พระกิตติศักดิ์ กนฺตสีโล ยืนอยู่บนทางสองแพร่ง คือหนึ่ง, ลาสิกขาตามปรารถนาของมารดาซึ่งรบเร้าโน้มน้าวมานานว่าเรียนจบแล้วก็ออกมาทำงาน ช่วยเหลือครอบครัว และสอง, ตัดใจเรื่องทางโลกเด็ดขาด เดินสายพระปฏิบัติ ตั้งใจว่าจะใช้เวลาสองปีนี้ชี้ขาดตัดสินว่าจะเลือกเดินไปทางใด
เป็นคนอำเภอทุ่งช้างโดยกำเนิด (มีพี่น้อง 8 คน) จบ ป.6 แล้วพี่ชายซึ่งเป็นสามเณรพามาบรรพชาตามรอย เพื่อเรียนต่อ ม.1 ที่อำเภอปัว ช่วงที่จบ ม.3 เคยอยากสึก ย้ายไปศึกษาสายวิทย์ สอบติดที่โรงเรียนประจำจังหวัดแล้ว แต่บิดาบอกว่าต้องกู้เรียน จึงเปลี่ยนใจอยู่ต่อจนจบ ม.6 แล้วไปสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งที่นั่นก็ต้องสึกก่อน และกู้เรียน อีกครั้ง–นักศึกษาม้งคนนี้จำยอมเลือกทางธรรม ไปเรียนต่อคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาราชภัฏเชียงราย (อนุญาตให้พระเณรเรียนได้)
ตลอดมา, ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ นอกจากไม่ต้องกู้ พระกิตติศักดิ์หยิบยื่นแบ่งเบาภาระครอบครัวมาโดยตลอด ยิ่งช่วงหลังจากโยมพ่อเสียชีวิต
ในวัยยี่สิบสี่ พระหนุ่มรูปนี้เรียนจบปริญญาตรีมาสองปีเศษแล้ว ยืนอยู่ในจุดแสวงหา พิจารณาว่าหนทางไหนคือความสงบสันติ
เคยได้ยินว่าชาวม้งนับถือผี จริงมั้ย
ในทะเบียนบ้านอาตมาเขียนว่านับถือพุทธ แต่ความเชื่อคือผี ส่วนพุทธศาสนาพูดง่ายๆ ว่าโยมแม่ไม่เคยรู้เลย เจอกันก็ไม่รู้ธรรมเนียม กลับบ้านก็เหมือนกลับไปเป็นลูกชายจริงๆ ทั้งที่เป็นพระ กลับไปบ้านก็ทำทุกอย่าง แม่ใช้ปกติ
เรื่องนับถือผี หลวงพี่คิดยังไง
ส่วนตัวก็ไม่ได้เชื่อแบบคนอื่น มีบางช่วงที่เชื่อ ด้วยความเป็นเด็ก อาตมาบวชตั้งแต่อายุสิบเอ็ด
ผีคือ..
ผีบรรพบุรุษ กลับมาดูแลลูกหลาน คือถ้าเราดูแลที่ฝังศพเขาดี จะส่งผลดี แต่ถ้ามีอะไรมาทำลายหลุมศพเขาก็ส่งผลต่อลูกหลานด้วย คนม้งจะไม่เผาศพ เขาใช้วิธีฝัง มีพิธีกรรมเฉพาะของเขา ต่างจากคนเมืองทุกอย่าง แต่งงานก็ไม่เหมือน เขามีทำนองในการพูด ภาษาม้ง ถ้าอาตมาพูด โยมไม่รู้เรื่องแน่นอน แล้วมีหลายแบบ ม้งเมืองคือวัยรุ่นคุยกัน ก็แบบหนึ่ง คนเฒ่าคนแก่พูดอีกอย่าง มีหลายระดับ คำเปรียบเทียบ คล้องจอง ฟังสละสลวย อาตมาพูดไม่ค่อยเป็นเพราะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ฟังได้ แต่บางครั้งก็ไม่รู้เรื่อง คล้ายภาษาจีน บรรพบุรุษหลายคนพูดจีนได้เพราะอพยพมาจากจีน ไม่เฉพาะอำเภอทุ่งช้าง ม้งมีหลายที่ ไม่มีประเทศเป็นของตัวเอง กระจายอยู่ออสเตรเลีย อเมริกา แคนาดา ลาว เวียดนาม จีน
อาตมาเกิดบนดอย เรียนที่โรงเรียนในหมู่บ้านซึ่งเป็นม้งทั้งหมด เด็กมีสี่ร้อยกว่าคน หมู่บ้านเดียว เด็กเยอะ ม้งมีลูกเยอะ อาตมาจำความได้ว่าไฟฟ้าเข้ามาหมู่บ้านประมาณช่วง ป.5 ป.6 ก่อนนั้นอยู่บ้านไม้ไผ่ ใช้ตะเกียง หลังคามุงหญ้าคา มีครั้งหนึ่งอาตมาไปนอนไร่กับพ่อ พอเที่ยงคืน พี่ชายกับพี่สาวขึ้นมาหา บอกว่าไฟไหม้บ้าน หลังจากนั้นทำบ้านใหม่ มีคนบริจาคสังกะสีให้
ทุกวันนี้ยังผูกพันกับสังคมม้งด้วยกันมั้ย หรือค่อยๆ ห่าง
อาตมาออกจากหมู่บ้านนั้นมานาน ความรู้สึกก็ลดลงไป แต่ภูมิใจ ก่อนนั้นเคยดูถูกตัวเอง เราเป็นชนเผ่า พูดไทยไม่ชัด
เคยโดนเหยียดมั้ย
เคย ตอนเด็ก และด้วยความเป็นเด็ก พอเขาแกล้ง เขาว่ามา เราก็ด่าภาษาม้งกลับไปเลย เขาฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) แต่ที่วัดพระอาจารย์สั่งสอนดี บางทีมีเณรเกเรแกล้งเราบ้าง แต่ไม่เชิงดูถูก อาจเป็นเรากดตัวเอง ความรู้สึกมันปนๆ กันอยู่ อ.ปัว ที่อาตมาบวชเรียนมีหลายชนเผ่า เช่น ลั๊วะ ก็พูดอีกภาษาหนึ่ง หน้าตาเขาคล้ายคนไทย คนเมือง กลมกลืน แต่ม้งจะต่างไปเลย ดูปุ๊บ รู้ สังเกตดีๆ ท่าทาง หน้าตาเป็นเอกลักษณ์ มองแล้วรู้ แต่อย่างอาตมา คนอาจไม่รู้ เพราะอยู่นาน เริ่มกลมกลืน พูดไทยชัดขึ้น จ.น่านมีสิบกว่าชนเผ่า ลื้อกับเมืองอยู่กันมานาน แยกไม่ออก ลั๊วะ พอดูออกบ้าง ผิวเขาจะออกคล้ำหน่อย เด็กไม่เยอะ แต่ละบ้านมีลูกคนสองคน นอกนั้นก็มีอาข่า เมี่ยน ภาษาต่างกัน สังเกตว่าลั๊วะส่วนใหญ่พูดไทยชัดกว่าเรา ตอนเด็กอาตมาคิดว่าภาษาไทยพูดยาก อยู่ที่โรงเรียนต้องพูดไทย แต่กับเพื่อนด้วยกันก็พูดม้ง
ตอนแต่งงานม้ง มีทำนอง เขาใช้คำสละสลวย อาตมาชอบทำนองนี้มากสุด (ร้องออกมา) เสียงเขาเพราะ เหมือนมีดนตรีไปในตัว ฟังเพลินดี ต้องฝึก วิธีพูดเป็นเรื่องเป็นราว ที่ร้องเมื่อกี๊อาตมาแปลไม่ได้ ต้องถามคนอื่น บางคำรู้ บางคำไม่รู้ มีการพูดถึงผีด้วย ต้องไปถามคนเฒ่าคนแก่ พวกรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจ เรื่องเป่าแคนม้ง แคนรูปทรงยาวๆ ที่ใช้ในพิธีสำคัญ คนม้งกลมกลืนกับธรรมชาติมาก ใบไม้หยิบมาเป่าสื่อสารกันได้ มีคนฝึก ทำเป็น วิธีจีบสาว เป่าเวลาอยู่ไกลกัน เสียงดังก้องกังวาน หรือพวกวิธีล่าสัตว์ของม้งโบราณ สุดยอด
พิธีแต่งงานเหมือนคนไทยทั่วไปมั้ย คือผู้ชายเป็นฝ่ายไปสู่ขอ ?
เหมือนกัน แต่แต่งแล้วผู้หญิงต้องออกบ้านไปเลย ไปอยู่บ้านผู้ชาย เขายังถือธรรมเนียมชายเป็นใหญ่ พ่อแม่อยู่กับลูกชาย ลูกสาวแต่งแล้วออกไป
วันเกิดไม่มีพิธี แต่วันตาย เก็บศพไว้หลายวัน ไม่มีพระมาสวด ม้งจะมีคนรู้พิธีมาตีกลอง เป่าแคนไปด้วย โหยหวนมาก ถ้ามีคนตาย เด็กๆ จะกลัว ไม่รู้ด้วยความที่ปลูกฝังมาหรือเปล่า ว่าเวลาคนตาย เราไปบ้านเขา จะเดินจะวิ่งอยู่ยังไงก็ห้ามล้ม ถ้าล้ม เหมือนว่าคนตายอาจจะเอาวิญญาณเราไปด้วย ทำให้เราป่วย ถ้าใครพลาดล้มในงานศพ ต้องเรียกขวัญกลับมา ฉะนั้น เวลามีงานศพ เด็กส่วนใหญ่จะไม่กล้าไป เพราะกลัวล้ม มีครั้งหนึ่งญาติอาตมาเสีย เราก็เล่นปกติ หนังยาง กระโดดไกล แล้วล้ม โอ้โฮ เป็นเรื่องเลย โยมแม่ต้องไปเรียกขวัญกลับ
ก่อนฝังศพ เคยเห็นเขาใส่ชุดหลายชุดซ้อนๆ ใส่หมวก ใส่รองเท้าปลายแหลมโค้งที่ไม่เคยเห็นตอนมีชีวิตปกติ มีผ้ามัดเอวสีแดง เวลาเข้าไปในป่า เจอผ้าแดง เด็กๆ จะวิ่งเลย มันจะหลอนๆ หน่อย ม้งไม่มีสุสาน ศพเขาไม่ฝังเป็นที่ ข้างทางก็มี เยอะแยะเลย แถวหมู่บ้านก็มี แล้วแต่ของใครของมัน แล้วแต่ญาติ หรือบางคนก่อนตายเลือกที่ของตัวเองไว้ก่อน บางคนตายไปแล้วญาติพี่น้องเลือกให้ กระจายไปทั่ว บางทีเดินไปเจอที่เขาฝังใหม่ๆ พวกเด็กๆ ก็วิ่งหนีเลย
หลุมศพมีสัญลักษณ์ยังไง
เนินกลมๆ ไม่มีป้ายชื่อ เนินก้อนหินรูปไข่ เราจะรู้ว่าจุดนี้คือที่ฝังศพ อย่างศพโยมพ่อ ตอนขุด พี่ชายไปดู อาตมาไป แต่น้องสาวไม่ให้ไป ร้องไห้ ผูกพันมาก ปล่อยวางไม่ได้ โยมแม่ก็ไม่ไป เพราะทำใจไม่ได้ มีญาติๆ ที่เป็นผู้ชายไปช่วยขุด พ่อป่วยมะเร็ง เขาเลือกที่ไว้แล้ว ก็เอาที่ที่พ่อชอบ ก่อนจะเอาไปฝัง ก็เลี้ยงอาหารชาวบ้าน ฆ่าหมู ไก่ วัว เป็นบริวารให้ คนม้งรวยๆ บางทีเขาฆ่าเป็นสิบยี่สิบตัว ฆ่าวัว เพื่อให้เป็นพาหนะที่จะพาไปอีกโลกหนึ่ง เรื่องของเสื้อผ้า ต้องแต่งตัวดีๆ เพราะเชื่อว่าเวลาไปเกิดใหม่จะได้มีของดีๆ ใช้
ตอนจะบวช ทางบ้านสนับสนุนแนะนำ หรือบวชเอง
มันบวชกันเยอะ ช่วงนั้นวันเกิดพระเทพฯ พี่ชายก็เคยบวชมาก่อน เขาพามา โยมพ่อไม่ได้มา คนอื่นมาทำให้ เขาเรียกมีพ่อออกแม่ออก เป็นตัวแทน กราบ รับผ้า พอบวชแล้ว วันที่ย้ายวัด โยมพ่อมา หลังจากนั้นก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด เรียนฟรีหมดทุกอย่าง จบ ม.3 แล้ว อยากเรียนสายวิทย์ มาสอบเข้า รร.ศรีสวัสดิ์ สอบผ่านแล้ว แต่โยมพ่อบอกว่าต้องกู้เรียน เลยตัดสินใจไม่สึก จากปัว เข้าเมืองมาเรียนที่นันทะฯ ฟรีทุกอย่าง เวลาบิณฑบาตหรือมีกิจนิมนต์ ได้ปัจจัยเพิ่ม เรียนฟรีและมีทุนด้วย ไม่ค่อยมีเด็กเรียนต่อ ส่วนใหญ่จบ ม.3 แล้วสึกหมด ม.4 ห้องหนึ่งมีแค่ 9 รูป เดี๋ยวนี้เยอะขึ้นบ้าง
อาตมาจบ ม.6 ด้วยคะแนนท็อปที่หนึ่งของโรงเรียน คือเราพยายามใช้ชีวิตจากการพิสูจน์ เรียนเก่งเพื่อให้พ่อชื่นชม เป็นเด็กเรียนเก่ง เด็กดี ซึ่งมันก็ส่งผลกระทบเพราะเราแค่เรียนเพื่อให้ได้เกรดดี ไม่สนใจคนรอบข้าง มิตรภาพ สนใจแต่เรียน ส่งผลมากๆ ตอนโยมพ่อเสีย พอไม่มีเขา เราไม่รู้จะเรียนไปเพื่ออะไร เพราะพ่อไม่อยู่ชื่นชมเราแล้ว เคว้ง ไม่มีเป้าหมาย
เสียตอนหลวงพี่อายุเท่าไร
สิบเก้า เรียนปีสอง ราชภัฏเชียงราย เป็นเณรคนเดียว เอกคณิตฯ คณะครุศาสตร์ นั่งสองแถวไปมหาลัย บางวันเลต โดนหักคะแนน ช่วงโยมพ่อป่วยหนัก ลามาดูแลพ่อ กลับไป อาจารย์ว่าเราขาด ห้ามลา ผลการเรียนช่วงนั้นแย่ เพราะเคว้งมาก
แล้วทำยังไงให้ดีขึ้น
ปีสาม ยังแย่อยู่ พอปีสี่ เจออาจารย์จิตวิทยาคนหนึ่ง เขาแนะนำให้ไปหาเพื่อนสักคน คุยทุกเรื่อง ระบายออก ปรากฏว่าหาไม่ได้ ไม่มีเพื่อนสนิท ความที่เราเป็นพระคนเดียว บวกด้วยสร้างกำแพงไว้หรือเปล่า ไม่รู้ ก็ไม่มีใคร พอดีตอนนั้นมันมีบางคำพูดคือพ่อเสียไปแล้ว ทำไมเราไม่ทำให้เขาดีใจ เราเป็นพระ ทำไมไม่ใช้หลักการพุทธเพื่อปล่อยวาง ทำไมไม่ทำให้พ่อภูมิใจ แม้ว่าเขาไม่อยู่แล้ว คำพูดนี้ทำให้ปรับตัวฟิตใหม่ ไม่เชิงปล่อยวางได้ทั้งหมด ความตายมันทำใจยาก เราเสียใจอยู่ ความรับผิดชอบก็ยังไม่กลับคืนมา ที่ผ่านมาเหมือนว่าเราฝากไว้กับพ่อ พอพ่อไป ท่านเอาไปด้วย เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไร บางทีคิดจะสึก แต่กลัว เลยไม่สึก มีช่วงสับสนพอสมควร กว่าจะผ่านได้
ในความเป็นเพศชาย อยู่ในช่วงวัยรุ่น ขณะที่เพื่อนๆ ในรุ่นเขาไปเที่ยว เล่นดนตรี เล่นกีฬา หลายคนมีแฟน แต่หลวงพี่ครองเพศสมณะ ทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ความรู้สึกลึกๆ มันเป็นยังไงบ้าง
เรื่องสาวๆ สวยๆ เจอก็มอง เรื่องปกตินะ แต่เราคุมได้ เรื่องเที่ยวไม่ได้คิด เพื่อนไปกินเหล้า กินไม่เบานะ พวกเอกคณิตฯ เราเห็นว่าการไปทำแบบนั้นมันก็ตังค์พ่อแม่ทั้งนั้น ก็ไม่เหมาะ เพื่อนๆ เขามาเล่าให้ฟังว่าเที่ยวสนุกมาก นัดกันบ่อย มองย้อนมาชีวิตตัวเอง ถ้าสึกออกไป ให้ทำแบบนั้น คงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะตั้งแต่บวชเณรไม่เคยขออะไรจากทางบ้าน ไม่รู้ว่าถ้าสึกจะขอเป็นมั้ย หรือจะทำแบบนั้นได้ยังไง นอกจากไม่ขอ เรายังเป็นคนคอยเก็บเงิน ช่วยซัพพอร์ททางบ้าน ตอนเรียนมหาลัย อาตมาต้องช่วยทางบ้าน ช่วยน้อง เวลาเราเห็นเพื่อน ค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนเยอะอยู่แล้ว บางคนพ่อแม่ส่งได้ แต่หลายคน พ่อแม่ต้องยืมมา กู้เรียนด้วย แล้วพอได้เงินมา บางวันอาจไปสังสรรค์ ก็มี คือเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น แต่ก็ไม่สบายใจ
ในฐานะที่ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่ง คนอื่นเขาสนุกกัน ของท่าน..
มันอาจมีเรื่องยากส่วนตัวคือการเข้าหาคน เราเป็นพระ แล้วที่เชียงรายมันก็ต่างจากน่านมาก คือเพื่อนผู้หญิงไม่กล้าเข้าใกล้เลย เจอเรา เขาบอกว่าพระไปไกลๆ กลัวบาป ก็ได้รู้สึกว่าเขาเคารพเราในฐานะเป็นพระ ควรปฏิบัติให้ดี เขานับถือ เขาไม่มายุ่งกับเรา อีกอย่าง เรื่องผู้หญิง อาตมาถือว่าโชคดี เพราะเกิดมาหน้าตาไม่ค่อยดี (หัวเราะ) เพื่อนเณรอีกรูปเขาหน้าตาดี มีผู้หญิงมาขอเบอร์ ตอนนี้สึกไปนานแล้ว อาตมาไม่มีผู้หญิงเข้ามา โชคดี เราเลยอยู่ได้
ที่บอกว่ามีช่วงสับสน อยากสึก เพราะอะไร
ตอนจบ ม.3 แล้วไปสอบติดศรีสวัสดิ์ แล้วก็ตอนจบ ม.6 สอบติดคณะนิติศาสตร์ ม.พะเยา แต่ถ้าสึก ไปเรียนต่อ โยมพ่อบอกว่าต้องกู้ เลยไม่สึก มันก็มีเขวๆ บ้างบางที อย่างตอนจะบวชพระ เราเป็นวัยรุ่นอยู่ เห็นเพื่อนสาดน้ำ เล่นสงกรานต์สนุก ก็เคยนึกว่าสึกสักเจ็ดวัน ไปเล่นน้ำด้วย แล้วค่อยกลับมาบวชใหม่ สุดท้ายอาจารย์ไม่ให้สึก จากเณรก็บวชพระต่อเลย แล้วก็มีอีกที ช่วงปลายปีที่แล้ว โยมแม่อยากให้สึก เซ้าซี้ ทำนองออกมาหางานทำเถอะ อาตมาเริ่มร้อนใจ ไม่รู้ทางออกว่าจะไปทางไหนดี เราไม่มีเป้าหมายชัดเจนทางโลก ตอนนั้นมีอาจารย์ที่มหาลัยเขาดูไพ่ยิปซี ก็ดูให้เพื่อนหลายคน เราเลยพูดไปว่าขอดูหน่อย เขาบอกไม่ได้ พระศีลเยอะกว่า ดูให้ไม่ได้ เขาแนะนำให้ไปหาอาจารย์ของเขาอีกที อาจารย์ที่เป็นพระ อาตมาก็ไป ท่านจับดูลายมือแล้วก็บอกว่า ถ้าสึกออกไป อาจมีอันเป็นไปโดยไม่รู้ตัว เอาง่ายๆ คือตายแน่ ท่านบอกว่าในอดีตเคยเป็นพระมาก่อน เป็นครูบาอาจารย์ ถ้าอยู่เป็นพระต่อไป อยู่ได้ดี ขอให้อยู่ต่อ ถ้าอยู่ ผ้าเหลืองคุ้มครอง เลยมีข้ออ้างกับแม่
อยู่ต่อมาได้อีกพรรษาหนึ่ง โยมแม่เซ้าซี้ให้สึกอีก ออกมาหางานทำ ยื่นคำขาดแล้วว่าต้องสึก ตอนนั้นอาตมาไม่อยากคิดอะไรแล้ว บอกให้โยมแม่ตัดสินใจเลย แม่บอกว่าอยากให้สึกจริงๆ โอเค งั้นผมกำหนดวันให้แม่เลย วันนี้ๆ จะสึก แต่ ณ วันที่จะสึก ได้คุยและขัดแย้งกันอีก อาตมาอยากอยู่ต่อ แม่อยากให้สึก แม่โทรฯ หาพี่ชาย ตอนนี้พี่ชายเป็นใหญ่ในบ้าน ม้งเขาถือลูกชาย ถ้าพ่อไม่อยู่แล้ว พี่ชายบอกว่าแล้วแต่อาตมา ชีวิตใคร คนนั้นเลือกเอง แม่ฟังแล้วกลับคำเลย บอกงั้นแล้วแต่ลูก ก็เข้าทางอาตมาสิ คือที่ผ่านมาทุกการตัดสินใจในชีวิตจะมีคนคอยช่วยตลอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง จนกระทั่งพี่สาวแนะนำให้ไปแลนด์มาร์กฟอรัม รู้สึกว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้มั่นใจในตัวเองขึ้นมา ก่อนหน้านั้นจะปิดตัวเอง มีกำแพงส่วนตัว ใครก็เข้าไม่ถึง มาก็เห็นแค่ฉาก สร้างให้เห็นแค่ภาพเด็กเรียบร้อย อัธยาศัยดี ซ่อนตัวเองข้างในเกราะป้องกันตัว กลัว มีอดีตที่ทำให้เป็นเด็กดี สร้างภาพให้โยมพ่อเห็นว่าเป็นแบบนี้
แลนด์มาร์กสอนอะไร
มีผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งพูดตลอดสามวัน ไม่ต้องจด ใครสงสัย ถาม แลกเปลี่ยน อาตมาออกไปพูดเรื่องแม่ แชร์อดีตของเราและร้องไห้ต่อหน้าคนร้อยกว่าคน คือการศึกษานี้ทำให้เรากลับไปทำการบ้านกับคนที่เราติดค้าง บางคนโทรฯ ไปห้านาที เขาได้พ่อกับแม่เค้าคืนมา อาตมาก็สูญเสียหลายอย่าง แม้แต่เป็นตัวเองยังไม่กล้าเป็น ซ่อนตัวเองไว้ สร้างบางอย่างที่ไม่ใช่เราออกมาให้คนอื่นเห็น
บวชมาสิบกว่าปี เจอคอร์สฝรั่งสามวันนี้ มีผลมากกว่า ?
มันทำให้เข้าใจธรรมะมากขึ้น เป็นคำตอบที่ตามหามาโดยตลอด
สิ่งนั้นคือ..
ความสงบในใจ อาตมาเห็นตัวเองถือของไว้ในมือเต็มไปหมด ทุกอย่างเป็นเรื่องอดีต พ่อ พระอาจารย์ แบกไว้ สะพายอีกสองข้าง ลากมากองเป็นภูเขา แก้ไขไม่ได้ พอเข้าฝึกในคอร์สนี้ปัญหาทุกอย่างคล้ายเราเอามากองไว้ข้างๆ เหมือนกอดเล่นมันได้เลย จะเขี่ยทิ้งเมื่อไรก็ได้ เบาสบาย ปล่อยอดีต เหมือนได้สัมผัสความสุขจริงๆ สัมผัสการปล่อยวางจริงๆ มันคือคอร์สการศึกษา ทุกศาสนาเข้าเรียนได้
อาตมาคิดว่าทางพุทธลึกกว่าแลนด์มาร์ก ถ้าคนเข้าถึง แต่ด้วยความที่เราอยู่สายปริยัติมาตลอด ไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอนด้านปฏิบัติ ของพุทธจะได้เมื่อปฏิบัติ ถูกสอนถูกต้อง หรือต้องศึกษาลึก จริงจัง ถ้าผิดพลาดจะเพี้ยน คือเราไม่ได้อยู่ในสายปฏิบัติ อาจจะเรียกว่าอาตมาเป็นพุทธปลอม เพราะไม่ได้มีของแท้ ถ้าของแท้เราลึกซึ้งแล้ว แต่อยู่ทุกวันนี้ยังมีห่วง ไม่แท้ เลยไม่ได้สัมผัสการปล่อยวางจริงๆ ภูมิธรรมยังมีน้อย ถึงตอนนี้ก็ยังอยากแสวงหาครูบาอาจารย์อยู่ ฝึกเองไม่พอ เรารู้ว่าเราคุมตัวเองไม่ได้ ต้องมีครูชี้แนะ อาจเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนการกระทำ และมีครู
ปรารถนาในทางธรรมมีมากน้อยเท่าไร เอากะมันแค่ไหน
อาตมาชอบดูหนัง มันทำให้เจอเรื่องราวชีวิตมากมาย เจอคนตายเยอะ แต่เราอาจยังไม่รู้สึกเท่าไร ประมาท แต่ก็มีคำถามแทรกมาบ่อยๆ ว่าเราจะมีชีวิตอยู่เพื่อรอวันตายเท่านั้นเหรอ ไม่แสวงหาทางหลุดพ้นบ้างเหรอ มีโอกาส มีสติปัญญาพอ มนุษย์มีปัญญาไปถึงได้ น่าจะลอง
คิดว่าอะไรเป็นอุปสรรค ใช่เรื่องความรัก หรือเรื่องทางเพศหรือเปล่า
มันเป็นกิเลสที่เผาผลาญมหาศาล ถ้าเราไม่ฝึกฝนตัวเอง
หลวงพี่ไม่เคยอยู่กับผู้หญิงจะรู้ได้ยังไง
ไม่เคยอยู่ แต่เคยดูหนัง ดูซีรีย์ และคิดว่าเข้าถึงอารมณ์นั้นได้ ทางพุทธท่านว่าคือไฟที่เผาผลาญ มันเป็นจริงนะ ถ้าไม่ฝึก หยุดไม่ได้จริงๆ พิจารณาร่างกายคนเรา เวลาเห็นผู้หญิงสวยๆ สุดท้ายมันเป็นแค่หนัง กระดูก เลือด แต่ความที่ยังไม่หลุดพ้น นั่นแหละเราจึงต้องจำเป็นแสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะชี้แนะให้หลุด วาง
เจอผู้หญิงยังมองอยู่ ?
ยอมรับว่ายังมองอยู่ เรื่องปกติของผู้ชาย แต่พยายามมองให้เห็นถึงกระดูก ถึงเลือด
โดยรวมถือว่ายังเอาอยู่ ไม่พ่ายแพ้ ?
ยังเอาอยู่ ต่อสู้ไป เรื่องนี้เป็นธรรมดาของสัตว์โลก แต่ละคนจัดการแตกต่างกัน อาตมาใช้การพิจารณา หรืออดทน ให้มันผ่านพ้น บางทีก็คุย หาวิธีเพื่อให้ลืม หาสิ่งอื่นๆ ทำ เพื่อเอาตัวเองออกจากจุดนั้น
ถ้าประเมินความเป็นพระของตัวเอง ให้คะแนนเท่าไร
เต็มสิบ ให้แปด บางทีเราอยู่กับปริยัติมากเกินไป อ่อนปฏิบัติ จิตเราผูกติดกับสิ่งไม่ดี และยังหาทางออกไม่ได้
เคยมีช่วงลงมาถึงสามหรือสี่มั้ย
มีลดลง อาจจะเหลือสักห้า ติดเกม เก็บตัวเองในห้อง ไม่ได้ปฏิบัติ บางช่วงมีความคิดที่ไม่ดี ถือเป็นมโนกรรม ส่วนกายกรรมไม่มี วจีกรรมไม่มี เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว
ดูหนังสัปดาห์ละกี่เรื่อง
ตอนหลังไม่ค่อยได้ดู แต่เรื่องโทรศัพท์ก็เป็นตัวปัญหาอยู่ เหมือนคนส่วนใหญ่ที่อยู่กับหน้าจอเยอะกว่าอยู่กับตัวเอง อาตมาก็พยายามตัด แต่ยังไม่ได้
กุฏิติดแอร์มั้ย
ไม่ มีของเจ้าอาวาสติดห้องเดียว ห้องคนอื่นใช้พัดลม
จีวรซักเอง ?
มีเครื่องปั่นในวัด ถ้าไปอยู่วัดป่าก็ซักมือ คนม้งปกติเขาขยันขึ้นชื่อ อาตมาไม่ค่อยขยัน ลองไปดูบ้านม้ง รถสี่คูณสี่ทุกบ้าน น่าจะขยันกว่าเผ่าอื่น มีเงิน แต่ก็ใช้เงินเยอะ บ้านทำสวย หลังใหญ่ แต่เทียบกับคนเมือง ม้งก็คงสู้ไม่ได้
นอกจากขยัน คนม้งมีลักษณะเฉพาะอะไรอีก
การแต่งตัว มีชุดประจำ ดูรู้เลย ลายต่างๆ เขาทำเอง ทำมือ นิสัย ชอบอิสระ ม้งไม่ชอบเป็นลูกน้องใคร เพราะเคยอิสระ ทำเอง หาเงินเอง อยู่ดอย ที่กว้างๆ ไม่ชอบจำกัด เป็นส่วนหนึ่งของอาตมาเหมือนกัน ถ้าทำอะไร อยากทำของตัวเอง ชอบอิสระ ชอบธรรมชาติ
มองไปในวัยเด็ก ถ้าเทียบกับตอนนี้ สิบกว่าปีที่ผ่านมาหลวงพี่คิดว่าม้งเท่าเทียมกับคนไทยโดยทั่วไปหรือยัง
คิดว่าเท่า แต่ม้งคนอื่นๆ อาจมีบ้างที่เขารู้สึกว่าไม่เท่า ไม่มั่นใจในตัวเอง อาตมายกระดับแล้วว่ามั่นใจ ภูมิใจ บอกใครๆ ได้ว่าเราเป็นม้ง เมื่อก่อนไม่มั่นใจ ไม่กล้าพูดถึงอดีต
ได้คุยกับม้งคนอื่นๆ บ้างมั้ย สภาพเขาเป็นยังไง
ไม่ค่อยได้คุย ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว เจอม้งในเมืองก็พูดไทย เท่าที่รู้ พวกการละเล่น อย่างอาตมาเล่นกับดินกับทรายมาตลอด เด็กสมัยนี้เริ่มมีเทคโนโลยีเข้าไป เขาไม่ได้อยู่กับธรรมชาติเท่าไร หลายการละเล่นหายไป เขามีมือถือแล้ว แต่ตอนเราเป็นเด็กมันไม่มี ข้อดี อาตมาว่าเทคโนโลยีมีส่วนช่วยมากเรื่องความเท่าเทียม ทุกคนเข้าถึง ใครเกิดมายังไงมันไม่ต่างมาก คนขาว คนดำ คนชาติพันธุ์ จุดต่างจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องทางปัจเจก ถ้าไม่กดตัวเองก็เท่าเทียมกันและทุกคนพัฒนาได้
ที่บอกว่าตอนเด็กเคยมีเพื่อนมาล้อเลียนบ้าง ตอนนี้บางทียังโดนเหยียดอยู่บ้างหรือเปล่า
ไม่มี เวลาตื่นเต้น เกร็ง อาตมาพูดไม่ชัดในบางคำ แต่ด้วยบุคลิกเรา เป็นคนเงียบๆ พอทำผิดพลาดบางอย่าง คนอื่นคงไม่กล้าหัวเราะ ยังมีเยอะ คนม้งที่อาจพูดไม่ชัด เพราะเขาพูดคุยกันอยู่ในกลุ่มเขา แต่เรื่องดูถูกดูหมิ่น ล้อเลียน น่าจะหายไปเยอะแล้ว หมดสมัย
ถ้าหลวงพี่ไม่ได้บวช จะได้เรียนหนังสือมั้ย ศาสนามีส่วนในการศึกษาแค่ไหน
น่าจะได้เรียนและจบปริญญาตรีเหมือนทุกวันนี้ เพราะทางบ้านส่งเสริม ตัวเขาไม่ได้เรียนสูง เขาอยากให้ลูกเรียน ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องส่งเรียน แม้ว่าไม่มีเงิน เขาส่งเรียนได้ มี ไม่มี ก็ต้องหามาส่งลูกให้ได้
การเลือกเป็นพระเป็นเณรก็ต้องถือว่าช่วยเอื้อเรื่องการศึกษาพอสมควร ?
ใช่ เรียนฟรีหมด และมีเหลือส่งไปช่วยลดภาระให้โยมแม่ด้วย
เด็กม้งรุ่นเดียวกันในหมู่บ้านมีโอกาสเรียนถึงปริญญาตรีสักกี่คน
เราไม่ได้ติดต่อทั้งหมด เท่าที่รู้ก็ประมาณสี่ห้าคน แต่เยอะกว่านี้แน่นอน พวกไม่ได้เรียนส่วนใหญ่แต่งงานเร็ว ถ้าไม่แต่งงานเร็วมีโอกาสเรียนต่อสูงขึ้น เหมือนบังคับให้ทุกคนต้องเรียน เพื่อหางานทำ ก็โชคดีที่บวชเรียน ไม่งั้นต้องกู้ ป่านนี้ก็คงใช้หนี้ กยศ. ยาวไปอีก 20 ปี
ผู้ชายบวชเรียนได้ ผู้หญิงยังไม่มีช่องทางแบบนี้ ?
ไม่มี พ่อแม่ต้องส่งเอง บ้านอาตมาผู้หญิงห้าคน กู้เรียนหมด ทางสายคริสต์มีมั้ย เราไม่รู้รายละเอียด แต่ทางพุทธไม่มีเพื่อผู้หญิง ยกเว้นอาจมีพระบางรูปอุปถัมภ์เด็กคนนั้นโดยตรง เป็นพระที่ให้ทุนเด็กหญิง มีแบบนี้บ้าง ช่วยเป็นคนๆ ไม่ใช่ระบบโรงเรียนแบบที่ผู้ชายมีโอกาส
เพื่อการศึกษา ตัวหลวงพี่เองก็ยอมบวช ไม่ได้สนุกกับเพื่อนเหมือนเด็กคนอื่นๆ ?
ด้วยฐานะทางบ้านส่วนหนึ่ง และการปลูกฝังของโยมพ่อ ท่านเห็นว่าการศึกษาสำคัญ วัยเด็กเราก็ไม่รู้เรื่อง ได้เรียน เรียนไป เป็นพระก็ได้ ไม่เป็นไร แค่ให้ได้เรียนไปก่อน แบ่งเบาภาระทางบ้านไปก่อน
พ่อจบชั้นไหน
ป.4 หรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่อ่านเขียนได้ โยมแม่ไม่ได้เรียน เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก ตอนอาตมาเป็นเด็ก แม่ยังพูดไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้เริ่มพูดได้ คุยได้รู้เรื่อง
ตั้งใจว่าจะเรียนแค่ปริญญาตรีเท่านี้ หรือเอาอีก
ดูชีวิตก่อน ถ้าเดินทางปฏิบัติก็อาจไม่ได้เรียนต่อ แต่ถ้าคิดว่าจะหากิน หาเงิน หรือสึกไปข้างนอก ก็อาจเรียนต่อ ต้องวางแผนให้ดี หลักๆ อาตมาว่าประสบการณ์สำคัญกว่า กำลังเลือกซึ่งตอนนี้ยังไม่สรุป กำหนดชีวิตของการเป็นพระไว้อีกสองปี ลองดูว่าทางไหนที่เราจะชอบ ถ้าอยู่เป็นพระปฏิบัติแล้วชอบ ก็จะอยู่ยาวตลอดชีวิต แต่ถ้ายังไม่ใช่จุดที่ชอบ ก็ลองดูทางโลก เพราะลึกๆ โยมแม่อยากให้ลาสิกขา
ยังไม่เลิกโน้มน้าว ?
ใช่ พี่น้องหลายคนก็คิดเหมือนแม่
ส่วนตัวท่านเอนเอียงไปทางไหน
ทางธรรมมากกว่า แต่ด้วยกิเลสก็ดึงไปทางโลกบ้าง
มันน่าสนใจยังไง ทางธรรมพิเศษยังไง ถึงสนใจอยากจะไปทางนั้น
ชีวิตที่เราผ่านมาด้วย เราเห็นชีวิตของโยมพ่อด้วยที่ขยันมาทั้งชีวิต จนเริ่มรุ่งเรือง หาเงินได้ แต่พอเงินเข้ามา เขาป่วย เงินที่หาได้ต้องเอาไปรักษาตัวเองหมด มันเลยยิ่งตอกย้ำ เรามีคำถามว่าแล้วคนเราเกิดมาทำไม เห็นตัวอย่างจากคนที่เรารัก ท่านทำงานหนักมาทั้งชีวิต สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้ มันใช่คำตอบมั้ย เราอยากรู้คำตอบ หลังจากนั้นพอเราเรียนมากขึ้น ดูชีวิตคน ดูหนัง เรื่องราวในนั้นสะท้อนให้เห็นว่าวุ่นวายมาก หรือตอนเรียนมหาลัยร่วมกับฆราวาส เราก็เห็นว่าปัญหามันเยอะมาก มันไม่มีทางสิ้นสุด แต่พุทธศาสนามีทางสิ้นสุดคือเมื่อไรที่เราตัดขาดทั้งหมดแล้ว มันจบ คือพอใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ยิ่งอยู่ที่วัด เห็นงานศพมานาน เออ สุดท้ายก็จบ แล้วอะไรคือคำตอบของเรา เลยทำให้สนใจทางธรรมมากขึ้น ทางโลกมีเรื่องสนุกมาก แต่เป็นกิเลสหมดเลย ที่มันดึงไปโดยไม่รู้ตัว ไร้สติ เลยอยากเปลี่ยน
ความปรารถนาของครอบครัวอยากให้สึก ถ้าหลวงพี่ไม่สึก จะเรียกว่าเห็นแก่ตัวได้มั้ย
ลึกๆ คือความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ เพราะเราทำเพื่อตัวเองโดยเฉพาะ ไม่สนใจคนอื่น แต่ ณ ตอนนี้ ที่เรายังไปไม่สุด ไม่ไปทางธรรม ก็เพราะเรายังห่วงเขา เรายังไม่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น อย่างเรื่องเงินก็ยังช่วยทางบ้านอยู่ ช่วยได้นิดๆ หน่อยๆ ช่วยไป เมื่อไรที่เราตัด แม้แต่เงินก็ไม่จับ ถ้าถึงวันนั้น ช่วยไม่ได้เลยนะ เขาต้องช่วยตัวเขาเอง ฉะนั้น ถ้าจะเดินให้สุดก็ไม่ต้องสนใจ ตั้งเป้าหมายให้ชัดแล้วเดินไป แค่นั้นเอง
การปฏิบัติธรรมต้องเดินสายพระเท่านั้นมั้ย ฆราวาสทำได้หรือเปล่า
ได้ครับ แต่มันอยู่ที่พอเป็นฆราวาสแล้วเราสงบจิตใจได้มั้ย ทางโลกมีสิ่งล่อใจเยอะกว่าทางพระ แต่มันก็อย่างที่หลายคนว่า คือทุกอย่างมีสองด้านเสมอ ทางพระก็มีสองด้าน ถ้าเราไม่ระวังตัวนิดนึง มันก็หลุดไปแล้ว
สรุปว่าความเป็นพระเอื้ออนุญาตให้เข้าสู่ความสงบได้ง่ายกว่า ?
ใช่ ตัดความวุ่นวายไปเยอะ ถ้าทางโลกก็เอาง่ายๆ ว่ายังต้องหากินอยู่ โอกาสจะปฏิบัติมีน้อย แต่สุดท้ายมันอยู่ที่คนใฝ่หา ธรรมะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ตลอดเวลา แค่เรามีสติ ก็ได้แล้ว หลายคนอาจไม่มี เพราะสิ่งที่เขาทำอยู่ ที่เขาสนใจ อาจเป็นอบายมุข ซึ่งมันก็ยากจะมีสติใช่มั้ย คนทำงานไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย มีน้อย ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นคนที่อิ่มตัวแล้วในทางโลก แต่เขาไม่ละแค่นั้นเอง เงิน ครอบครัว ไม่มีปัญหา เขาเลยมีเวลาในการปฏิบัติ อยู่กับตัวเอง ดูสติ แต่ถ้ายังทำมาหากินอยู่ ดิ้นรนหาเงิน มันยากจะปฏิบัติธรรมได้ เราเองก็เห็นว่าถ้าสึกออกไป มันยากมาก เรื่องจะมาปฏิบัติธรรม
สุดท้าย ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เสียดายโอกาสมั้ยที่ไม่ได้เที่ยวกับเพื่อน กินเหล้า ร้องเพลง
ไม่เสียดาย เรื่องเฮฮาปาร์ตี้ ไม่ค่อยชอบ หรือเราอาจไม่เคยสัมผัส เราเลยไม่รู้ อาตมาบวชตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เสียดายอะไร ตอนนี้เราเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำอยู่ วงฆราวาสมันอาจเฮฮา แต่อาจมีอันตรายได้ แล้วอีกอย่างคือต้องขอบคุณโยมพ่อที่ปลูกฝัง ไม่ให้ยุ่งอบายมุข แม้แต่เหล้า บุหรี่ ห้ามหมด มันก็เลยไม่มีปัญหา มองเพื่อนๆ วัยเดียวกัน เรื่องพวกนี้หนียาก แต่เรารอด และส่งเสริมเราว่าทางนี้ใช่ สรุปคือไม่เสียดายชีวิตวัยรุ่นแบบนั้น
แล้วเสียดายมั้ย ที่ไม่มีเมีย ไม่มีคนรัก
ไม่เสียดาย อยู่คนเดียวได้
มนุษย์เป็นสัตว์โดดเดี่ยวหรือสัตว์มีคู่
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอาจโดดเดี่ยวได้ หรือมีคู่ก็ได้ แต่ถ้าเราอยู่ในสังคม เราเอาความสามารถมาแชร์กัน มันก็โอเค ไม่จำเป็นต้องมีคู่
ธรรมะเป็นคู่กับเราได้มั้ย
ได้ แม้แต่เราเองยังเป็นคู่กับตัวเองได้เลย เอาว่า เราควรรับผิดชอบตัวเองให้ได้ก่อน ไม่ใช่รับผิดชอบตัวเองยังไม่ได้ ยังหาเรื่องไปมีคู่อีก.
nandialogue
เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์
ภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น