the letter
the letter

หน้าด้าน เหี้ย กูจะอ้วกกับพวกมึงแล้วว่ะ

สวัสดีปีใหม่ครับพี่หนึ่ง

วันที่ผมเริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้ก็เป็นวันหยุดวันแรกของโรงพิมพ์พอดี หยุดก็ดีเหมือนกันครับ ตั้งแต่กลับมาที่กรุงเทพฯ และเริ่มเข้าไปดูอะไรๆ ที่โรงพิมพ์ก็เหมือนกับว่าผมวิ่งอยู่ตลอดเวลาเลยครับ อะไรๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องเร่งด่วน สมควรที่จะเข้าไปดูแลแก้ไขทั้งนั้น

เหมือนนักเตะที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาท้ายเกมครับ แรงยังเหลือมากกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ ที่เล่นมาแทบทั้งเกม เราเห็นช่องว่างตรงไหนก็อยากแทรกตัวเข้าไปทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับทีมขึ้นมาบ้าง วิ่งไปก็ด่าไป หาว่าใครต่อใครไม่ได้เรื่อง หรืออะไรๆ ก็ไม่เข้าท่า ทั้งที่จริงแล้ว หาสำเหนียกไม่ว่าเขาวิ่งกันมาทั้งเกมแล้ว จะให้เอาเรี่ยวแรงจากไหนมาวิ่งอย่างคนที่เพิ่งลงสนามมาใหม่  ถ้าโรงพิมพ์ยังเปิดทำการอยู่ ผมก็คงไปทำอย่างที่ทำมาตลอดสิบกว่าวันมานี่ และคงคิดไม่ได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นหยุดบ้างก็ดีเหมือนกัน 

 

the letter

 

วันสุดท้ายของโรงพิมพ์ เป็นไปอย่างที่วันสุดท้ายที่ดีควรจะเป็น ผมเริ่มต้นจากการพูดคุยกับทีมงานเข้าเล่ม อธิบายถึงความสำคัญของพวกเขา แสดงให้เห็นว่าการทำงานที่ดีจะส่งผลดีต่อทุกคนอย่างไร เราคุยกันในออฟฟิศ ยืนคุยกันสักสิบนาทีได้ คุยให้คนอื่นๆ ในแผนกอื่นได้ยินด้วย ผมพูดไปถึงงานที่เพิ่งทำไปสดๆ ร้อนๆ ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดและทางที่ควรแก้ไขในอนาคต พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวพวกเขาเอง น่าจะทำให้ผู้คนเห็นภาพและเข้าใจมันมากกว่า เสร็จแล้วค่อยตบด้วยเรื่องที่เป็นนามธรรมอย่างการอุปมาและเปรียบเทียบ ไม่ได้พูดอย่างที่นุ่มนวลและสุขุมอย่างที่มาตรฐานของการเป็นผู้นำที่ดีในองค์กรหรอกครับ หากแต่พูดตรงๆ หยาบคายบ้าง ตำหนิก็ด้วยอยากให้ทุกคนเข้าใจจริงๆ ว่าความผิดพลาดเล็กๆ จะนำไปสู่ความยุ่งยากอันใหญ่หลวงได้อย่างไร

ส่วนก่อนหน้าและหลังจากนั้นก็คือการเดินไปมาขึ้นลงระหว่างออฟฟิศ ไลน์ผลิต และพื้นที่สูบบุหรี่ ทำโรงพิมพ์นี่โคตรเปลืองบุหรี่เลย เอะอะก็สูบ ความเครียดมันขึ้นง่ายเวลาเราเห็นอะไรไม่เป็นไปอย่างที่ใจร้อนๆ ของเราคิดว่าควรจะเป็น

ใกล้ๆ เที่ยงก็เริ่มกรุ๊ปทัวร์แรกมาที่โรงพิมพ์ ครอบครัวชาวอิสราเอลที่เป็นเพื่อนบ้านตอนที่อยู่พะงันมาเยี่ยมที่กรุงเทพฯ ครับ เราเลยชวนให้พวกเขามาพักที่บ้าน และพาไปดูว่าจ๊อกมีอาชีพทำโรงพิมพ์ มีโรงงานอยู่จริงๆ ไม่ใช่คนค้ายาหรือวาร์ลอร์ดที่แอบไปหลบพักพิงที่เกาะพะงัน 555

ตกบ่าย มีแขกวีไอพีอีกกลุ่มมาเยี่ยมเยียน มองซิเออร์หนึ่งกำชับและให้คอนแทคมา ผมจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะครับ
พวกเขาเป็นอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร พูดคุยเรื่องสิ่งพิมพ์ได้สักพักหนึ่ง ก็เฉไฉไปคุยเรื่องการเมือง ชีวิต ความหวังและชะตากรรมของมนุษย์ในประเทศสารขันธ์ ดูน้องๆ จะสนใจซะมากกว่าเรื่องงานพิมพ์ คุยแล้วก็เกิดทั้งความปิติที่เห็นพลังของคนรุ่นใหม่ และขณะเดียวกันเกิดความเศร้าที่พวกเขาต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมได้แต่บอกให้พวกเขาจริงใจกับตัวเองที่สุด รวมทั้งให้อภัยกับตัวเองบ่อยๆ ด้วย

พูดกับเพื่อนรุ่นน้องเหล่านี้ว่า ที่ผมหนีไปพะงันก็เพราะเบื่อเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ประมาณว่า กูจะอ้วกกับพวกมึงแล้วว่ะ หน้าด้าน เหี้ย และหยาบเหลือเกิน ถ้าพวกมึงเล่นกันอย่างนี้ กูหนีไปเล่นบอลสนามอื่นดีกว่า ว่าแล้วก็ชักชวนน้องๆ ให้ไปพะงัน หางานพื้นฐานทำตามรีสอร์ทก็ได้ การได้ไปอยู่เกาะพะงันอาจทำให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายในต้นทุนที่ไม่สูงนัก

น้องคนหนึ่งในกลุ่มที่มาบอกกับผมว่าเธอตามอ่านจดหมายจากพะงัน และชอบมันอยู่บ้าง ผมกล่าวขอบคุณและยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับบรรณาธิการหนึ่ง ที่เอ่ยปากชวนและแนะนำว่าควรจะเขียนแบบไหน อีกทั้งยังขัดเกลาจดหมายอย่างแผ่วเบาและเพิ่มน้ำหนักด้วยการเขียนตอบให้กับจดหมายจากพะงันอย่างสม่ำเสมอ

เขินไม่น้อยนะครับเวลามีคนมาชมอะไรอย่างนี้ เวลามีคนหนึ่งคนมาชมต่อหน้ามันดูเหมือนจะมีค่าประมาณ 50 ไลค์ในเฟซบุ๊ก

คุยกับนักศึกษาและร่ำลากันเรียบร้อยก็กลับไปนั่งในออฟฟิสอีกสักพัก นั่งฟังแผนการของสต๊าฟหลายคนว่าจะทำอะไรในช่วงหยุดปีใหม่ สักพักก็ขอตัวกลับก่อน ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยคำสวัสดีปีใหม่ และคำขออภัยที่ผมได้ล่วงเกินทางวาจามาตลอดสัปดาห์ ขออภัย แต่ไม่รับปากว่าจะแก้ไขให้ได้ เพราะตระหนักอยู่ว่าเรื่องพูดจากวนประสาท ระคายบาทาผู้อื่นนี่อาจเป็นสันดานของผมไปแล้ว (ยิ้มขอความเห็นใจแบบที่หวังว่าทุกคนจะเข้าใจและไม่ถือสา)

 

the letter

 

ลงมาจากออฟฟิศ ผมเดินไปกอด เอ่ยคำขอบคุณและสวัสดีปีใหม่กับเพื่อนร่วมงานอีกจำนวนหนึ่ง เดินใกล้จะออกจากประตูโรงงาน เหลือบไปเห็นคนงานแผนกเข้าเล่มปกแข็งเปิดเพลง เต้นรำ จับฉลากแลกของขวัญกันอย่างครื้นเครง ก็ยิ้มให้พวกเขาด้วยความยินดี

กลับมาถึงบ้านไม่นานเท่าไรก็ออกไปกินเลี้ยงปีใหม่กับครอบครัวใหญ่ นอกจากกินดื่มแล้ว อาโกวผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการนัดพบปะของครอบครัวเสมอๆ ยังจัดให้พวกเราเล่นเกมสานสัมพันธ์ก่อนมื้ออาหารอีกด้วย เล่นไปก็อายเด็กเสิร์ฟไป น้องมันคงนึกขำที่เห็นคนอายุร่วมสี่สิบจนถึงแปดสิบมาเล่นเกมอะไรกันแบบนี้ในร้านอาหาร

ใกล้ๆ เลิก มีการแจกของขวัญให้เด็กๆ มีเรื่องตลก แต่ก็น่าคิดก็คือ ศิลป์ เจ้าลูกชายสุดที่รักของผม ดีใจกับของขวัญที่ได้รับจากแม่อย่างออกนอกหน้า ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงการ์ดโปเกม่อนสองสำรับราคาไม่กี่ร้อย เทียบมูลค่าไม่ได้กับเลโก้กล่องใหญ่ที่เขาได้จากอาเตี๋ย ผมกับน้องชายอดหัวเราะไม่ได้กับสีหน้าท่าทางอันเปี่ยมไปด้วยความสุขของศิลป์จากของชิ้นเล็กๆ ชิ้นนี้

รอยยิ้มลูกชายย้ำเตือนผมอีกครั้งถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรียกว่าคุณค่า กับสิ่งที่เรียกว่าราคา 

ถึงตอนร่ำลาจากปาร์ตี้ ผมเดินไปกอดกับเกือบทุกคนในครอบครัว ก่อนเดินมายืนสูบบุหรี่รอคนอื่นๆ ที่รถ น้องชายผมคนหนึ่ง (คนที่ผมไม่ได้กอด) เดินมาแตะไหล่แล้วเอ่ยคำขอโทษ อะไรที่มันตึงๆ ในหัวใจตลอดสองสัปดาห์มานี้คลี่คลายไปเยอะเลยครับ 

มานั่งทบทวนดู ก็พบว่าผมกลับมาจากเกาะด้วยความกังวล และใช้เวลาที่โรงพิมพ์ด้วยความพลุ่งพล่าน ด้วยอยากจะปรับปรุงให้หลายสิ่งดีขึ้นในทันที สภาพจิตใจแบบนี้เป็นเชื้อไฟที่ง่ายต่อการทะเลาะกับคนในองค์กรและครอบครัวอยู่ไม่น้อย

ถึงผมจะกลับมาทำงานได้ไม่กี่วัน แต่คิดแล้ว หยุดบ้างก็อาจจะดีกว่า ! 

ขับรถกลับมาถึงบ้าน ผมเดินไปหาน้องชาย แล้วกอดมัน

No more bad feelings! คือคำที่ผมพูดระหว่างกอด

 

รักเสมอ
จ๊อก

 

nandialogue

 

ตอบ จ๊อก

ปีใหม่ของคุณเต็มไปด้วยสีสันดีจริง มีชีวิตชีวา ทั้งที่โรงพิมพ์และงานเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ของเราที่น่าน ปิดต้นฉบับจบ (เขียนถึงเพลงของ Boy Imagine’s ชื่อ ‘ฮ่องเต้ : ผู้โดดเดี่ยว’ เราคัดสรรให้เป็นเพลงยอดเยี่ยมของปี ไม่แน่ใจว่าคุณเคยฟังงานของนักร้องนักดนตรีเชียงใหม่คนนี้มาบ้างแล้วหรือเปล่า ถ้ายัง ก็ขออนุญาตนำเสนอ) ชวนน้องๆ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่งกินเบียร์บนสะพาน รอดูแสงสุดท้ายริมแม่น้ำน่าน อารมณ์ราวๆ เด็กแว้นนิดนึง เอาใจคนไกลบ้าน มองฟ้า มองน้ำกันสักชั่วโมงก็กลับมาปาร์ตี้ที่บ้าน คำว่าปาร์ตี้ที่ว่าประกอบด้วยสมาชิก 6 ชีวิต (ทีมน่านไดอะล็อกและลูกค้าเกสต์เฮาส์ เพื่อนใหม่) อาหารบนโต๊ะมีลูกชิ้นลวก ไก่ทอด หมี่แห้ง ลาบหมู (ลาบอุบล เจ้าที่เราเคยสัมภาษณ์) และบทกวีบรรจุขวดอีกจำนวนหนึ่ง เปิดเพลงฟังและคุยกันแบบไม่ต้องเกร็งเรื่องเสียงดังนัก เพราะวันนี้ปีใหม่ จัดอยู่ในหมวดหมู่อนุโลม ถ้าช่วงปกติชุมชนที่นี่จะซีเรียสเรื่องเสียง โดยเฉพาะหลังสี่ทุ่ม)

ปาร์ตี้ไม่ใช่วงเสวนาวิชาการ แต่ก็มีบางช่วงที่เราแลกเปลี่ยนกันเข้มข้นถึงคำว่าโอกาสและการพัฒนาตัวเอง สืบเนื่องจากวันก่อนเพิ่งไปคุยกับเด็กๆ ที่อำเภอเวียงสา ครูและแบบเรียนไม่ตอบโจทย์ยุคสมัย อาหารกลางวันไม่เพียงพอ พ่อแม่ติดเหล้าและหย่าร้าง ฝ่ายเราก็ไม่เท่าไรหรอก เพราะพอรู้อยู่ เห็นอยู่ แต่เพื่อนใหม่ซึ่งเรียนอินเตอร์มาทั้งชีวิต และไปต่อปริญญาตรี-โท ในยุโรป เขามองเห็นความแตกต่างมาก พูดง่ายๆ ว่าอดีตของตัวเองกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันช่างห่างไกลกันคนละขอบฟ้า และน่าเศร้า ทั้งสิ้นทั้งปวงล้วนไม่ใช่ความผิดของเด็กๆ เลย เท่าที่คุยและเห็นศักยภาพ ถ้าเด็กๆ เหล่านี้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่ดีกว่านี้ ครอบครัวอบอุ่นกว่านี้ พวกเขาย่อมเติบโตไปเป็นประชากรที่มีชีวิตดีงามตามความใฝ่ฝัน สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันบอกเราว่ายาก กระทั่งแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะโดนมรสุมใหญ่หลายลูกกดทับไว้โดยรัฐไทย ทั้ง propaganda และ priority ที่คล้ายมองคนไม่เป็นคน สรุปก็คือถ้าใครจะรอด แปลว่าเป็นความสามารถส่วนบุคคล กระเสือกกระสนดิ้นรนกันเอาเอง เพราะระบบมันไม่ทำหน้าที่ อยู่กันไปแบบตามมีตามเกิด

ฟังคุณชี้ชวนนักศึกษาให้ลองไปหางานทำที่พะงัน เราเห็นด้วยมากๆ คุณดูสิ ไม่ว่าเจเนอเรชั่นเด็กประถมฯ หรือมัธยมฯ มหาลัย ที่เหมือนกันมากคือระบบของรัฐไทยมันไม่ฟังก์ชันเลย ถ้ามองเห็นสิ่งนี้ ตระหนักถึงสัจจะที่เรากำลังคุยกัน ทางเดียวที่จะรอดคือต้องดิ้นรนเอาเองเท่านั้น ไม่ใช่รอโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยหยิบยื่น ปลูกสร้างโอกาส เพราะมันไม่เคยมี

“กูจะอ้วกกับพวกมึงแล้วว่ะ หน้าด้าน เหี้ย และหยาบเหลือเกิน”

เราโคตรมีความรู้สึกเดียวกันกับคุณ

“ถ้าพวกมึงเล่นกันอย่างนี้ กูหนีไปเล่นบอลสนามอื่นดีกว่า”

นี่ก็ใช่ และเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเราถึงมาน่าน

“การได้ไปอยู่เกาะพะงันอาจทำให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายในต้นทุนที่ไม่สูงนัก”
อันนี้นี่คือที่สุดเลย ‘ภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายในต้นทุนที่ไม่สูงนัก’ เป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวไทยต้องตะเกียกตะกายสร้างโอกาสให้ตัวเอง โดยส่วนตัว เราเห็นว่ามีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้คนธรรมดา ลูกหลานชาวบ้าน คนที่ไม่มีโอกาสเรียนอินเตอร์ ไม่เคยไปต่างประเทศ ขยับสถานะขึ้นไปทัดเทียมหรือใกล้เคียงผู้คนของโลกระดับนานาชาติ อย่างน้อยที่สุดคือมันเป็นประตู เป็นแบบเบ้าที่จะพามนุษย์ให้หลุดพ้นจากภาวะสัตว์ที่ถูกรัฐจองจำ

กับน้องๆ ชาวเด็กแว้นที่ไปกินเบียร์บนสะพานเมื่อวาน เราชวนคุยเรื่องพวกนี้บ่อย พยายามชี้ชวนให้เห็นถึงโอกาสและการพัฒนาตัวเอง ข้อดีบางด้านของน่านคือเรามีห้องสมุด คาเฟ่ และเกสต์เฮาส์ อยู่ในบริเวณเดียวกัน ถ้าขาดขาหนึ่งขาใดไป มันทำให้ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือเวลาไม่เอื้ออนุญาต พอไม่มีเวลา หรือเวลาน้อย ช่องทางของสัมพันธภาพและความรู้ก็ไม่มีรูระบาย ภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายก็ไม่มีที่อยู่ นอกจากห้องสมุด คาเฟ่ และเกสต์เฮาส์ ที่น่านตอนนี้มี nan dialogue คือมันเป็นสำนักสื่อสารสัมภาษณ์ที่เล็กปะติ๋ว เพิ่งมีอายุแค่ห้าเดือน แต่ต่อให้เล็กและมาใหม่ การมีองค์กรสื่อมันสร้างโอกาสแห่งความรู้ วงจรชีวิตของมันทำให้พบเจอผู้คนที่หลากหลาย ทุกสัปดาห์เราได้ฟังเรื่องราวความคิดใหม่ๆ ฟังและพูดคุยอย่างลงลึก

เอาง่ายๆ เลย กับเพื่อนใหม่ลูกค้าเกสต์เฮาส์ที่นั่งเมาอยู่ด้วยกันตอนนี้ ถ้าที่น่านไม่มีสามสี่ปัจจัยดังกล่าว เราก็นึกไม่ออกว่ามิตรภาพนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเกิดขึ้นเพราะเราเรียนฝรั่งเศส ฉะนั้น ไม่ว่าแก๊งเด็กแว้นจะเบื่อหน่ายแค่ไหน ฝ่ายเราก็ยังย้ำคิดย้ำทำและพูดซ้ำๆ อยู่นี่แหละว่าต้นทุนที่ไม่สูงนักกองวางอยู่ตรงหน้าแล้ว สหายเอ๋ย เจ้าจงโอบกอดมัน.

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...