สวัสดีปีใหม่ครับพี่หนึ่ง
วันที่ผมเริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้
เหมือนนักเตะที่ถูกเปลี่ยนตั
วันสุดท้ายของโรงพิมพ์ เป็นไปอย่างที่วันสุดท้ายที่ดี
ส่วนก่อนหน้าและหลังจากนั้นก็คื
ใกล้ๆ เที่ยงก็เริ่มกรุ๊ปทัวร์
ตกบ่าย มีแขกวีไอพีอีกกลุ่มมาเยี่ยมเยี
พวกเขาเป็นอาจารย์และนักศึ
พูดกับเพื่อนรุ่นน้องเหล่านี้ว่
น้องคนหนึ่งในกลุ่มที่มาบอกกั
เขินไม่น้อยนะครับเวลามี
คุยกับนักศึกษาและร่ำลากันเรี
ลงมาจากออฟฟิศ ผมเดินไปกอด เอ่ยคำขอบคุณและสวัสดีปีใหม่กั
กลับมาถึงบ้านไม่นานเท่าไรก็
ใกล้ๆ เลิก มีการแจกของขวัญให้เด็
รอยยิ้มลูกชายย้ำเตือนผมอี
ถึงตอนร่ำลาจากปาร์ตี้ ผมเดินไปกอดกับเกือบทุ
มานั่งทบทวนดู ก็พบว่าผมกลับมาจากเกาะด้
ถึงผมจะกลับมาทำงานได้ไม่กี่วัน แต่คิดแล้ว หยุดบ้างก็อาจจะดีกว่า !
ขับรถกลับมาถึงบ้าน ผมเดินไปหาน้องชาย แล้วกอดมัน
No more bad feelings! คือคำที่ผมพูดระหว่างกอด
รักเสมอ
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
ปีใหม่ของคุณเต็มไปด้วยสีสันดีจริง มีชีวิตชีวา ทั้งที่โรงพิมพ์และงานเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ของเราที่น่าน ปิดต้นฉบับจบ (เขียนถึงเพลงของ Boy Imagine’s ชื่อ ‘ฮ่องเต้ : ผู้โดดเดี่ยว’ เราคัดสรรให้เป็นเพลงยอดเยี่ยมของปี ไม่แน่ใจว่าคุณเคยฟังงานของนักร้องนักดนตรีเชียงใหม่คนนี้มาบ้างแล้วหรือเปล่า ถ้ายัง ก็ขออนุญาตนำเสนอ) ชวนน้องๆ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่งกินเบียร์บนสะพาน รอดูแสงสุดท้ายริมแม่น้ำน่าน อารมณ์ราวๆ เด็กแว้นนิดนึง เอาใจคนไกลบ้าน มองฟ้า มองน้ำกันสักชั่วโมงก็กลับมาปาร์ตี้ที่บ้าน คำว่าปาร์ตี้ที่ว่าประกอบด้วยสมาชิก 6 ชีวิต (ทีมน่านไดอะล็อกและลูกค้าเกสต์เฮาส์ เพื่อนใหม่) อาหารบนโต๊ะมีลูกชิ้นลวก ไก่ทอด หมี่แห้ง ลาบหมู (ลาบอุบล เจ้าที่เราเคยสัมภาษณ์) และบทกวีบรรจุขวดอีกจำนวนหนึ่ง เปิดเพลงฟังและคุยกันแบบไม่ต้องเกร็งเรื่องเสียงดังนัก เพราะวันนี้ปีใหม่ จัดอยู่ในหมวดหมู่อนุโลม ถ้าช่วงปกติชุมชนที่นี่จะซีเรียสเรื่องเสียง โดยเฉพาะหลังสี่ทุ่ม)
ปาร์ตี้ไม่ใช่วงเสวนาวิชาการ แต่ก็มีบางช่วงที่เราแลกเปลี่ยนกันเข้มข้นถึงคำว่าโอกาสและการพัฒนาตัวเอง สืบเนื่องจากวันก่อนเพิ่งไปคุยกับเด็กๆ ที่อำเภอเวียงสา ครูและแบบเรียนไม่ตอบโจทย์ยุคสมัย อาหารกลางวันไม่เพียงพอ พ่อแม่ติดเหล้าและหย่าร้าง ฝ่ายเราก็ไม่เท่าไรหรอก เพราะพอรู้อยู่ เห็นอยู่ แต่เพื่อนใหม่ซึ่งเรียนอินเตอร์มาทั้งชีวิต และไปต่อปริญญาตรี-โท ในยุโรป เขามองเห็นความแตกต่างมาก พูดง่ายๆ ว่าอดีตของตัวเองกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันช่างห่างไกลกันคนละขอบฟ้า และน่าเศร้า ทั้งสิ้นทั้งปวงล้วนไม่ใช่ความผิดของเด็กๆ เลย เท่าที่คุยและเห็นศักยภาพ ถ้าเด็กๆ เหล่านี้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่ดีกว่านี้ ครอบครัวอบอุ่นกว่านี้ พวกเขาย่อมเติบโตไปเป็นประชากรที่มีชีวิตดีงามตามความใฝ่ฝัน สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันบอกเราว่ายาก กระทั่งแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะโดนมรสุมใหญ่หลายลูกกดทับไว้โดยรัฐไทย ทั้ง propaganda และ priority ที่คล้ายมองคนไม่เป็นคน สรุปก็คือถ้าใครจะรอด แปลว่าเป็นความสามารถส่วนบุคคล กระเสือกกระสนดิ้นรนกันเอาเอง เพราะระบบมันไม่ทำหน้าที่ อยู่กันไปแบบตามมีตามเกิด
ฟังคุณชี้ชวนนักศึกษาให้ลองไปหางานทำที่พะงัน เราเห็นด้วยมากๆ คุณดูสิ ไม่ว่าเจเนอเรชั่นเด็กประถมฯ หรือมัธยมฯ มหาลัย ที่เหมือนกันมากคือระบบของรัฐไทยมันไม่ฟังก์ชันเลย ถ้ามองเห็นสิ่งนี้ ตระหนักถึงสัจจะที่เรากำลังคุยกัน ทางเดียวที่จะรอดคือต้องดิ้นรนเอาเองเท่านั้น ไม่ใช่รอโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยหยิบยื่น ปลูกสร้างโอกาส เพราะมันไม่เคยมี
“กูจะอ้วกกับพวกมึงแล้วว่ะ หน้าด้าน เหี้ย และหยาบเหลือเกิน”
เราโคตรมีความรู้สึกเดียวกันกับคุณ
“ถ้าพวกมึงเล่นกันอย่างนี้ กูหนีไปเล่นบอลสนามอื่นดีกว่า”
นี่ก็ใช่ และเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเราถึงมาน่าน
“การได้ไปอยู่เกาะพะงันอาจทำให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายในต้นทุนที่ไม่สูงนัก”
อันนี้นี่คือที่สุดเลย ‘ภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายในต้นทุนที่ไม่สูงนัก’ เป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวไทยต้องตะเกียกตะกายสร้างโอกาสให้ตัวเอง โดยส่วนตัว เราเห็นว่ามีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้คนธรรมดา ลูกหลานชาวบ้าน คนที่ไม่มีโอกาสเรียนอินเตอร์ ไม่เคยไปต่างประเทศ ขยับสถานะขึ้นไปทัดเทียมหรือใกล้เคียงผู้คนของโลกระดับนานาชาติ อย่างน้อยที่สุดคือมันเป็นประตู เป็นแบบเบ้าที่จะพามนุษย์ให้หลุดพ้นจากภาวะสัตว์ที่ถูกรัฐจองจำ
กับน้องๆ ชาวเด็กแว้นที่ไปกินเบียร์บนสะพานเมื่อวาน เราชวนคุยเรื่องพวกนี้บ่อย พยายามชี้ชวนให้เห็นถึงโอกาสและการพัฒนาตัวเอง ข้อดีบางด้านของน่านคือเรามีห้องสมุด คาเฟ่ และเกสต์เฮาส์ อยู่ในบริเวณเดียวกัน ถ้าขาดขาหนึ่งขาใดไป มันทำให้ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือเวลาไม่เอื้ออนุญาต พอไม่มีเวลา หรือเวลาน้อย ช่องทางของสัมพันธภาพและความรู้ก็ไม่มีรูระบาย ภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลายก็ไม่มีที่อยู่ นอกจากห้องสมุด คาเฟ่ และเกสต์เฮาส์ ที่น่านตอนนี้มี nan dialogue คือมันเป็นสำนักสื่อสารสัมภาษณ์ที่เล็กปะติ๋ว เพิ่งมีอายุแค่ห้าเดือน แต่ต่อให้เล็กและมาใหม่ การมีองค์กรสื่อมันสร้างโอกาสแห่งความรู้ วงจรชีวิตของมันทำให้พบเจอผู้คนที่หลากหลาย ทุกสัปดาห์เราได้ฟังเรื่องราวความคิดใหม่ๆ ฟังและพูดคุยอย่างลงลึก
เอาง่ายๆ เลย กับเพื่อนใหม่ลูกค้าเกสต์เฮาส์ที่นั่งเมาอยู่ด้วยกันตอนนี้ ถ้าที่น่านไม่มีสามสี่ปัจจัยดังกล่าว เราก็นึกไม่ออกว่ามิตรภาพนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเกิดขึ้นเพราะเราเรียนฝรั่งเศส ฉะนั้น ไม่ว่าแก๊งเด็กแว้นจะเบื่อหน่ายแค่ไหน ฝ่ายเราก็ยังย้ำคิดย้ำทำและพูดซ้ำๆ อยู่นี่แหละว่าต้นทุนที่ไม่สูงนักกองวางอยู่ตรงหน้าแล้ว สหายเอ๋ย เจ้าจงโอบกอดมัน.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน