อย รวมกับค่าห้องน้ำก็ได้ประมาณวันละสี่ร้อย ..พออยู่ได้ เพราะบ้านไม่ได้เช่า ห่อข้าวมากิน รถไม่มี ขี่จักรยานมาทำงาน”
8
วันที่แฮปปี้ ?
“ไม่ค่อยมีนะ (คิดครู่หนึ่ง) ไม่มีค่ะ เพราะทุกวันเป็นวันปกติ ทุกวันคือเราทำงาน เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ รู้สึกว่ากลางๆ ไม่สุขมากไม่ทุกข์มาก ไม่กระตือรือร้นมากมาย ขอให้มีกินมีใช้ พอ”
วันที่ทุกข์มากๆ ก็ไม่ค่อยมี ?
“ไม่ค่อย เหนื่อยก็พัก ตอนเย็นกลับไปบ้านก็พักทุกวัน อยู่นี่ ว่างๆ ก็ดูหนัง ดูซีรีส์ไปสบายๆ กลับบ้านก็.. ดูซีรีส์ต่อ (หัวเราะ) เลี้ยงแมว นั่งคุยกับเค้าหน่อย ถ้ายังไม่ง่วงก็ดูหนังไป แค่นั้น กิจวัตรประจำวันมีเท่านี้”
ชอบซีรีส์เกาหลีมั้ย ?
“ชอบ หนังไทยก็ดูบ้าง แต่ส่วนใหญ่น้ำเน่า ชอบเกาหลีมากกว่า สนุกกว่า หลานแนะนำ หลังๆ นี่ไม่ดูพากย์ไทยเลยด้วย ตอนแรกไม่เชื่อ เพราะอ่านซับฯ ไม่ทัน เดี๋ยวนี้ติด”
9
ทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด ไม่อยากไปเที่ยวบ้างเหรอ ?
“เมื่อก่อนไปเยอะนะ ใครชวน ไปหมด เดี๋ยวนี้เฉยๆ ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ เหมือนว่าเราทำมาแล้ว ยังไงก็ได้ อยู่ได้ แล้วแต่มุมมองคนมั้ง บางคนอยากเที่ยว ต้องไปให้ได้ แต่เราเห็นเขาเที่ยวกันก็เฉยๆ”
จังหวัดน่านนี่ไปมาทั่วหรือยัง ไปไหนมาบ้าง ?
“พระธาตุแช่แห้ง สมัยโน้นเขาเลี้ยงหมีในกรง เป็นคล้ายสวนสัตว์เล็กๆ ชอบไปนั่งเล่น , เขาน้อย เมื่อก่อนยังไม่มีองค์พระ ก็ชอบนะ วิวสวย มองเห็นน่านทั้งเมือง ..ไปหลายครั้ง ซ้อนมอไซค์ไปกับเพื่อน”
ปัว เคยไปเปล่า ?
“ยังไม่เคย”
บ้านหลวง ?
“ยังไม่เคยไป”
แม่จริม ?
“ไม่เคยไปไหนเลยค่ะ (หัวเราะ) อยู่ตรงนี้สามร้อยหกสิบห้าวัน อยู่ตลอด มาเมื่อไรก็เจอ”
ตอนอยู่กรุงเทพฯ คงพอได้เที่ยวอยู่บ้าง ?
“ก็ไปเยอะอยู่ ไปห้าง บางทีไปต่างจังหวัด เชียงราย เชียงใหม่ ทะเลก็ไป”
ชอบทะเลมั้ย ?
“ก็งั้นๆ ค่ะ (หัวเราะ) ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ ไม่ซีเรียส เคยนั่งเครื่องบินหลายครั้งอยู่ ไปเองคนเดียวด้วย ก็ดีกว่ารถทัวร์นะ เร็วดี เรื่องเที่ยวเดี๋ยวนี้เฉยๆ เห็นนักท่องเที่ยวชอบถนนเลขสาม นั่งรถไปถ่ายรูปกัน สำหรับเรามองแล้วก็ เอ่อ.. ไปเพื่อ.. ถนนไหนมันก็เหมือนๆ กัน เขาไปถ่ายเพื่ออะไร เหมือนถนนคนเดิน ลานข่วงเมือง ตั้งแต่กลับมาไปแค่สองสามครั้งเองมั้ง หลานชวนไป ก็ไป”
10
ตอนเด็กเคยใฝ่ฝันอยากทำอาชีพอะไรมั้ย ?
“เอาจริงๆ เลยนะ อยากเป็นหมอ ฝันไกลใช่มั้ย (หัวเราะ) พอโตเรารู้ว่ามันไกล ไกลมากๆ ก็ดีที่ฝัน แต่หัวมันไปไม่ถึง สมองไม่ถึง เราเรียนไม่เก่ง เคยคิดฝันว่าอยากช่วยคน ชอบงานแบบนั้น แต่มันดิ่งลง ทำไม่ได้ เรียนไม่เก่งสักอย่าง ทั้งคณิตฯ วิทย์ฯ ผลการเรียนแย่ ผ่านมาแค่นี้ถือว่าดีแล้ว เออ ถ้าไม่ถามนี่ก็ลืมแล้วว่าครั้งหนึ่งเราเคยฝันอยากจะเป็นหมอ แต่มันไม่เป็นจริง”
เสียใจมั้ยที่ทำตามความฝันไม่ได้ ?
“ไม่นะ เพราะคนเยอะแยะก็ฝันและไปไม่ถึง เราเรียนไม่เก่ง จะไปยื้อทำไม สมองเราไม่ได้ จบแค่นี้ก็โอเค หาเลี้ยงตัวเองได้”
11
มีเหตุการณ์ไหนที่คิดว่าสำคัญมากๆ กับชีวิตมั้ย ?
“ไม่มีนะ ไม่ค่อยประทับใจอะไร เป็นคนแปลก ไม่มีแบบว่าอันนี้ต้องดีใจมากเพราะวันเกิด เฉยๆ ไม่เคยมีงานวันเกิดของตัวเอง อาจทำบุญนิดนึง แต่หลังๆ วัดก็ไม่เข้าเท่าไร ไม่มีเวลาไปเพราะอยู่ตรงนี้ตลอด ส่งคำอวยพรทางโทรศัพท์ให้กัน มันทำได้แค่นั้นก็ทำไป”
มีกลุ่มเพื่อนๆ ที่ยังนัดแนะพบเจอกัน ?
“เพื่อนสนิทอยู่กรุงเทพฯ นานๆ ถ้ามาน่าน เขาก็มาหา มีเพื่อนคนเดียว นอกนั้นกระจัดกระจาย อ้อ อีกคนเป็นครู อยู่น่านนี่แหละ แต่ไม่ค่อยได้เจอ งานมันคนละอย่าง มีแค่สองคนนี้แหละมั้ง เป็นคนเพื่อนน้อย แต่เพื่อนร่วมโลกเยอะ (หัวเราะ) มีเพื่อนอยู่ในซีรีส์ เพื่อนแถวนี้ก็มี เจอกันก็พูดคุยทักทาย แต่เขาไม่ว่างเท่าไร”
กลางวันไปกินข้าวที่ไหน ?
“กินที่นี่ ห่อใส่ปิ่นโตมา เช้ากับเที่ยงรวบเป็นมื้อเดียวกัน และไปกินอีกทีตอนเย็น เลิกงานแล้วกินที่บ้าน คุยกับพ่อแม่ พ่ออายุแปดสิบสอง ยังแข็งแรง แม่เจ็ดสิบเอ็ด ห่างกันประมาณสิบปี ..คิดว่าเป็นคนสบายๆ นะ สุขสุดๆ ทุกข์สุดๆ ไม่มี ชีวิตมันเรียบๆ อุบัติเหตุไม่มี ป่วย นอนโรงบาล ไม่เคย เคยแค่ตอนอยู่กรุงเทพฯ ที่แพ้สารเคมี ผื่นขึ้นตามตัว มีไข้ แต่ไม่หนัก รักษาแค่กินยา”
12
“สองคน เท่าไรคะ” ลูกค้าใหม่เข้ามาถามราคา
แพรวพราวตอบแล้วเล่าต่อ ว่าช่วงสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายสอง คนน้อย ตั้งแต่โควิดมา เมืองเงียบมาก
“คนเขากลัวแหละนะ ทำไงได้ ขนาดท่ารถอยู่นี่ คนไม่ออก ไม่ค่อยมา แต่เราก็นั่งอยู่นี่ทุกวัน เงียบยังไงก็มา ทำงานของเราไป เงียบก็ช่าง บังคับใครไม่ได้ เขาไม่อยากออกมา”
13
นั่งเฉยๆ ทั้งวัน ไม่เบื่อแย่ ?
“ดูโทรศัพท์ไป ข่าวมั่ง เฟซฯ ไลน์ ซีรีส์ ก็ไม่เบื่อนะ มีโทรศัพท์เป็นเพื่อน อยู่กับโทรศัพท์ กลับไปบ้านถึงมีกิจกรรมอื่น เล่นกับแมวอะไรไป”
ค่ามือถือแต่ละเดือน ?
“เน็ตเพื่อนบ้านคนแถวนี้เขาแชร์ให้ใช้ ค่าโทรฯ น้อย ไม่ค่อยได้โทรฯ ไปไหน มีตามน้ำแข็งนานๆ ที น่าจะตกเดือนละร้อยกว่า ใช้เติมเงิน ที่บ้าน ก็มีของน้าแชร์ให้ จบทุกอย่าง ถึงเวลานอน นอน อันนี้คือความสุข ที่ถามว่าชอบอะไร บอกได้เลยว่าความสุขคือการนอน ถึงเวลานอน นอนง่าย หัวถึงหมอน หลับ บางคนไม่หลับนี่ทรมานนะ เราไม่เคยมีปัญหา สี่ทุ่มหลับ หกโมงเช้าตื่น นอนหลับดี เป็นคนมีความสุขกับการนอน”
อยู่กับเรื่องพื้นฐาน การกิน การนอน ?
“ใช่, มีอะไรก็กินไป ถามว่าชาบู อยากกินมั้ย ไม่ถึงกับว่าต้องไป ต้องลอง ไม่มีก็ไม่กิน กินข้าวบ้านๆ ปกติ ไม่รู้สึกว่าอยากกินมาก ต้องเก็บตังค์ไปกิน ไม่มี เรากินยังไงก็ได้ ชีวิตมีเท่าไหน ใช้เท่านั้น ไม่อิจฉา เพราะว่าเรากินอะไรก็ได้ ยกเว้นแบบ.. เนื้อหมาอะไรพวกนั้น คงไม่ (หัวเราะ) ทุเรียน ชอบนะ ถ้าใครซื้อมาให้ก็กิน มันแพงเนาะ แพง ไม่กินก็ได้ ชีวิตเรียบง่าย ติดดิน เพราะเราไม่ฝันเฟื่อง เดินผ่านร้านหรูแล้วน้ำลายไหล ไม่ใช่คนแบบนั้น”
ไม่มีหนี้สิน ?
“ไม่มี ไม่ผ่อน เพราะที่บ้านพ่อแม่ก็มีทุกอย่างแล้ว เรื่องข้าวของที่ไม่จำเป็นมากคิดว่ามีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ชีวิตคนธรรมดา ไม่ใช่เข้าห้างทุกวัน ใช้วันละพัน ไม่ใช่ เราอยู่แบบนี้ มีก็ใช้ ไม่มีไม่ใช้”
ใช้มอไซค์หรือเปล่า ?
“ไม่ใช้ ที่บ้านมี แต่ไม่ชอบ ไม่อยากขี่ บ้านอยู่สวนตาลแค่นี้ ขี่จักรยานมาได้ คิดซะว่าบริหารแข้งขาหัวเข่าไปด้วย ก็ดี ยิ่งช่วงนี้น้ำมันแพง จักรยานก็ประหยัดดี ไม่กินน้ำมัน”
ทั้งชีวิตเคยซื้อของแพงที่สุดคืออะไร ?
“โทรศัพท์เครื่องละสามพันกว่าบาท แต่มันเจ๊งไปแล้ว ซื้อสมัยทำงานอยู่กรุงเทพฯ ที่ใช้อยู่นี่สองพัน พี่สาวซื้อให้ ของราคาหมื่น ไม่เคยซื้อ ไม่เคยมี และไม่คิดอยากได้”
สร้อย แหวน นาฬิกา ?
“เคยคิดเล่นๆ แต่รู้ว่าไม่ได้หรอก”
ซื้อเสื้อผ้าราคาเท่าไร ?
“ไม่เกินสองร้อย สูงสุดแค่นั้น กางเกงที่แพงสุด ซื้อแถวไหนล่ะ (คิดสักครู่) ประตูน้ำ สองร้อยห้าสิบ ตัวนั้นแพงสุด”
ตัวนี้ล่ะ ?
“ร้อยเดียว ใส่แบบประหยัด ไม่ซื้อเสื้อผ้ามานานแล้ว พี่สาวเลิกใส่ เอามาให้ เราใส่ต่อ หรือเวลาญาติพี่น้องมาเที่ยว เขาให้ เรารับ ใครเอามาให้ ของเก่าของใหม่ รับหมด เสื้อผ้าไม่ค่อยซื้อ ส่วนมากมีคนมาให้ เราไม่ถือ ขอให้ใช้ได้ พอ บอกแล้วว่าติดดิน”
14
วัยเด็ก คิดฝันอยากเป็นหมอ ตอนนี้มีความฝันอะไรมั้ย อยากมีชีวิตยังไง จะทำงานนี้ไปอีกกี่ปี ?
“ไม่คิด อยากทำวันนี้ให้จบไปวันๆ ก็พอ อย่าไปคิดอนาคตข้างหน้า เพราะคิดแล้วก็ไม่เคยได้อะไรเลย คิดข้ามวันข้ามเดือนว่าจะไปเที่ยว มันไม่ได้ไป เราก็เลยทำให้มันจบไปวันๆ และพรุ่งนี้เริ่มใหม่ เท่านั้นเอง พอวันพรุ่งนี้จบ ก็มะรืนเริ่มใหม่ วนแบบนี้ เอาให้จบเป็นวันๆ ดีกว่า สบายใจ ถ้าไปคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังงี้ๆ มันไม่ได้ ไม่เคยได้ เลยเปลี่ยนมาคิดว่าถ้าไม่ไหวก็หยุดเท่านั้นเอง อย่าไปฝืนตัวเอง บางคนทำงานๆ เห็นข้างนอกก็ดูสุขภาพดี นานๆ ไปป่วย นอนติดเตียง คือเราไม่รู้อนาคต ทำงานง่กๆ แล้วเจ็บป่วย มีเงินก็ไม่ได้ใช้เงิน โลกมันไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้”
กะว่าจะทำงานอยู่ตรงนี้อีกกี่ปี ?
“ไม่กะ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่ไหว”
อาจสามปี ห้าปี สิบปี ?
“มันกะเกณฑ์ไม่ได้ ทำและค่อยดูไป ถ้าวันหนึ่งมีอะไรเข้ามา หรือวันหนึ่งร่างกายไม่ไหวค่อยว่ากัน ถ้าไปกำหนดว่าอีกสามปี ห้าปี มันไม่ค่อยจริง ไม่เคยจริงเลย ทำมันไปวันต่อวันแบบนี้”
ลูกค้ามาซื้อน้ำอัดลม เธอลุกขึ้นเปิดขวด ตักน้ำแข็ง
15
จัดการเสร็จสรรพและรับเงินยี่สิบบาทแล้วมาคุยต่อ
ตื่นเช้ามานี่คืออยากมาทำงานทุกวันมั้ย ?
“คนเรา วันขี้เกียจมันก็มี บางทีไม่อยากมาเลย”
วันแบบไหน ?
“ฝนตกหนักๆ โอย ต้องเปียกอีกแล้ว แต่ว่าก็ต้องมา ไม่ใช่ขี้เกียจแล้วไม่มา เพราะมีงาน เราก็มาทำงานตามหน้าที่ ฝนตก แดดออก ก็ต้องมา อย่าลืมว่าต้องดูแลอีกสองชีวิตที่บ้าน เราคิดแค่นี้ อยากหรือไม่อยาก ตัดทิ้งไป ไม่คิด เราทำทุกอย่างปกติ เพราะมันเป็นหน้าที่ หน้าที่คือเราต้องมา”
สบายใจดีที่จะมา ?
“ก็สบายนะ ไม่น่าเบื่อ คนเข้าห้องน้ำ แขกไปใครมาก็คุยกับคนนั้นคนนี้ เพราะส่วนใหญ่คุ้นหน้ากันอยู่ คุยแป๊บๆ แล้วไป คือมาที่นี่มันก็ดี ได้เจอคนภายนอก เจอหลายๆ แบบ ไม่อุดอู้ซ้ำเดิม กลับบ้านก็คุยกับพ่อแม่”
ชีวิตสุขหรือทุกข์มากกว่า ?
“กลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เรียบๆ เฉยๆ มีอะไรต้องทำ ทำไป เราทำงานทุกวัน เป็นหน้าที่ของเรา เป็นชีวิตประจำวัน”
เชื่อถือศาสนา หรือมีใครเป็นหลักยึด นำทาง หรือเป็นต้นแบบความคิดมั้ย ?
“ไม่มี แต่ไม่ใช่ทำตามใจ เราทำตามหน้าที่ พูดแบบนี้ดีกว่า งานแบบนี้ต้องทำทุกวันก็มาทุกวัน ไม่มีวันหยุด ไม่มีใครบังคับ”
เอาจริงๆ คือหยุดบ้างมั้ย ?
“น้อยมาก จะหยุดก็ต้องมีเหตุผลหน่อย อย่างไปโรงพยาบาล หรือว่าใครเป็นอะไร ถึงหยุด ถ้าหยุด แม่ก็ต้องมาแทน หรือพ่อไม่สบาย ไปนอนเฝ้าเขา มีหนึ่งคนไปเฝ้า อีกคนต้องมาแทน แต่เวลาแม่มาแทนก็ไม่ชอบหรอก บอกแก ถ้าไม่ไหวก็ปิด นั่งนานๆ ไม่ดี คนแก่แล้ว ก็บอกเขา ถ้าไม่ไหว ไม่ต้องมา อยากให้แกพัก”
ไม่มา ค่าเช่าที่ก็ต้องจ่าย ?
“มา ไม่มาก็จ่าย ไม่มีว่าไม่มาไม่เก็บ ไม่ใช่ เราต้องจ่ายเขาทุกวัน หยุดยังไงก็ต้องจ่ายเขาอยู่ดี ไม่มีหรอกที่เขาจะละเว้นให้ ถึงเป็นญาติ แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ”
16
อยากเรียกร้องอะไรกับเจ้าของห้องน้ำมั้ย ?
“ไม่มี ที่ผ่านมาเขาก็ลดค่าเช่าลงเยอะ เขารู้ ช่วงโควิด คนเข้าไม่ถึงร้อยคน บางวันได้ บางวันไม่ได้ รวมๆ ก็พออยู่ไป ทั้งเรา ทั้งเขา อยู่กันได้ทั้งคู่ พึ่งพาอาศัยกัน”
17
มีอะไรอยากเรียกร้องกับผู้บริหารประเทศ ?
“ปัญหาเยอะนะ แต่จะเรียกร้องอะไร บางทีมันไม่อยากพูด คนอื่นเขาก็พูดเยอะแล้ว ทุกคนรู้ว่าโควิด เศรษฐกิจข้าวของแพง มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว หลังๆ ยิ่งแย่ลง แย่เยอะ ค้าขายไม่ดี คนไม่ออกบ้าน เงินไม่สะพัดเหมือนเมื่อก่อนที่ขายอะไรก็ได้ เดี๋ยวนี้นั่งรอไปเถอะ”
18
“ก่อนวันหวยออก คนจะเงียบ” แพรวพราวสังเกต “หลังวันหวยออกก็เงียบ”
อ้าว ก็แปลว่าเงียบทุกวัน ?
“ไม่ขนาดนั้น แต่สองสามวันช่วงหวยออกจะเงียบเป็นพิเศษ คงลุ้นหวยอยู่บ้านมั้ง”
ซื้อหวยกับเขาบ้างมั้ย ?
“งวดละใบสองใบ ไม่ทุ่ม ไม่คิดอะไรมาก เพราะซื้อแล้วไม่ถูก แค่เผื่อๆ ไว้ แต่ไม่เคยถูก ไม่มีดวงทางนี้ คนเรามันดวงใครดวงมันนะพี่”
19
ถามอีกที ในใจของคนที่อยู่กับการทำความสะอาดส้วม ชีวิตที่ต้องอยู่กับสิ่งปฏิกูล ของเน่าเสีย ลึกๆ แล้วรู้สึกยังไง ?
“ธรรมดา ไม่มีอะไร อย่างเมื่อก่อนตาป่วย เราดูแล เช็ดตัวเช็ดก้น ทำได้ ไม่ขยะแขยง ที่นี่ เมื่อก่อนมีคนชอบมาทิ้งระเบิดไว้ข้างหลังส้วม เราเจอ ก็ไปเก็บ ไม่ได้แบบว่า.. โหย สกปรก ขยะแขยง เราแค่หาไม้ หากล่องกระดาษรอง ห้องน้ำ เราก็ใช้ไม้ ไม่ได้ใช้มือ มันมีอุปกรณ์ช่วย แม่ทำไว้ยาวๆ ไม่ต้องก้ม ไม่ปวดหลัง เดี๋ยวนี้ไม่มีคนมาถ่ายเรี่ยราดข้างนอก เมื่อก่อนเจอบ่อยมาก เดี๋ยวนี้ดี ไม่ค่อยมี ถ้ามี ก็เก็บ เพราะกลิ่นโชย คือเป็นงานของเรา ไม่รังเกียจ ทำไปเหมือนเราทำที่บ้าน”
แต่นี่มันไม่ใช่บ้าน นี่มันของเสียคนอื่น ?
“ถือว่าเป็นอาชีพของเรา ต้องทำให้ได้” แพรวพราวลุกขึ้นไปปิดน้ำ น้ำไหลมาสักพักแล้ว และคงจะเริ่มล้น
“มันชินแล้วด้วยมั้ง เราทำทุกวัน และไม่ได้ล้วง ไม่ได้จับ เวลาทำเรามีเครื่องไม้เครื่องมือช่วย”
ไม่ได้เป็นทุกข์เลยกับเรื่องพวกนี้ ?
“ปกติ, เฉยๆ มาก ทำได้หมด ถึงจะเป็นคนป่วย ต้องล้างก้น เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ทำได้นะ ไม่รังเกียจหรืออะไร ที่เคยบอกไงว่าฝันอยากเป็นหมอ เพราะเห็นเขาทำ เห็นเขาช่วยชีวิตคนแล้วเราอยากช่วย แต่เราไปไม่ถึงฝั่งฝัน เราทำได้แค่นี้”
รู้สึกว่าพอใจ หรือภาคภูมิใจในงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้มั้ย ?
“พอใจนะ ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจ ไม่ขยะแขยง เอาว่าเราทำได้ มันเป็นงานสุจริต อิสระ ไม่มีเจ้านาย เราเป็นนายตัวเอง เหมือนงานแม่บ้าน เขาก็ทำแบบนี้ แค่แม่บ้านไปทำตามบ้านคนอื่น มีเจ้านาย แต่เราไม่มี”
20
เมื่อวานวันหวยออก เดี๋ยวบ่ายๆ วันนี้ผมจะลองแวะไปตลาด ดูผู้คนว่ามีกี่มากน้อย เงียบเหงาจริงหรือไม่จริง สิ่งที่พอจะเดาได้คือไม่ว่าฝนตก แดดออก ดวงดีหรือยังไม่มีดวง วันแล้ววันเล่า ผู้หญิงชื่อ แพรวพราว วิไลเลิศ นั่งอยู่ตรงนั้น ขึ้นป้ายว่ารับเงินสดสามบาท แลกกับบางกิจกรรมที่ทำให้คนพ้นทุกข์.
เรื่องและภาพ: วรพจน์ พันธุ์พงศ์