-เพลงแห่งปี-
ไม่ได้ทำโพลล์ ไม่อ้างอิงสำนักหรือหลักการใด ว่ากันที่ความรักและรสนิยมของผมคนเดียว รางวัลเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี 2021 ผมขอมอบให้กับบทเพลงชื่อ ‘ฮ่องเต้ : ผู้โดดเดี่ยว’ ของ Boy Imagine’s นักร้อง นักดนตรีชาวเชียงใหม่ซึ่งมีผลงานเผยแพร่ทางยูทูบมาแล้วเกือบๆ สี่สิบเพลง (แต่งเอง ร้องเอง) ยอดวิวหลายต่อหลายเพลงว่ากันที่หลักล้าน
‘ฮ่องเต้ : ผู้โดดเดี่ยว’ เป็นเพลงลำดับที่ 36 ปล่อยออกมาได้ราวสองเดือน ยอดเพิ่งแตะแสนหน่อยๆ นับว่าน้อย เมื่อเทียบกับผลงานก่อนหน้า แต่เป็นความน้อยที่มีน้ำหนัก แนวโน้มดี เหตุผลที่เดินช้า ไม่ป๊อปเท่าเพลงอื่นก็ด้วยเนื้อหาและความยาว 12 นาที
ความน้อยที่ว่า ความช้าที่มองผิวเผิน แท้จริงจึงไม่น้อย ไม่ช้า หากมันคืออำนาจยิ่งใหญ่ลี้ลับที่ค่อยๆ ทำงาน และแสดงตัว
คุณฟังไม่ผิดหรอก สำหรับผม นอกจากปลดปล่อยบันเทิง เพลงนี้มันสะท้อนความพยายามในการใช้อำนาจของศิลปิน เขารู้ เขามี และเขาใช้มัน สิ่งนั้นคืออะไร เรามาลองพินิจพิจารณาคำร้องไปด้วยกัน
-ฮ่องเต้ : ผู้โดดเดี่ยว-
ณ ท้องพระโรงอันเงียบงัน แสงจันทร์กระจ่างฟ้า ณ บัดนี้ลมยังคงโชยมิคลาย คล้ายดังไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะเมื่อย้อนมองชีวิตที่ผ่านมา ข้าสูญเสียสิ่งใดไป ข้าได้สิ่งใดมา
ตัวข้าเกิดมาในราชวัง ผู้สืบทอดบัลลังก์ก็คือข้า ดุจดังนกที่บินบนฟ้า ผู้ใดเข้าใจ ทรัพย์สมบัติข้าทับซ้อน ญาติพี่น้องถักทอโดยอำนาจ ข้าเกิดมาในบรรยากาศเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดให้เชื่อใจที่พอไว้ใจได้จริง เพราะในความเป็นจริงนี่คือเกมชิงบัลลังก์ ถ้าหากข้าจะมีความรักอย่างพี่น้องก็ไม่อาจมีคำว่าอำนาจ ถ้าคิดจะมีอำนาจ พี่น้องเครือญาติก็ไม่อาจจะมี เพราะว่าจุดที่สูงสุดนั้นมันมีได้เพียงผู้เดียว คือคนผู้เดียวดาย พี่น้องไม่อาจไว้ใจ ลูกและเมียไม่อาจไว้ใจ ตำแหน่งที่ข้ายืนไม่อาจไว้ใจผู้ใด
เพราะคนตายที่ข้าเคยเห็นอาจมากกว่าคนเป็นที่พวกเจ้าเคยเจอ คนบนบัลลังก์ไม่อาจแม้เพียงจะเผลอ วาจาเพียงไม่กี่คำ พฤติกรรมเพียงก้าวล่วง หัวคนนับไม่ถ้วนก็ต้องร่วงลงดิน กฎหมายไม่สำคัญ ถ้าสถานะมันนั้นคุกคามข้า ข้าให้จับคนหรือยังมากลัว ข้อหาไม่มี
ไม่ต้องมีศักดิ์รี ไม่ต้องมีหลักการ ใครทำงานตามนี้ได้ให้เป็นใหญ่ รอบตัวข้าพอเนิ่นนานไปมันจึงห้อมล้อมไปด้วยคนแบบนี้
บนจุดที่สูงสุดที่ข้ายืน ข้าเหมือนหลงลืมอะไรไปบางอย่าง บนเกมช่วงชิงอันยาวนานเกมนี้ ทั้งเล่ห์ร้ายกลอุบาย เบื้องบนยังไง เบื้องล่างก็ยังงั้น เจ้านายร้ายยังไง ลูกน้องก็เหมือนกัน ความเลวร้ายจึงทับถมดั่งสั่งสมเชื้อเพลิงไว้มากมาย ฟางเส้นสุดท้ายคือประกายไฟเพียงวูบเดียว จนไฟลุกโชน ลมพัดแรง การเปลี่ยนแปลงจึงสั่นไหว จนสายลมได้เปลี่ยนทิศไปมันก็ไม่มีใคร และเมื่อผลประโยชน์ได้เปลี่ยนทิศไปมันก็ไม่มีใครสนใจข้าอีก โอ.. สนใจข้าอีกเลย
สายลมแผ่วพลิ้วปลิวระคนแสงจันทร์กระจ่าง วันเวลาอันงดงามได้จบลงแล้ว ไม่มีอีกแล้วที่เคยหมอบคลานประจบเอาใจ ไม่มีอีกแล้วที่เคยเอ่ยคำจงรักภักดี มันไม่มีอีกแล้ว ข้าเพิ่งเข้าใจ ข้าเพิ่งเข้าใจ ที่เขาก้มหัวให้ไม่ใช่ฉัน ข้าเพิ่งเข้าใจที่เขาเคยเอาใจมิใช่เรา วันวานที่ท้องพระโรงยังแซ่ซ้องคำจงรักภักดี แต่จงรักภักดี คำคำนี้ไม่อาจกล่าวในยามสงบ จงรักภักดี คำคำนี้พิสูจน์ยามแผ่นดินเปลี่ยนเจ้าของ และยามที่ท้องพระโรงว่างเปล่าไม่มีผู้ใดเหลือ เพราะว่าใครจะมาขึ้นเป็นใหญ่ นายใหม่เป็นใครไม่สำคัญ ขอเพียงประกันตำแหน่งพวกเขานั้นอยู่ที่เดิม เพราะพวกเขาแค่เพียงออกความเห็น ส่วนข้านั้นเป็นคนเดิมพัน ถ้าชนะมาพวกเขาก็รับรางวัล ถ้าพ่ายพ้ขึ้นมา พวกเขาก็เปลี่ยนนาย โอ.. พวกเขาก็แค่เปลี่ยนนาย
เพราะว่าจุดที่สูงสุดนั้นมันมีแค่เพียงคนเดียว และเป็นคนเดียวที่ต้องจากไป ลูกน้องไม่ต้องไป ที่ปรึกษาก็ไม่ต้องไป คนที่จะต้องไปมีเพียงผู้เดียว
บนท้องพระโรงอันเงียบงัน ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่างฟ้า มันจึงมีข้าที่ยืนเดียวดายผู้เดียว สูงสุดที่ใฝ่ฝัน ทิวทัศน์บนนั้นมันงามจริงๆ หรือ คำตอบเป็นเช่นไรก็คงไม่สำคัญแล้ว ฟ้าใกล้จะสางแล้ว และนั่นคือเวลาที่ข้าต้องจาก ชะตากรรม บัลลังก์ คงยากจะเหนี่ยวรั้ง พออาคารใหญ่จะล้มลง เสาเพียงหนึ่งต้นไม่อาจค้ำ แต่ความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นนั้น มันเพราะใคร
เพราะว่าข้ากุมกำลังทหาร กุมทั้งกำลัง ทั้งอำนาจ แต่ความเปลี่ยนแปลงมันยังคงซัดสาดจนพังทะลาย หรือที่เปลี่ยนแปลงมันไม่ใช่กฎหมาย กุศโลบาย หรือยุทธภัณฑ์ อันความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นคือ คือใจคน คือคนปลายดอย คนป่าเขา คือชาวนา ข้าวกลางท้องนา มันคือนิสิตที่ท่องตำรา คือพ่อค้าแม่ค้าตามข้างถนน
หากว่าใจข้าพอจะมีพวกเขา ในใจพวกเขาคงพอจะมีข้า แต่กาลเวลานั้นได้ผ่านไปแล้ว ไม่หวนคืน
ข้ากวาดตามอง ณ ท้องพระโรงอันว่างเปล่า เหลียวมองดูทุกสิ่งที่เป็นของตัว โต๊ะไม้ บานประตู ที่ข้าเคยคุ้นตามาตั้งแต่เด็ก ราชบัลลังก์ ตราลัญชกร บัดนี้ถึงเวลาต้องเปลี่ยนเจ้าของ คมถ้อยคำแสนธรรมดาเริ่มชัดขึ้นมาให้ข้าได้เห็น ว่าตำแหน่งกษัตริย์นั้นผลัดกันเป็น ไม่มียกเว้น เป็นกฎเกณฑ์ธรรมดา พอข้ามองย้อนกาลเวลาน้ำตาก็ไหล
เพราะกว่าข้าจะรู้ตัวก็คือเมื่อถูกทิ้ง จึงได้พบความจริงในตอนสุดท้าย ว่าฮ่องเต้ในอีกความหมายคือผู้เดียวดาย สูงสุดในอีกความหมายคือผู้เดียวดาย คำว่าฮ่องเต้ในอีกความหมายคือผู้เดียวดายคนหนึ่ง คนหนึ่ง
-12 นาที-
สั้นมาก น้อยมาก เร็วมาก ถ้ามีเวลา 12 นาที อยู่กับคนที่เรารัก ยิ่งถ้าฝ่ายหนึ่งอยู่ในรั้วเรือนจำ ในโรงพยาบาล หรือชานชาลารถไฟ สนามบิน แต่ 12 นาที ในสถานะของเพลงเพลงหนึ่ง จะบอกว่าสั้นหรือเร็วคงไม่ได้ เพลงนี้ยาวแน่ๆ และที่ยาวกว่ามากคือเวลาแห่งการคิดการเขียนซึ่งบอยบอกผมว่าใช้เวลาทำงานประมาณหนึ่งปี โดยเบื้องหลังเพลงนี้มาจากการอ่าน อ่านมานับสิบปี และทิ้งช่วงมานานกระทั่งช่วงปีที่ผ่านมาย้อนรำลึกถึงสารเดิมในหนังสือ บวกกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จึงสร้างสรรค์บทเพลงนี้ขึ้น
-หนังสือเก่า-
บทอธิบายในยูทูบ ศิลปินเล่าว่าเขาประมวลมาจากหลากหลายเหตุการณ์ หลากหลายกรณี ผสมๆ กันมาเป็นเพลง
เช่น 1 กรณี จูอวิ่นเหวิน & จูตี้ (จากหนังสือย้อนอดีตราชวงศ์หมิง ,ตังเหนียนหมิงเย่ว์)
“แล้วพระองค์ก็ทรงทราบว่า
ที่พระองค์ทรงครองแผ่นดิน ที่แท้ก็แค่ผู้โดดเดี่ยวผู้หนึ่ง
วินาทีที่เริ่มประทับบนบัลลังก์ วินาทีนั้นก็ต้องเริ่มระวังทุกอย่าง
ขุนนาง ,ฟานอ๋อง ,พ่อแม่ ,พี่น้อง ,ลูกเมีย เพราะพระองค์คือเป้าหมายโจ่งแจ้ง
ที่ต้องรับแรงกดดันรอบทิศ เป็นผลิตผลหายาก และมีได้พระองค์เดียว
อาชีพฮ่องเต้โดยพื้นฐานจึงไม่อาจเป็นคนดี
ถ้าจะเป็นคนดีก็อย่าเป็นฮ่องเต้ จะเป็นฮ่องเต้ก็อย่าเป็นคนดี
เพื่อบัลลังก์ ,เพื่อชีวิตตนเองจึงจำเป็นต้องเรียนรู้กลเกมส์แห่งอำนาจ
ไม่ต้องพะวงว่าใครเป็นญาติ ต้องป่าเถื่อนยิ่งกว่าอันธพาล
ต้องถ่อยยิ่งกว่าคนถ่อย และจะเชื่อใครก็ไม่ได้
ดังนั้นการที่ภาษาจีนเรียกฮ่องเต้ว่า กูเจีย แปลว่า ผู้โดดเดี่ยว เหมาะสมที่สุด”
2 กรณีเสวียนอู่เหมิน – บนเส้นทางแห่งอำนาจ
พ่อแม่พี่น้องเป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่ง
การเป็นฮ่องเต้คือความจำเป็น สถานการณ์บีบเค้น
จะไม่เป็นก็ไม่ได้ จะเลิกเป็นก็ไม่ได้
(เส้นทางอำนาจของหลี่ซื่อหมิน สู่ ถังไท่จงฮ่องเต้)
3 กรณี อั้ยชิง เจี่ยวหรอ ฟู่อี้ – ในช่วงฝึกฝนเรียนรู้
เพื่อที่จะเป็น ” ประชาชน ” คนหนึ่งในยุคสังคมจีนใหม่
เขาเริ่มเรียนรู้ว่า รากฐานของจักรพรรดิ คือราษฎร
และความหมายที่แท้ของคำว่า ‘คน’
4 กรณี พระเจ้าธีบอ – จินตนาการตามความรู้สึก ณ ท้องพระโรงใหญ่
ในแสงจันทร์สุดท้าย ที่ฉายลงบนแผ่นดินใต้อำนาจของราชวงศ์คองบอง และจะมีสักกี่เพลงที่ผู้ประพันธ์เอ่ยนามหนังสืออ้างอิง คือ 1 ย้อนอดีตราชวงศ์หมิง โดย ตังเหนียนหมิงเย่ว์ (ชาญ ธนประกอบ แปล) 2 ตะวันลับแห่งต้าถัง โดย จ้าวอี้ (เรืองชัย รักศรีอักษร แปล) 3 มหาอาณาจักรฮั่น โดย ก่อศักดิ์ ชัยรัศมีศักดิ์ 4 รัฐศาสตร์ถังไท่จง โดย ก่อศักดิ์ ชัยรัศมีศักดิ์ 5 จากจักรพรรดิสู่สามัญชน โดย อั้ยชิง เจี่ยวหรอ ฟู่อี้ (ยุพเรศ วินัยธร แปล) 6 ราชันผู้พลัดแผ่นดินเมื่อพม่าเสียเมือง โดย Sudha Shah (สุภัตรา ภูมิประภาส แปล) 7 พม่าเสียเมือง โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
-บางคำ คุณคิดถึงใคร-
‘วาจาเพียงไม่กี่คำ พฤติกรรมเพียงก้าวล่วง หัวคนนับไม่ถ้วนจึงต้องร่วงลงดิน’
ยุติธรรมหรือเปล่า กับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นจริง ชอบธรรมแล้วใช่มั้ย กับกลไกในโลกประชาธิปไตย หลักสิทธิเสรีภาพ และ free speech
‘ไม่ต้องมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องมีหลักการ ใครทำงานตามนี้ได้ให้เป็นใหญ่’
เพลงว่าไว้แบบนี้ คุณเห็นใบหน้าใครลอยมา โค้งคารวะ หรืออยากถ่มถุยน้ำลายใส่
-ศิลปิน-
บอยบอกผมว่า สิ่งที่เขาพูดเขาเขียนยังน้อยกว่าสิ่งที่นิสิตนักศึกษาพูดอย่างเทียบเคียงกันไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงชะตากรรมที่คนหนุ่มสาว ‘ผู้พูดความจริง’ พบเผชิญอยู่ในเวลานี้ เราต่างอยู่ในวันเวลายากลำบาก
คำว่า ‘เซ็นเซอร์ตัวเอง’ ยังมีแน่นอน
บนแผ่นดินนี้ สิ่งที่คิดกับสิ่งที่สามารถพูดได้ยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กระนั้นก็ตาม ในฐานะศิลปิน ในฐานะคนในสังคมเดียวกัน บอยคิดว่าถึงเวลาสมควรพูดก็ต้องพูดอะไรออกมาบ้าง
-หลักการ-
เราน่าจะยอมรับร่วมกันถึงหลักการนี้ ‘อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย’
อืมม์ หรือว่าคุณไม่ยอมรับ นาฬิกาของคุณยังเดินไม่ถึงคำว่า ‘สมัยใหม่’ โลกทัศน์ยังอยู่ในยุคหมอบกราบตามขนบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ง่ายนักที่จะพูดคุยกัน และสงครามนี้ยังคงห่างไกลจากโต๊ะเจรจา
แต่ถ้าไม่, ปีเก่ารอยต่อปีใหม่ ผมเห็นว่าเป็นวันเวลาที่ดี ที่เราควรไตร่ตรองถึงอำนาจและขอบเขตพื้นที่ของมัน
-คำสอนบ้าบอ-
คำสอนบางชนิดทำให้คนโง่ เพลงก็ด้วย หนังสือก็ด้วย ฯลฯ ลองทบทวนดูสิว่าวัยเยาว์ของคุณโดนผู้ใหญ่ หรือผู้มาก่อนบอกสอนอะไรมา หลายๆ เพลงเชียร์ในมหาวิทยาลัย หลายๆ คำข่มขู่ที่คนอายุมากกว่าขีดกรอบสร้างกรงขัง พอกันที ถึงเวลาทำลายมันออกไปให้หมด
พอกันที กับสุ้มเสียงใจร้ายและไม่มีความหลากหลายแบบวิทยุยานเกราะ
-ฟังอีกครั้ง-
‘ไม่มีอีกแล้วที่เคยหมอบคลานประจบเอาใจ ไม่มีอีกแล้วที่เคยเอ่ยคำจงรักภักดี’
เพลงเพาะสร้างคนโง่ได้จริงๆ และบางเพลงก็ทำให้คนกะพริบตาถี่ๆ เริ่มทบทวน ตั้งคำถาม
มันอยู่ที่หัวใจของผู้ประพันธ์ มันอยู่ที่คุณภาพหูของผู้เสพผู้ฟัง เพลงมีอำนาจ ถ้าคนเขียนเพลงมีใจจะใช้อำนาจ แน่นอนว่าไม่มีใครในโลกปรารถนาจะบรรลุธรรมด้วยการฟังเพลง โดยตัวของมัน โดยรากฐานจุดกำเนิด เพลงคือความบันเทิงอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่าเพลงก็มีพลังอำนาจที่หมิ่นประมาทมิได้
Redemption Song, Get Up Stand Up, Blowing in the wind, Ohio, กลิ่นโคลนสาบควาย, แสงดาวแห่งศรัทธา, จากลานโพธิ์ถึงภูพาน, ประเทศกูมี ฯลฯ
เราพูดได้ล่ะหรือว่าเพลงเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อความบันเทิง ?
-บทเพลงของสามัญชน-
เพลงยอดเยี่ยมแห่งปี 2020 ผมยกให้กับงานชื่อ ‘อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้’ ของวงสามัญชน ทั้งเนื้อร้อง เมโลดี้ และอารมณ์เสียงที่ใส่มาในเพลง มันเล่าเรื่องยุคสมัยได้ครบถ้วนและทรงพลัง
ใช่, ไม่บันเทิงนักหรอก ลุกเต้นไม่ได้ ก็ในเมื่อยุคสมัยของเรามันมีมั้ยล่ะ ความรื่นรมย์ เบิกบาน และเรื่องน่าชื่นใจ
เช่นเดียวกับปีนี้ ทำไมนักร้องนักแต่งเพลงอย่าง Boy Imagine’s ซึ่งเริ่มต้นชีวิตอาร์ติสต์ในสายโรมานซ์ ถึงเขียนประวัติศาสตร์การเมืองหนักๆ ยาวๆ อย่าง ‘ฮ่องเต้ : ผู้โดดเดี่ยว’ คำตอบง่ายแสนง่าย ก็เพราะบ้านเมืองของเราเป็นแบบนี้ คนเขียนเพลงจะหนีไปไหนพ้น เบียร์ในแก้วอาจพาให้ใจล่องลอยไปไกล แต่คนหนุ่มสาวในคุกย่อมกระตุกเตือนให้เห็นและร่ำไห้กับด้านมืดของดวงจันทร์
-ของขวัญปีใหม่-
ตอนที่ ‘คณะนิติราษฎร์’ ยังเคลื่อนไหวทางความคิดอยู่ พวกเขาชูถ้อยคำนี้เป็นหลักการพื้นฐาน–‘อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย’ พยายามตอกย้ำให้สังคมของเราตระหนัก พูดซ้ำๆ ให้ประคองสถานะ เห็นสัจจะและจุดแข็งของระบอบใหม่
มันไม่ค่อยได้ผลเท่าไร ผมเห็นว่าอย่างนั้น แม้ในนามของคนเอาใจช่วย จำนวนนับฝ่ายประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจริง แต่อำนาจยังอยู่ในมือชนชั้นนำ ทหาร และศาล (กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ) ทางออก ผมมองไม่เห็นทางอื่น นอกจากช่วยกันยืนยันเขตพื้นที่อำนาจ บทบาทเจ้าของอำนาจ อย่างที่ชวนคุณคุยเรื่องเพลง เราคงเห็นไม่ต่างกันว่าแท้จริงอำนาจมีอยู่เสมอ ถ้าเราเห็น และใช้เป็น
สนามที่พ่ายแพ้ ก็รู้ และหาทางแก้เกม ปรับยุทธวิธี ส่งเสียง กระจายข่าวให้แพร่ลามลุกโชน
สนามที่ยังมีอำนาจเปี่ยมอยู่ก็ต้องรักษาไว้ และใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ออกแรง ช่วยกันส่งฮ่องเต้ไปสู่ความโดดเดี่ยวในเร็ววัน, ช่วยไม่ได้ ก็เขาทำตัวเช่นนั้น ปรารถนาเช่นนั้น บาดแผลที่เขาสร้างไว้มันช่างมากมายเต็มผืนแผ่นดิน
-ประชาชนไม่มีวันโดดเดี่ยว-
เราคงยังสู้รบกันไปเช่นนี้ ระหว่างชนชั้นนำและพวก กับประชาชน จนกว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (ซึ่งค่อยๆ เคลื่อนขยับอยู่ทุกนาที)
‘อันความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นคือใจคน’ บอยพูดไว้แบบนี้ในเพลง ผมอยากพูดเสริมว่าอำนาจการเปลี่ยนแปลงที่ว่าก็คือตัวเรา และหัวใจแห่งอำนาจก็คือความรู้
ทำได้สักกี่มากน้อยไม่รู้ และไม่มีราคาคุย สิ่งที่พูดกับคุณได้ nan dialogue พยายามเสมอที่จะทำสิ่งนั้น
ขอให้แข็งแรงและเบิกบานเสมอ เสมอ
สบายดีปีใหม่ครับ.
เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์