the letter
the letter

ความเปลี่ยนแปลงแม่งพ่อทุกสถาบันของจริง

สวัสดีปีใหม่ครับ พี่หนึ่ง
.
ขอส่งต้นฉบับมาให้ตามสัญญา
เอาจริงๆ ผมควรจะส่งตั้งแต่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นปี — นึกภาพหนุ่มหล่อหน้าหนวดเพิ่งอาบน้ำตัวหอมๆ นุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว นั่งเขียนงานอยู่หน้าคอมพ์ในบ่ายวันหยุด แดดอุ่นสาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลมเย็นระรื่น ไอ้จอห์นนอนบนเตียงจ้องมองนกร้องเพลงอยู่บนต้นไม้นอกระเบียง
สำนวน รงค์ วงษ์สวรรค์ คงพูดว่า “แม่งโคตรบรมสุข HA-HA”
.
แต่ในความจริงมันไม่เป็นแบบนั้นไง ชีวิตช่วงเดือนสุดท้ายของผมแม่งโคตรยุ่งเลย เพิ่งย้ายงานใหม่ได้เดือนเศษ ต้องสรุปสารพัดโปรเจกต์ของปีนี้ วางแผนทิศทางงานใหม่ในปีหน้า ต้องอพยพข้าวของพะรุงพะรังย้ายคอนโดฯ จากย่านพระรามเก้าไปอยู่แถวซอยอารีย์ ราคาแพงสัส แต่ก็จำเป็น เพราะมีแมวพิการที่ต้องบีบฉี่บีบขี้ทุกแปดชั่วโมง การเช่าคอนโดฯ อยู่ ทั้งที่มีบ้านของตัวเองอยู่ในเมืองเดียวกันนี่มันช่างบัดซบสิ้นดี
.
ไม่นับงานเลี้ยงฉลองที่ไม่มีวันจบสิ้น ตั้งแต่กรุงเทพฯ เข้าสู่ฤดูหนาว นิสัยเสียของผมมันก็กระโดดโลดเต้นออกมาโดยอัตโนมัติ นั่นคือเห็นอากาศดีแล้วอดใจไม่ไหว อยากเมา อยากไปนั่งแฮงค์เอาท์ กระดกเบียร์เย็นเฉียบอึกใหญ่ แกล้มยำปลาหมึกปลาร้าญี่ปุ่น ตบตูดด้วยบุหรี่เมนทอล พ่นควันหนาประหนึ่งหายใจเป็นไอหนาว สะใจชิบหายเลยว่ะ
.
สองเดือนสุดท้ายของปี ผมกลับมาแดกเหล้าแดกเบียร์สัปดาห์ละสองสามหน ไหนจะต้องเข้าสังคมทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานใหม่ ไหนจะอัพเดตชีวิตกับเพื่อนร่วมงานเก่า ไหนจะงานเลี้ยงบริษัท ไหนจะปาร์ตี้เพื่อนมัธยมฯ ไหนจะวงปิ้งย่างเพื่อนมหาลัย ไหนจะ… แหม เหงาจัง สักหน่อยดีกว่าคืนนี้ ฯลฯ สุดท้ายก็อย่างที่เห็น กว่าจะเขียนต้นฉบับตามที่รับปากไว้ก็ล่วงเลยเข้าปีใหม่ไปเสียแล้ว ชีวิตแม่งไม่แน่นอนอะเนอะ จะกะเกณฑ์อะไรบางทีมันก็ไม่เป็นไปอย่างที่วางไว้หรอก
.
พูดถึงคำว่า ‘ชีวิตคือความไม่แน่นอน’ เราคงได้ยินคำนี้มาตลอดชีวิต ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น เห็นโลกมามาก เจอคนมาเยอะ ยิ่งเข้าใจลึกซึ้งว่าประโยคนี้มัน ‘จริงแท้’ แค่ไหน โดยเฉพาะปี 2021 ดูเหมือนจะยิ่งชัดกว่าช่วงเวลาใดในชีวิต
ผมเองแม้จะอายุเพิ่ง 37 ปี แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ชีวิตก็เจอกับความเปลี่ยนแปลงฉับพลันหลายครั้ง ลิ้มรสคำว่าความไม่แน่นอนมาอย่างถึงอกถึงใจ มันเขย่ากระโหลกโยกคลอนกระดูกทุกท่อน สั่นสะเทือนไปถึงรากเหง้าจิตวิญญาณ
.
ห้าปีที่ผ่านมาชีวิตถูกเหวี่ยงซ้ายทีขวาที มีขึ้นมีลง แตกดับ เกิดใหม่ ตั้งแต่ลาออกจากงานมั่นคง ก่อนจะเห็นหนังสือพิมพ์ที่เคยทำปิดตัวลง เพื่อนร่วมงานตกงานกันนับร้อย ได้ไปเรียนเมืองนอก พ่อตายกะทันหัน ได้สัมผัสชีวิตฟรีแลนซ์ที่ลุ่มๆ ดอนๆ เลิกกับแฟนที่คบมาเจ็ดปี ได้ออกพ็อกเก็ตบุ๊กของตัวเอง ได้กลับมาทำงานประจำที่สำนักพิมพ์ยิปซี ได้รับโอกาสสำคัญให้เป็นบรรณาธิการบริหารครั้งแรกในช่วงโควิดระบาด เห็นคนหนุ่มสาวถูกจับเข้าคุกเป็นว่าเล่น เห็นคนใกล้ตัวตกงาน ธุรกิจเจ๊ง ป่วยซึมเศร้า ย้ายประเทศหนี จนถึงฆ่าตัวตาย
.
ย้อนกลับไปในปี 2016 ผมลาออกจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ที่ทำมาสิบปีเต็ม บทจะออกก็ออกแม่งดื้อๆ เลย ตอนนั้นรู้สึกว่าหมดไฟ แต่สมัยนี้มีคนตั้งชื่อให้เท่ๆ แล้วว่า เบิร์นเอาท์ มาจากการทำอะไรรูทีน ซ้ำๆ วนๆ ในวิถีชีวิตแบบเดิมก็เลยลาออกดีกว่า ปรากฏว่าออกได้ไม่ถึงสองปี บริษัทที่เคยคิดว่ามั่นคงก็พังครืนภายในชั่วข้ามเดือน คนตกงานเกือบสองร้อย บางคนยังหนุ่มยังสาว มีฝีมือ ปรับตัวไว ก็ได้ไปต่อ หลายคนอายุมาก เงินเดือนสูง ก็อาจหางานยากหน่อย บางคนผันตัวไปเป็นพีอาร์ รับจ้างฟรีแลนซ์ บางคนตัดสินใจย้ายไปทำอาชีพอื่นเลย เช่น ขายของออนไลน์ ทำไร่ทำสวน ขณะที่อีกบางคนปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงมาตลอด ไม่ปรับตัวในตอนที่ยังมีโอกาส ทำงานเช้าชามเย็นชาม แล้วฝันลมๆ แล้งๆ ว่าจะอยู่ที่นี่จนถึงอายุหกสิบ รับเงินสำรองเลี้ยงชีพก้อนโตไปใช้ชีวิตเรียบง่ายในวัยเกษียณ — นาทีที่รู้ข่าว หัวใจคงสลาย ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันบ้างแล้ว
.
ยิ่งเห็นการล้มหายตายจากของหนังสือพิมพ์ นิตยสารหลายหัว เห็นนักข่าวนักเขียนหลายคนถูกเลย์ออฟ ถูกบีบออก แม้กระทั่งถูก ดิสรัป จากระบบการทำงานแบบใหม่ที่ทำให้พวกเขา ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป ต่างคนต่างกระจัดกระจายกันไปตามยถากรรม ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของวิชาชีพนี้
.
อาชีพสื่อในปัจจุบัน ผมมองว่าเหนื่อยสุดๆ เหนื่อยยิ่งกว่ายุคก่อน เพราะเป็นอาชีพที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่ตลอดเวลา และต้องปรับให้ไวด้วยนะ ต้องอัพสกิล รีสกิลใหม่ทุกปี สมัยก่อนนักข่าวคนหนึ่งเขียนข่าวได้ ก็มักถูกเรียกร้องให้เขียนสกู๊ป ต่อมาก็เขียนบทวิเคราะห์ เก่งกว่านั้นก็อาจมีคอลัมน์ประจำของตัวเอง เขียนบทความแสดงความคิดเห็น พอยุควิดีโอมาแรง นักข่าวคนเดิมก็ต้องขยับขึ้นมาเขียนสคริปต์ ทำคลิปวิดีโอ พอเทคโนโลยีใหม่เข้ามา มีพอดคาสต์ก็ต้องฝึกเป็นโฮสต์ มีคลับเฮาส์ก็ต้องโมเดอร์เรท มีม็อบก็ต้องออกไปไลฟ์สด ทั้งหมดที่พูดมานี่คือคนคนเดียวนะครับ ไอ้เหี้ย เก่งอย่างกับซูเปอร์แมน
.
มองในแง่หนึ่งมันสร้างโอกาสให้ตัวเองได้เก่งขึ้น ครบเครื่องขึ้น ก้าวไปสู่การเป็นสุดยอดนักข่าวที่เป็นที่ต้องการของทุกสังกัด คนประเภทนี้มีทางเลือกในการรับงานมากกว่าคนอื่น เพราะทำได้สารพัด เขียนก็ได้ ทำวิดีโอก็ได้ พูดก็เก่ง ดำเนินรายการก็เป็น วันไหนตกงาน วงการฟรีแลนซ์มีที่ทางให้คนเหล่านี้เสมอ ยิ่งถ้ามีคอนเน็กชั่น รู้จักคนเยอะ ยิ่งมีโอกาสได้งานสูง
.
แต่อีกแง่หนึ่งมันคือความโหดร้ายของอุตสาหกรรมสื่อ คือมึงคาดหวังให้คนคนหนึ่งทำเป็นทุกอย่าง แต่เงินเดือนไม่เคยคุ้มค่าเลย เด็กจบใหม่สมัยนี้บางที่ยังสตาร์ทที่หนึ่งหมื่นห้าพันบาทไม่ต่างจากสิบปีก่อน และแทบไม่มีโอกาสได้ขยับขึ้นเลยด้วยซ้ำเพราะภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ สวัสดิการก็มีประกันกลุ่มของโรงพยาบาลเอกชน บางที่ดีหน่อยอาจมีโบนัส มีค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ เผลอๆ มีโน้ตบุ๊ก มีไอโฟนให้ทำงาน มีวันหยุดและวันลาที่เป็นธรรม เวลาทำงานก็ยืดหยุ่น ไม่ต้องเข้าออฟฟิศสแกนนิ้ว ขณะที่บางแห่งเข้าขั้นโรงงานนรก กดขี่เอาเปรียบพนักงานทุกทาง ไม่มีสวัสดิการอะไรเลยนอกจากประกันสังคม กดเงินเดือนเด็กจบใหม่แบนเป็นขี้ แต่ใช้งานเยี่ยงทาส เปลี่ยนชื่อเท่ๆ เป็น ‘คอนเทนต์ครีเอเตอร์’ แต่ความหมายแท้จริงคือมึงต้องทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีเบี้ยเลี้ยง อุปกรณ์จำเป็นในการทำงานมาซัพพอร์ตอย่างที่ควรจะได้
.
พูดตรงๆ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะพาตัวเองโลดแล่นอยู่ในวงการนี้ได้อีกนานเท่าไร เส้นทางการทำงานจะไปสิ้นสุดตรงจุดไหน สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้วนะพี่ อายุ 37 นี่ถือว่าแก่แล้ว แค่อายุ 25 บางทีแม่งเรียกซีเนียร์แล้วอ่ะ โหดสัส เพิ่งทำงานได้สามปีเอง ซีเนียร์เหี้ยอะไรวะ เทคโนโลยีสมัยใหม่และเทรนด์วงการสื่อมันไปเร็วเกินกว่าที่เราคิดมาก เร็วจนน่าขนลุก เร็วชนิดที่ว่าเผลอหยุดพักร้อน งดเล่นโซเชียลสักเดือน พี่อาจพลาดอะไรไปเยอะเลย แต่จากที่อยู่วงการนี้มาสิบเจ็ดปี โชคดีที่บวกลบคูณหารแล้วผมยังมีความสุขอยู่นะ ไม่ได้พูดเอาหล่อ
.
สมัยก่อนตอนเป็นนักข่าวจูเนียร์ ความสุขคือการได้ลงพื้นที่ ลุยไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ คุยกับผู้คน ได้คิดประเด็นมันส์ๆ เขียนออกมาให้ดี ผลงานเราได้การยอมรับจากคนอ่าน ก็ภูมิใจ มีกำลังใจ พอมาสมัยนี้ระดับซีเนียร์แล้ว จากออกไปลุยข้างนอก ต้องกลายมาเป็นคนอยู่เบื้องหลัง วางแผน สั่งการ คุมทีม สนับสนุนให้น้องๆ มากกว่าทำเอง เป้าหมายความสำเร็จคนละแบบเลย ความชื่นใจก็คนละแบบด้วย
.
สมัยก่อนแค่เขียนดี คนอ่านชม ก็เปิดเหล้าฉลองแล้ว ยิ่งคนพูดถึงเราเยอะๆ งานเราถูกส่งต่อ ประเด็นที่เขียนถูกนำไปแก้ไขปัญหา ช่วยคนที่เดือดร้อนได้ มันยิ่งมีความสุขบอกไม่ถูก มันอิ่มใจ มีไฟ อยากทำงานดีๆ ต่อไปเรื่อยๆ อยากช่วยคนอีกเยอะๆ แต่สมัยนี้เปลี่ยนมาเป็นชี้แนะ แชร์ประสบการณ์ สอนงาน กระตุ้นให้น้องๆ ในทีมได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ ทำออกมาให้ดี ได้เห็นเขาเก่งขึ้น ภูมิใจกับงานที่ตัวเองทำ ชื่นใจโคตรๆ เลย

ผมพูดเหมือนคนแก่เลยว่ะ

 

the letter

 

กลับมาเรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต

.

“เดียร์มีความฝัน มีเป้าหมายชีวิตยังไงบ้าง?” เป็นคำถามของพี่ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อสองสามเดือนก่อน
.
บอกตรงๆ ว่า เจอคำถามนี้ก็ทำเลิกลั่ก สตันท์ไปสองวิฯ เหมือนกัน จำได้ว่าไม่ได้ตอบด้วยถ้อยคำสวยหรูยิ่งใหญ่อะไร เหมือนจะตอบสั้นๆ ด้วยซ้ำว่า — อยากทำงานในแวดวงสื่อที่ตัวเองรัก ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ทำงานออกมาให้ดี อะไรทำนองนี้ ไม่มีวรรคทอง ไม่มีโควทเด็ดอะไรทั้งนั้น
.
คำถามนั้นทำให้ผมกลับมาพิจารณาตัวเองเหมือนกันนะว่า ทำไมกูถึงตอบยาวกว่านี้ไม่ได้วะ ?
ถ้ามาถามตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย วัยยี่สิบต้น ช่วงที่ฝันใหญ่ ไฟแรง แพสชั่นพลุ่งพล่าน ก็คงจะตอบอย่างชัดเจนว่า อยากเป็นนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ อยากเดินทาง สัมภาษณ์คน แล้วเอามาเขียนบอกเล่า ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ให้สังคมได้รับรู้ ความฝันอีกอย่างคือผมอยากมีพ็อกเก็ตบุ๊กของตัวเอง นักข่าวที่เขียนหนังสือได้ด้วยมันคงเท่น่าดู
.
เวลาผ่านไป สิบเจ็ดปีในวงการสื่อ ไปมาแม่งเกือบหมดทุกแขนง ไม่ว่าจะนิตยสาร หนังสือพิมพ์ ทีวี ฟรีแลนซ์ สำนักพิมพ์ สื่อออนไลน์ จนกระทั่งคอนเทนต์ โพรไวเดอร์ แพลตฟอร์ม เหมือนตอนนี้ รางวัลจากการทำข่าวก็เคยได้ พ็อกเก็ตบุ๊กที่เคยอยากมี ก็มีแล้ว ถึงแม้จะเล่มเดียวก็เถอะ
ผมเลยไม่รู้ว่าจะตอบคำถามข้างต้นอย่างไร ในเมื่อความฝัน เป้าหมายที่เราเคยอยากมี อยากได้ อยากเป็น เราก็ทำมันได้แล้ว และบางสิ่งก็ยังคงทำมันอยู่ทุกวันนี้ด้วย บางทีก็สับสนเหมือนกันนะ เหี้ย กูกระจอกปะวะ ทำไมไม่มีเป้าหมายชีวิตยิ่งใหญ่ เท่ๆ คูลๆ เหมือนเวลาอ่านบทสัมภาษณ์คนดัง กูดูเป็นคนห่วยไหมวะที่ไม่ได้วางแผนชีวิตที่ชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราวอย่างคนอื่นเขา
.
ยิ่งเมื่อชีวิตเจอกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เจอกับความไม่แน่นอนมาหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ผมตาสว่าง ทำให้ผมปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนความคิดที่มีต่อคำว่า ‘ความมั่นคง’ กับ ‘ความไม่แน่นอน’ ใหม่หมดเลย
.
ผมว่าความมั่นคงแม่งไม่มีจริงว่ะ ทั้งบริษัทที่เราทำงานให้ วงการที่เราอยู่ แม้กระทั่งความสัมพันธ์ส่วนตัว ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ทั้งนั้น มันแปรเปลี่ยน กลายพันธุ์ หรือพังทลายได้ทุกเมื่อ ความมั่นคงเดียวที่พอจะควบคุมได้คือตัวเองล้วนๆ รักษาทรงดีๆ มีสติ มั่นใจและชัดเจนในตัวเอง ไม่หวั่นไหวแกว่งไกวง่ายๆ ถ้าทำได้ ชีวิตก็คงจะไม่สะบักสะบอมมากนัก สิ่งใดพินาศชิบหาย สิ่งใดพังทลาย เราก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ ยังก้าวเดินต่อไปในแบบของเรา แม้บางครั้งข้างในจะกระอักเลือดบ้างก็เถอะ
.
ความไม่แน่นอนนี่ยิ่งโคตรชัดเลยในปีนี้ ดูง่ายๆ อาชีพที่รายได้งดงามน่าอิจฉา นักบิน แอร์โฮสเตส ไกด์ โรงแรม ร้านอาหาร ผับบาร์ ค้าขายส่งออก ตายเรียบ ตกสวรรค์กันหมด แตกยับไม่มีชิ้นดี และบางทีก็ไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ด้วย เพราะไม่ใช่แค่บริษัทที่ล้ม แต่มันพังไปทั้งวงการ เพื่อนผมหลายคนจากเงินเดือนหลักแสนเหลือเดือนละไม่กี่พัน ตอนนี้โบกมือลาไปอยู่ต่างประเทศเรียบร้อย บางคนเปลี่ยนอาชีพไปค้าขายเล็กๆน้อยๆ พอประทังชีวิต มองแค่วันต่อวัน อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้อีกต่อไป บางคนขายบ้าน ขายรถหรู ขายทรัพย์สมบัติเพื่อตั้งตัวใหม่ เพื่อนผมบางคนเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าจับเงินสัปดาห์ละเป็นแสน วันนี้เจ๊งวอดวายกลายเป็นคนติดเหล้า เที่ยวขอยืมเงินเขาไปทั่ว อีกหลายคนเครียดจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องหาหมอ กินยา เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาเต็มรูปแบบ
.
บางทีก็แอบคิดนะ ในเมื่อสังคมเราเป็นแบบนี้ โรคระบาดทำลายทุกอย่าง รัฐบาลก็เหี้ยจนไม่รู้จะเหี้ยยังไงแล้ว เหี้ยทุกภาคส่วน ระบอบปรสิตที่กัดกินเงินภาษีพวกเรา อยู่สุขสบายฟุ้งเฟ้อลอยตัวอยู่เหนือคนอื่น เศรษฐกิจนับวันก็มีแต่แย่ลง ร่ำรวยกันแค่ไม่กี่เจ้า ราชการก็โกงกินกันจนเน่าเฟะ มีเหี้ยอะไรดีบ้างวะประเทศส้นตีนนี่ พรุ่งนี้จะเกิดห่าเหวอะไรอีกก็ไม่รู้ คาดหวังอะไรไม่ได้เลยกับรัฐบาลเหี้ยนี่ เดี๋ยวเกิดโอไมครอนลง ล็อกดาวน์ซ้ำอีก คราวนี้ไม่รู้จะบรรลัยอีกแค่ไหน
.
คงเพราะชีวิตต้องอยู่กับอะไรแบบนี้มั้ง มันเลยทำให้ผมไม่กล้าคิดวางแผนใหญ่ ยาว และไกลเกิน ตั้งปณิธานเยอะแยะมากมาย จะทำได้ครบหรือเปล่าเถอะ ผมเลยเอาง่ายๆ สั้นๆ แต่สำคัญจริงๆ ดีกว่า อยู่บ้านกับครอบครัว เล่นกับแมว อ่านหนังสือ ดูหนัง ออกกำลังกาย เจอเพื่อนเจอฝูงที่สนิทๆ กัน กินอะไรอร่อยๆ จบวันแล้วยิ้มได้ ไร้เรื่องปวดหัวให้เก็บมาคิดนี่ก็คือชีวิตที่ดีแล้วนะ แต่มันทำไม่ได้ทุกวันไง
.
วันนี้ยังมีเรี่ยวแรง มีพลัง ก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ ทำให้ดี เป็นงานที่มีประโยชน์ ให้คุณค่าอะไรบางอย่างกับผู้คน กับสังคมบ้าง ไม่ใหญ่โตถึงขนาดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในคืนเดียว ผมเชื่อว่าการค่อยๆ ทำไปอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนไม่สลักสำคัญนี่แหละ มันง่ายกว่า ไม่เครียด ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป เดี๋ยวมันก็พาเราไปสู่เป้าหมายได้เหมือนกัน
.
เมื่อมีคนถามถึงเป้าหมายชีวิต ตอนนี้ในหัวผมก็มีแต่เป้าหมายระยะสั้นทำนองนี้แหละ แค่นี้แม่งก็ยากแล้วปะวะ เวลาของชีวิตคนเราผ่านไปเร็วเหลือเกิน ไอ้ที่พูดๆ ไปนี่ จะทำได้ครบหรือเปล่า ดีไม่ดีตายห่าก่อนอีก
.
ปีใหม่ 2022 ผมเฝ้ามองเขาสรุปชีวิตกันน่าสนใจทั้งนั้น แม้จะแอบเห็นใจบ้างเพราะทุกคนแม่งเจอเรื่องเหี้ยเหมือนหมดในปีที่ผ่านมา แต่ก็ดีใจที่ยังเห็นทุกคนให้กำลังใจกัน ยังมีฝัน ยังมีหวัง ยังมีใจวางแผนว่าปีหน้าอยากจะทำอะไรให้สำเร็จสักอย่าง
.
ปีนี้ ความตั้งใจเดียวของผมคือ อยากจะกลับมาเขียนหนังสือจริงๆ จังๆ อีกครั้งครับ อย่างที่เคยพูดกับพี่บ่อยๆ ถึงแม้จะออกมาแค่เล่มเดียว แต่ผมก็ไม่มีวันลืมประสบการณ์การมีพ็อกเก็ตบุ๊กของตัวเองได้เลย จำได้ไม่ลืมกับความสุขตอนนั่งเขียนหนังสือติดต่อกันหลายชั่วโมง ยังจำอารมณ์ไหลลื่นติดลมจนลืมกินข้าวกินปลา ยังจำความทุกข์ทรมานตอนขัดเกลาแก้ไขต้นฉบับ ตื่นเต้นลุ้นระทึกกับการได้เห็นเลย์เอาท์ ภาพประกอบ ภาพปก ม็อกอัพที่โรงพิมพ์ และแน่นอนที่สุด วันที่หนังสือเราออกจากโรงพิมพ์ วันที่กองหนังสือสูงท่วมหัวส่งมาถึงบ้าน วันที่นั่งแพ็กหนังสือส่งไปรษณีย์ วันที่เดินไปเห็นหนังสือตัวเองวางอยู่บนชั้นในร้านหนังสือ วันที่ได้อ่านคนเขียนรีวิวถึงหนังสือเรา วันที่นักอ่านเดินมาบอกว่าหนังสือเรามีคุณค่ากับเขาแค่ไหน แม้จะเพียงเศษเสี้ยวแต่ก็เป็นความภาคภูมิใจเล็กๆ ของคนเขียนหนังสือ ตรงนั้นแหละคือความสุขไม่กี่อย่างในชีวิตที่ผมคิดถึงเสมอ
.
เอาล่ะ เพ้อเจ้อมาพอแล้ว ได้เวลาร่ำลา
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังอีกครั้งนะครับ ขอให้มีความสุขง่ายๆ กับเรื่องเล็กๆ ที่พบเจอในชีวิตทุกๆ วัน ขอให้ nan dialogue ค่อยๆ เติบโตไปอย่างช้าๆ ทว่ามั่นคงแข็งแรง ขอให้การงานที่ทำสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นตามที่ตั้งใจไว้ แม้จะเป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจะไม่สลักสำคัญก็ตาม แต่ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งดีเสมอแหละครับ ความเปลี่ยนแปลงนี่แม่งพ่อทุกสถาบันของจริง สถาบันที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าแค่ไหนก็หนีความเปลี่ยนแปลงไม่พ้นหรอก —- เดี๋ยวคอยดูเลย
.
ไว้เจอกัน ถ้าไม่ที่สวนไผ่รำเพยก็ร้านเหล้าเงียบๆ ที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพฯ อยากชนแก้วและอัพเดตชีวิตปีที่ผ่านมา แค่ปีเดียวมีเรื่องเกิดขึ้นเยอะชิบหาย อยากพาพี่ไปกินร้านครกไม้ไทยลาวด้วย พูดกันมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที
.
หวังว่าปีนี้คงไม่เหี้ยกว่าปีที่ผ่านมา หวังว่าคนจะหูตาสว่างกันมากขึ้น เพดานที่ถูกขยับไปเมื่อปีก่อนจะถูกดันขึ้นไปอีก หวังว่ากาลเวลาจะกัดกร่อนระบอบล้าหลังให้ผุพังเร็วๆ หวังว่ามันจะต้องจบลงสักวัน และเมื่อถึงวันนั้นหวังว่าผมกับพี่ยังมีชีวิตอยู่ทันได้เห็น Cheers ล่วงหน้า !
.
เดียร์
4 มกราคม 2022
คอนโดเหงาๆ ในซอยสายลม

 

 

nandialogue

 


เกี่ยวกับนักเขียน : เดียร์ – อินทรชัย พาณิชกุล อดีตคนข่าวหนังสือพิมพ์ เจ้าของหนังสือสารคดี ‘อย่าด่าอินเดีย‘ ปัจจุบันเป็นบรรณาธิการบริหาร อยู่ที่สำนักสื่อออนไลน์ BrandThink

You may also like...