เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 เทศกาลบทกวี Nan Poesie ครั้งที่ 2 บทกวีของเด็กหญิงจากจังหวัดพัทลุง ถูกอ่านขึ้นท่ามกลางผู้คน ณ ห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ
“เขาจะชอบบอกว่าผู้หญิงก็เขียนได้เเค่กวีรัก เพ้อๆ หนูเลยตั้งคำถามว่า เขียนเรื่องรักๆ เลิกๆ ไม่ได้เหรอ มันด้อยค่ากว่ากวีการเมืองเหรอ เหมือนตัวเองบูชาความรักเป็นสิ่งสวยงาม เป็นอะไรซักอย่างในเชิงบวก ทำไมถึงมองว่ามันหน่อมแน้มวะ”
ขณะนั้น ‘นีน่า’ กฤษณา หรนจันทร์ กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปัจจุบันเธออายุ 17 ปี วัยเด็กเติบโตท่ามกลางสังคมมุสลิมที่เคร่งครัดในอำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง พ่อประกอบอาชีพเกษตรกร และแม่เป็นพยาบาล แต่ด้วยใกล้ชิดกับชุมชนชาวพุทธช่วงวัยประถมฯ เธอจึงศึกษาที่โรงเรียนวัดควนขี้แรดใกล้บ้าน พอขึ้นชั้นมัธยมฯ ย้ายไปสังกัดโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามที่นราธิวาส แต่ไม่นานนัก ความกดดันและภาวะซึมเศร้าก็รุมเร้าเล่นงาน ถึงกับอ่านหนังสือซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรักไม่ได้ จึงตัดสินใจดร็อปมาเรียนโรงเรียนศาสนวิทยามูลนิธิ เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เธอเริ่มเขียนบางอย่างที่หลายคนเรียกว่า ‘กลอนเปล่า’
เธอเล่าจุดเปลี่ยนสำคัญว่า ช่วงเล่นทวิตเตอร์ตั้งใจจะไปแชร์แฮชแท็กไอดอลเกาหลี แต่ไปพบกลอนเปล่าของ ‘กัญชญา’ จึงทักไปแลกเปลี่ยนสนทนา เขาแนะนำเธอให้ส่งงานมาเทศกาลบทกวีที่จังหวัดน่าน และเดือนที่ผ่านมาล่าสุดมีค่ายฝึกเขียน Nan Dialogue เธอจึงขึ้นเครื่องบินมาอีกครั้ง ในค่ำคืนหนึ่งระหว่างค่าย เธอแลกเปลี่ยนเรื่องการอ่านวรรณกรรมเจ้าชายน้อย มูราคามิ และงานชิ้นอื่นๆ กับผู้เข้าค่ายรุ่นพี่อย่างเข้มข้น บางคราวในความเงียบงัน บทกวีของเธอบอกเล่าและบันทึกความเป็นไปอยู่อย่างแผ่วเบา
“ในหมู่บ้านกลางหุบเขา
เด็กสาวเคลื่อนไหวต่อไป
แม้สายน้ำที่หลั่งไหลก็ไม่อาจหยุดยั้ง
อิสรภาพในการที่จะมีชีวิตอยู่ของเธอ
จักรยาน สานพานจักรเย็บผ้า
ไม้ตาหนา และผ้าขาวม้าของพ่อ
ทุกอย่างคงอยู่ ณ สภาพเดิม
ในความทรงจำของเธอ
ตู้หนังสือในห้องละหมาด
สันปกที่ลดหลั่น
และฝุ่นที่เกาะติดตามหน้ากระดาษ
เธอเดินจากมันมาไกลแสนไกล”
เริ่มมาสนใจอ่านหนังสือได้ยังไง
แม่ซื้อหนังสือเล่มแรกมาให้ เป็นวรรณกรรมเยาวชน ชาร์ล็อต แมงมุมเพื่อนรัก มันไม่ได้ใช้ภาษายากมาก ไม่ได้เข้าใจคำศัพท์ทุกคำ อ่านไปได้เรื่อยๆ ก็เริ่มชิน เพลิน เกิดอะไรขึ้นเป็นความประทับใจเวลาอ่านหนังสือ ตอน ป.2 ช่วงเดียวกัน เริ่มอ่านบทกวีของน้าชายที่เป็นนักเขียน เขาตีพิมพ์หนังสือ ด้วยความที่น้าชายอยู่ตรัง ช่วงมาเก็บข้อมูลเขียนหนังสือที่บ้านหนู มาใช้ชีวิต มาตัดยาง เหมือนเป็นคนที่นี่ ในหนังสือเล่มนั้นจำได้ว่าชื่อ ‘อาณานิคมของความเศร้า’ เป็นกลอนฉันทลักษณ์หลายบท แต่เป็นวิถีชีวิตใกล้บ้านหรือปมในครอบครัว แม่หนูเป็นไทยพุทธ พ่อเป็นมุสลิม ตอนที่แม่ออกมาจากบ้านคุณย่า เปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิม มีพูดเรื่องประชาธิปไตยบ้าง ดูเป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่รู้สึกว่าแปลกแยกมาก เริ่มชิน เริ่มอ่านหนังสือหลายเล่ม ป.3 อ่านนิยายแฟนตาซีเรื่อง Percy Jackson ที่บ้านญาติ สนุกมาก เลยมองการอ่านหนังสือเป็นเรื่องสนุก อยากที่จะอ่าน
อ่าน Harry Potter มั้ย
อ่านไม่จบ อ่านยาก เหมือนเป็นจังหวะเวลาชีวิตว่าเราจะไปสปาร์คจอยกับหนังสือเล่มไหน บางทีเล่มที่อาจจะดัง คนอ่านเยอะ เราอาจจะไม่ได้อ่าน เจอหนังสือไม่ดัง แต่ตรงไทป์เรา รู้สึกว่าต้องอ่านให้เยอะเท่าที่เป็นไปได้ ไม่มีทางจะรู้ว่าจะเจอหนังสือในกองดีๆ ที่ยังไม่ได้อ่านเยอะขนาดไหน
ทำไมถึงคิดว่าต้องอ่านเยอะ ในขณะที่สังคมไม่ได้สนับสนุนการอ่านหนังสือ
บอกเหตุผลชัดๆ ไม่ได้ รู้สึกว่าเป็นความสุขส่วนตัว อ่านสนุก มีคนบอกว่าอ่านหนังสือเหมือนเป็นอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากเป็น อ่านเล่มนี้อาจจะได้ไปอยู่อีกโลก อ่านเล่มนี้อาจจะได้มองอีกมุม เหมือนมันพร้อมจะโอบรับเราตลอด อยากอ่านเพราะมันประทับใจ รู้สึกบางเล่มที่ชอบมากๆ ไอ้เหี้ย ถ้ากูไม่ได้อ่าน แค่เห็นผ่านๆ แล้วไม่ได้อ่าน อาจไม่รู้ว่าจะชอบมันขนาดนี้ ไม่คิดว่ามันจะเป็นพาร์ทหนึ่งในชีวิต
มีคนแนะนำหนังสือให้อ่านหรือเปล่า
เริ่มมามีตอนเรียน ป.5 – ป.6 มีพี่ชายคนหนึ่งมาแนะนำให้อ่าน ‘เจ้าชายน้อย’ พักหลังเริ่มยุ่งขึ้น เคยอ่านหนังสือไม่ได้ไปสองปีเพราะเป็นซึมเศร้า มันเป็นภาวะที่ห่างหายไป ก่อนหน้านั้นอ่านบ่อย สามสี่เดือนอ่านเจ้าชายน้อย พี่ชายคนนั้นแนะนำให้อ่านทุกห้าปี ความหมายมันจะเปลี่ยนไปทุกห้าปี หลังจากนั้นอ่านแต่ไม่ได้นับเวลา มันมีมุมเล็กๆ ที่ครั้งแรกไม่ได้เห็น พอผ่านไปซักพัก ประโยคเล็กๆ ที่แทรกอยู่ เริ่มรีเลทบางอย่างกับความสัมพันธ์ในชีวิต เจอเพื่อนที่คล้ายความสัมพันธ์ของเจ้าชายน้อยกับดอกกุหลาบ เริ่มประมาณ ม.1 เป็นความสัมพันธ์ที่ Toxic
พี่ชายคนนี้เป็นใครหรือ ทำไมถึงรู้สึกมีอิทธิพลกับคุณมาก ?
เป็นญาติกัน เขาเคยไปเรียนต่อด้านวิศวกรที่ตุรกี แต่ตอนนี้ทำงานอยู่แคนาดา หนูแทนตัวเองเวลาคุยกับเขาว่าน้องกับบัง ห่างกันแปดปี เขาเกิดปี ’40 หนูเกิดปี ’48 เขาเป็นคนเก่ง หนูชอบคนเก่งนะ มีความชื่นชมบางอย่าง คนเก่งไม่สามารถเก่งได้ชั่วพริบตา บังเค้ามีน้องสาวชื่อกิ๊ฟ เป็นเด็กรุ่นหนู หนูมีน้องแท้ๆ ชื่อมะเหมี่ยว ก็เลยวัยไล่เลี่ยกัน เกิดปี 48-49-50 ไปมาหาสู่กัน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขามีพี่ชาย ไปบ้านเขาเห็นลูกบาสวางอยู่ เพิ่งมารู้จักตอนจะไปเรียนนราธิวาสนี่แหละ แม่พี่เค้าแนะนำด้วยความสังคมมุสลิม อนุรักษนิยมหน่อยๆ มีความเคร่ง คุณต้องไปเรียนสามจังหวัดนะ ต้องไปเรียนโรงเรียนที่ใส่ฮิญาบ คลุมผ้าคลุม อยู่ในสังคมที่เคร่งเรียนศาสนาควบคู่ไปด้วย คุณไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่โลกนี้ได้ ด้วยความรู้บนโลกดุนยา ต้องมีความรู้ไปใช้ชีวิตในโลกอะคิเราะห์ หรือโลกอนาคต
มัธยมฯ เรียนที่ไหน
บ้านอยู่พัทลุง ม.1 ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอัตตัรกียะห์ อิสลามียะห์ จังหวัดนราธิวาส เป็นโรงเรียนประจำ แต่มีเด็กไปกลับ มีเด็กที่มาจากสุไหงโกลก เป็นโรงเรียนค่อนข้างใหญ่ ที่เลือกไปเรียนเพราะพี่ชายคนนั้นแนะนำเขาเป็นกุญแจสำคัญ เหมือนจุดพลิกล็อกในชีวิต กล้าพูดด้วยว่าถ้าไม่มีเขาในช่วงเวลานั้น อาจจะมาไม่ถึงตอนนี้ ทำให้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เยอะมาก ช่วงที่เรียนกลับบ้านสามเดือนครั้ง คิดถึงบ้าน แต่ไม่ได้นั่งร้องไห้ อยู่นราธิวาสปีครึ่ง ออกมาประมาณเรียน ม.2 เทอมหนึ่ง ดร็อปเรียน ย้ายกลับบ้าน
ไปเรียนไกลบ้านยังอ่านหนังสืออยู่หรือเปล่า
อ่านสิ เป็นครั้งแรกหนูได้สัมผัสกลอนเปล่าจริงๆ ตอนไปนราธิวาส อ่าน ‘ไม่มีหญิงสาวในบทกวี’ ของซะการีย์ยา อมตยา เปิดโลก ได้รู้จักคำว่า ‘ปัจเจก’ มันเป็นเรื่องของตัวตนที่เฉพาะเจาะจงลงไป กับวรรณกรรมเยาวชน เด็กชายในชุดนอนลายพราง มีขนหนังสือไปไว้ที่หอด้วย มีเพื่อนอ่านหนังสือเหมือนกัน แต่ไม่ได้คลั่งขนาดหนู บางเล่มที่เป็นกระแส เขาก็อ่านกันแบบทั่วไป ดังในช่วงนั้น บางเล่มที่ห้องสมุดเขาเคยอ่าน เราก็อ่านกับเขาบ้าง แต่ไม่มีที่อ่านหนักๆ ขบกันจนแตกในเรื่องเดียวกัน เป็นความฝันอยากแชร์สิ่งที่เราชอบกับคนที่เข้าใจมัน
เปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ ต้องปรับตัวเยอะมั้ย
เราไปแรกๆ คงเป็นแกะดำ ต้องปรับตัวเรื่องภาษายาวี สังคมนราธิวาส เขาเเข่งขันกันเรื่องการศึกษา หนูอยู่แค่ ม.1 นั่งรถทัวร์ 6 ชั่วโมง หนูไม่มีคนรู้จัก ออกไปตัวคนเดียวอย่างแท้จริง ต้องเรียนภาษาใหม่ ภาษายาวีอยู่พัทลุงไม่ได้พูด เขาพูดกันแค่ในสามจังหวัด อารมณ์ภาษาใต้ที่ใกล้กับไทยกลาง ไม่เหมือนภาษามลายูที่ใช้ภาษาอังกฤษ ที่นี่ใช้อักษรภาษาอาหรับ หนูเครียดกับเรื่องศาสนามาก วันปกติครึ่งวันเรียนสามัญ เย็นเรียนศาสนา
เรียนศาสนาคือเรียนอะไรบ้าง
เรียนทุกอย่าง ตั้งแต่ประวัติศาสตร์อิสลาม การปฏิบัติการละหมาดต่างๆ แยกย่อยจากละหมาด 5 เวลา ศาสนพิธี คนตายอาบน้ำกับศพยังไง ผู้หญิงคลอดลูกจัดการยังไง เรื่องประจำเดือน ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการละหมาด ทำยังไงน้ำละหมาดถึงจะสมบูรณ์ บัญญัติทุกอย่าง
เมื่อเช้าคุณละหมาดหรือเปล่า
ไม่, เพราะต้องตื่นตีห้าเพื่อมาละหมาด หนูไม่ใช่คนเคร่งศาสนา ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองในเรื่องความรู้สึก อยากทำถึงจะทำ ไม่อยากทำก็ไม่จะทำ เป็นพวกตั้งคำถามเยอะ กับบางเรื่องที่ศาสนาตอบไม่ได้ บางเรื่องในสังคมมุสลิมที่เจอมาอาจจะทำให้หนูไม่ละหมาด 5 เวลา
อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าศาสนากดทับ
หนูเคยร้องไห้กับพวกเรื่องศาสนาเหมือนกดทับมาก ยิ่งเกิดเป็นผู้หญิง ผู้ชายต้องเป็นผู้นำ ผู้หญิงเป็นบทบาทรอง ศาสนาเคยกำหนดไว้ว่าเเค่ภรรยาออกจากบ้าน ต้องขออนุญาตสามี อย่างที่ซาอุดิอาระเบีย ผู้หญิงเพิ่งขับรถได้ มันกดทับความเป็นผู้หญิงมาก แถวใต้คือสังคมผู้ชายตัดยางเสร็จ รวมตัวกันพูดการเมืองเศรษฐกิจที่ร้านน้ำชา บางทียกเรื่องผู้หญิงมาพูด ถ้าพิจารณากฎของศาสนาของอาหรับเมื่อก่อน ออกจากบ้านต้องระมัดระวัง แต่สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว เชื่อว่าบางอย่างต้องปรับเปลี่ยน คล้ายๆ สังคมไทย สิ่งที่ทำต่อๆ กันมาไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูก ..ขำๆ หน่อย เวลาฟังกฎ
อยากเปลี่ยนศาสนา ?
เคยคิด พ่อเคร่งศาสนามาก เหมือนสังคมจีนเลย รักลูกผู้ชาย พ่อหนูอยากได้ลูกผู้ชายมาก พ่อมีลูกชายต่างแม่ หนูเคยนั่งร้องไห้ในวันฮารีรายอ วันปีใหม่อิสลาม พ่อให้เงินพี่ชายห้าร้อยบาท ให้เงินหนูยี่สิบบาท เหมือนเป็นความน้อยใจของเด็ก ทำไมได้เท่านี้ พ่อไม่รักเราเหรอ ค่อนข้างตอกย้ำทางจิตใจ เหมือนแผลการโดนกดทับของการเป็นผู้หญิง รู้สึกไม่โอเคเท่าไรกับศาสนาตัวเอง จากการอ่านหนังสือเจอโลกกว้างมากขึ้น ก็เลยไม่เชื่อในทุกรูปแบบวิถีชีวิต เชื่อในความคิดตัวเอง อยากเป็นคนไม่นับถือศาสนา เคยคิดว่านับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลาม แต่ดูทุกศาสนาก็มีความไม่เมกเซ้นส์
ช่วงที่มีอาการซึมเศร้าคิดว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
อยู่ในความรุนแรงบ่อย พ่อหนูเวลาทะเลาะกันเขาใช้คำพูดรุนแรง หนูเลยมีความอ่อนไหว ต้องสมบูรณ์แบบทำงานออกมาให้ดี มองข้อบกพร่องตัวเองบ่อย เพิ่งมาเลิกทะเลาะกับพ่อได้ซักไม่ถึงปี และเรื่องศาสนา การใช้ชีวิตด้วย เคยมีความคิดตัวเองว่าอยากตายอย่างสงบ แต่ยังหาไม่เจอ ไม่อยากตายอย่างเจ็บปวด มีกรีดแขนด้วย มันรู้ตัวนะ ความรู้สึกมันชา เหมือนกรีดเพื่อฆ่าอะไรข้างใน เพื่อล้างและฆ่าอารมณ์ความรู้สึกดำๆ ไม่ดี เหมือนวิทยาศาสตร์ หมอบอกคนไข้ได้ปลดปล่อย เรื่องฆ่าตัวตาย มีความกลัวเจ็บ รู้สึกว่ากูเจ็บมามากพอแล้วเพื่อน ถ้าจะตายยังเจ็บอีกไม่ไหว ก็เลยคิดว่าอยู่เพื่อหาวิธีตายอย่างสงบ ก็ยังไม่เจอ แต่แม่เป็นกุญเเจสำคัญ แม่พาไปขับรถเล่น พาไปผ่อนคลายเพื่อให้มีชีวิตอยู่ ต่อมาอยากใช้ชีวิตกับคนที่รักนานๆ อธิบายไม่ได้ว่าทำไม
ม.2 เทอมสองไปฝากชื่อไว้โรงเรียนใกล้บ้านคล้ายๆ ปอเนาะ แต่ไม่ได้ไปโรงเรียนเลยเพราะซึมเศร้า ปลาย ม.3 ถึงไปโรงเรียนได้ ฝากชื่อได้โดยไม่ต้องเรียนซ้ำก็เลยจบพร้อมเพื่อน เรียนถึง ม.4 ไม่ค่อยอยากมาเรียนในเมือง หนูอยู่อำเภอกงหรา ไม่ได้ใส่ผ้าคลุมด้วย เรียนซักพักย้ายมาโรงเรียนอุบลรัตน์ราชกัญญา โรงเรียนมีกฎห้ามไว้ผมยาว ให้ไว้ผมสั้น เขาบังคับตัดผม เพื่อนผู้ชายชื่อสถาปนา พยายามยื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องเรื่องทรงผมเกือบจะได้ เด็กผู้ชายไม่ตัดผม กันไม่ให้เข้าห้องสอบ ออกข่าว เรื่องที่สถาปนาทำมาทั้งหมด เกิดดราม่า ก็โดนปัดตก เขาบอกว่าถ้าโรงเรียนยอมเปลี่ยนเพราะเรื่องแค่นี้ โรงเรียนก็ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรแล้ว หลายปีที่เขาพยายามเปลี่ยนกันมา อีกอย่างเป็นเรื่องใส่ฮิญาบ ทำไมถึงใส่ไม่ได้ มันเป็นความเปลี่ยนแปลงมาก อยู่ในสังคมที่เคร่ง เขาน่าจะมีคนมองแหละ ทำไมเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่ไม่ใส่ฮิญาบ น้องของหนูก็ย้ายมา น้องอยู่สาธิต ม.ทักษิณ ใส่ฮิญาบไม่ได้ เขาบอกว่าไม่มีในบทบัญญัติโรงเรียน หนูรู้สึกไม่เมกเซ้นส์ ไหนบอกว่าอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แต่ไม่เคารพความเชื่อผู้อื่นเลย
สำหรับคุณ ฮิญาบคืออะไร
เป็นความเชื่อ เป็นตัวตน เป็นการบอกจุดยืน คือความเป็นมุสลิม แต่สิ่งที่หนูทำอยู่คือทำเพื่อครอบครัวมากกว่า เพื่อความสบายใจของคนที่รักมากกว่า ก็เลยใส่อยู่ แค่แม่กับพ่อยังอยากให้ใส่ คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ได้ เพราะละหมาดก็ไม่ละหมาด ก็เลยยังใส่ฮิญาบ ยังทำอยู่เพื่อรักษาความสัมพันธ์และความสบายใจของคนที่บ้าน เมื่อวาน นั่งคุยกับพี่ป่าน ธิติ มีแต้ม พี่เขาพูดคำว่า “อิสลามคือวิถีชีวิต” การออกจากอิสลามคือการออกจากครอบครัว อิสลามคือตัวศาสนา เวลาผู้หญิงอิสลามเเต่งงานกับผู้ชายศาสนาอื่น ผู้ชายต้องเปลี่ยนศาสนา ไม่งั้นแต่งงานไม่ได้ ถ้าปล่อยการละหมาด ฮิญาบ เหมือนสายสัมพันธ์ทางความเชื่อมันพัง ทำให้ไม่เชื่อในพระเจ้าล่ะ ทำไมไปนับถือศาสนาอื่น
คิดว่าที่ผ่านมามีอิสระในการเลือกที่เรียนมั้ย
ค่อนข้าง คิดถึงอนาคตอย่างถี่ถ้วน ที่บ้านไม่ค่อยบังคับเรื่องเรียน เป็นข้อดี พ่อหนูใช้ชีวิตด้วยตัวเองมา การศึกษามันสำคัญแต่ไม่ได้ขนาดนั้น รู้ตัวว่าอยากไปไหนแต่เด็ก รู้ว่าอยากเป็นนักเขียนตอน ม.2 ตอน ม.ต้นเรียนสายวิทย์ฯ คณิตฯ ชอบชีวะฯ ก็เลยอยากเป็นจิตแพทย์ อันไหนที่ไม่ได้ชอบก็ตัดไปเลย ถ้าไม่รู้ว่าจะมาสายศิลป์คงไปวิทย์ฯ คณิตฯ ต่อ เบนมาทางนี้อีก
รู้สึกเป็นปัญหามั้ย การย้ายโรงเรียนบ่อยๆ
เป็นปัญหาของเด็กนะ น้องหนูมีปัญหามาก ย้ายจากนราธิวาส เขากลับมาโรงเรียนเก่าหนูที่เป็นปอเนาะ เข้ากับเพื่อนไม่ได้ แต่ของหนูมีเพื่อนก็เลยมาโรงเรียนได้ เมื่อก่อนมีความรู้สึกไม่อยากใช้ชีวิตด้วย รู้สึกว่าเป็นแกะดำ แต่ต่อมาในความสัมพันธ์ เพื่อนก็ชอบมาปรึกษาหนูนะเวลามีปัญหา มาขอคำปรึกษา เหมือนเราโตกว่าวัยเพราะอ่านหนังสือ รู้สึกโชคดี
เริ่มเขียนบทกวีได้ยังไง
เริ่มเขียนบทกวีจริงๆ ก็ตอน ม.2 เทอมสอง จดอะไรอยู่แล้ว เเล้วเครียดตอนอยู่นราธิวาส ก็เลยเขียนบรรยาย จดความคิดตัวเอง ตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันจะออกไปทางบทกวี แต่ส่งประกวดเพราะหาไรอะไรทำ ก็เลยเจองานช่อมะกอก ของ มอ.หาดใหญ่ เป็นเรื่องของสันติภาพ ความหลากหลาย เป็นครั้งแรกว่าตัวเองมีความสนใจในการเป็นนักเขียน เราก็เขียนได้ ไม่ได้คาดหวังรางวัล อยากทำบางอย่างให้สำเร็จ ไม่งั้นชีวิตว่างเปล่ามาก เข้าถึงรอบชิง ส่งไป 2 เรื่อง นักวิทยาศาสตร์กับสิ่งประดิษฐ์ กับเรื่อง ‘เธอ พ่อ กับความพยายามยับยั้งสงคราม’ เหมือนตอนนั้นธีมในการส่งประกวดเป็นเรื่องนวัตกรรมสันติภาพ ได้ไอเดียจากเด็กชายจากชุดนอนลายพราง อีกบทได้มาจากฟิลลิ่ง
ใช้เวลานานมั้ยเวลาเขียนบทกวีแต่ละบท ?
ไม่ค่อย หนูรู้สึกว่าหนูเขียนเร็ว จำได้ว่าเขียน ‘เธอ พ่อ กับความพยายามยับยั้งสงคราม’ ในคาบวิทยาศาสตร์ สองชั่วโมง
มีจุดเปลี่ยนในการเขียน ?
ตอน ม.2 หนูพึ่งได้รางวัลของ มอ. รู้สึกว่าตัวเองเขียนได้ จำได้ว่า ม.1 ครูถามว่าเป็นอะไร อยากเป็นจิตแพทย์ รู้ตัวเองมีความเซนซิทีฟอยากทำอะไรเกี่ยวกับอีโมชั่น ถ้าได้เขียนงานดีๆ มันจะได้โอบกอดเราเหมือนเราที่อ่านหนังสือของคนอื่นๆ มาเจอพี่อั๋นในทวิตเตอร์ด้วย เป็นทวิตเตอร์หลัก ตอนนี้ที่ใช้ชื่อ ‘กัญชญา’ นี่แหละ ตอนเเรกเข้าใจว่าเป็นผู้หญิง เป็นพี่สาวเรา เหมือนเพ้อรัก หนูเห็นเขาผ่านไทม์ไลน์ประมาณสองอาทิตย์ ตอนนั้นหาเพื่อนคุย อยากขายงานตัวเอง อยากให้มีคนอ่าน เลยทักไปคุย เขาเห็นหนูเขียน อาทิตย์หนึ่งถึงรู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย คุยกันเรื่องไทป์คน ถามคนที่ชอบเป็นคนประมาณไหน เขาตอบว่าเป็นผู้หญิง เขาเป็นผู้หญิงน่ารักไงคนนั้น ก็เลยรู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย–สตั๊น บอกเขาว่าถ้ารู้ว่าเป็นผู้ชายจะไม่ทักมาคุย ช่วงนั้นเดือนสิงหาคม – กันยายน Nan Poesie จัดต้นเดือนกุมภาพันธ์ คุยกันซักพักนางถาม–รู้จัก เทศกาลบทกวีมั้ย นางก็เลยหามาให้อ่าน ให้ลองสมัครมา แล้วได้มา เขาเปิดรับบทกวีให้มาอ่านใน Nan Poesie บังเอิญแม่บ้าจี้พามา รู้ว่าอยู่ภาคเหนือ ไม่เคยมาภาคเหนือเลย มาเครื่องบิน มีพี่สาวต่างแม่ แม่ น้อง และหนู นั่งเครื่องจากหาดใหญ่มากรุงเทพฯ แล้วต่อมาน่าน มาแบบไม่รู้แห่ง ไม่รู้จักที่รู้จักทาง แม่หาเงินจากไหนก็ไม่รู้ตั้งสี่คน นับถือใจแม่มากๆ แม่เป็นพยาบาล แต่หาเงินจากไหน แอบสนับสนุนความฝันลูกนิดๆ เหมือนกันนะ หนูเคยไปงานเปิดตัวหนังสือของน้า ไปกับน้าชายอีกคน แม่ก็คงมีความใกล้ชิดคุ้นเคยบางอย่างกับการเป็นนักเขียน
มาเทศกาลบทกวีเเล้ว คุณรู้สึกยังไงบ้างตอนออกไปอ่านที่ตัวเองเขียน ?
ตื่นเต้น หนูไม่เคยอ่านบทกวีให้คนอื่นฟัง แต่กล้าแสดงออกแต่เด็ก เคยเป็นประธานนักเรียน เพราะเราอ่านหนังสือเยอะเลยมีเรื่องพูด แต่ไม่เคยอ่านงานตัวเองอ่านให้ใครฟัง ยังไม่รู้จักการ performance ด้วยซ้ำ หนูอ่านปกติ เสียงโอเค แต่ไม่ได้ส่งพลังและเข้าถึงอารมณ์ อยู่ ม.2 มีความไม่มั่นใจ หนูใช้ชื่อจริง ใช้ชื่อที่พ่อตั้งให้ เป็นไม้หอมกฤษณา หรนจันทร์ คำว่า ‘หรน’ ไม่มีความหมายในภาษาไทย แต่หนูคิดว่าจากคำว่า ‘ฮารูน’ ในภาษาอาหรับ แปลว่าพระจันทร์ แต่พ่อบอกว่าความหมายของนามสกุลเหมือนเป็นบริวารของพระจันทร์ พี่น้องเขาชื่อภาษาอาหรับหมดเลย หนูชื่อภาษาบาลีสันสกฤต บรรยายตัวหนูคงต้องเป็นชื่อจริง นามสกุลจริง เขียนบทกวีใสมาก “เเล้วฉันจะประณามความรักได้อย่างไร”
เขียนกวีได้อยู่แล้ว ทำไมถึงมาค่ายฝึกเขียน Nan Dialogue ที่น่าน
หายาก ค่ายบทกวีมันยาก ไม่ค่อยมีเลย น่านมันน่าอยู่แล้วสบายใจด้วย เป็นสังคมที่โอเค ไม่ต้องพยายามปรับ เคยไปค่ายนักเขียนของสมาคมนักเขียนฯ แต่รู้สึกยังไม่โอบรับเราขนาดนั้น มันเป็นที่ชอบอะไรเหมือนดันมารวมกัน แต่ที่ค่ายลงตัวพอเป๊ะ หนูไม่ได้รู้สึกเก่ง ต้องเรียนรู้อีกเยอะ อยากมาฟังคนอื่นว่าเขาเขียนยังไง คิดยังไง ต้องฟังคนอื่นบ้าง มองหลายมุม การเขียนอยู่คนเดียวมันทำให้เราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่บ้างในบางที ต้องเปิดโลก อาจจะคิดในมุมของเราจนไม่เห็นมุมของคนอื่น ไม่ได้มองสิ่งรอบตัว ไม่ได้กลัวเรื่องการเดินทาง หนูกำลังรอเทศกาลบทกวี Nan Poesie ครั้งต่อไป
ในบทกวีของคุณมีพี่ชายคนนั้นอยู่มั้ย
ถ้าเขียนถึงใครซักคนแล้วเขาไม่ได้อ่าน มันน่าเสียดายมากเลยนะ ถ้าคิดถึงก็อยากบอกให้ได้ เขาเลยรู้ว่าบทนี้หนูเขียนให้ เขาเหมือนพี่ชาย ทุกครั้งที่กลับเขาจะรับหนูไปกินข้าว ตอน ม.1 ที่เขาทำมาทั้งหมด ทำในฐานะพี่ชาย เขาตอบว่า มันมีหลายครั้งที่ต้องห้ามใจ เป็นญาติกัน เขารักครอบครัวเขามาก มีบางช่วงก็เกลียดเขา รู้สึกเขาเห็นแก่ตัว เขาเคยพูดกับหนู เขามีสิทธิ์ที่จะหายไปนะ อย่ามาเสี่ยงกับเขาเลย ต่างคนต่างใช้ชีวิต เขาทำให้หนูรู้จักการรัก การถูกรัก การไม่ได้รัก เคยโทรฯ คุยกับเขาเป็นชั่วโมง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เหมือนไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิม รู้สึกว่าเป็นหมาเพราะเขาอยู่สามปี.
เรื่องและภาพ ซัน แสงดาว