interviews nandialogue
interview

บัณฑิตโบราณคดี มาตามหาอนาคตที่น่าน “อยากรู้เรื่องคน ไปตลาดง่ายกว่าไปพิพิธภัณฑ์”

ซัน-ชีวิน เหล่าเขตรกิจ เป็นคนอุทัยธานี สนใจในศาสตร์โบราณคดีจากการได้คลุกคลีอยู่กับครูที่ปรึกษาสมัยมัธยมฯ ที่เป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่น บวกจุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้พบกับ เบิ้ม ณ บางพลี คุณป้านักสะสมหนังสือเก่า เป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้เขาได้อ่านหนังสือที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งจะได้อ่าน คำถามที่ไม่รู้จะถามใคร หนุ่มน้อยซันมี เบิ้ม ณ บางพลี ช่วยหาคำตอบ สอนวิธีคิด วิธีมอง วิธีค้นหาข้อมูล และพาไปรู้จักผู้คนต่างวัยที่สนใจในเรื่องเดียวกัน และยังเป็นไกด์นำทางท่องเที่ยวไปยังโลกของประวัติศาสตร์

“เจอกันแต่ละครั้งเขาให้หนังสือกลับไปอ่านทีหนึ่งเป็นกระสอบ เอามาคืนบ้าง บางอย่างก็ให้เลย เวลาอ่านหนังสือจบก็มาแลกเปลี่ยนกัน”

เบิ้ม ณ บางพลี จุดไฟให้ซันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาหาตัวเลือกเดียวที่ตั้งใจคือโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร (สำนักวิชาเดียวกันกับ สุจิตต์ วงษ์เทศ นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของยุคสมัย) เรียนจบมาในจังหวะนรกโควิด-19 ที่เคยตั้งใจว่าจะทำงานเป็นนักโบราณคดีหักเห เขาขึ้นมาเป็นพลเมืองน่าน รับผิดชอบประสานงานวัฒนธรรมอยู่ที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) 

บทสัมภาษณ์ประจำสัปดาห์นี้ nan dialogue ชวนไปทำความรู้จักบัณทิตโบราณคดีผู้มีความฝันอยากเป็นคนรวยที่มีเวลาในการเดินทางและอ่านหนังสือ

 

interviews nandialogue

 

นักโบราณคดีเป็นยังไง

อย่างแรกต้องมีคำถาม และค้นหาข้อมูล พอค้นหาข้อมูลแล้ว ในงานภาคสนามก็จะเป็นเรื่องของการสำรวจหาแหล่งโบราณคดี สำรวจหาโบราณวัตถุ เมื่อสำรวจแล้วมั่นใจว่าพื้นที่ตรงนั้นสามาารถขุดค้นได้ ก็นำมาสู่การขุดค้นว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งโบราณคดีมั้ย เป็นแหล่งสมัยไหน เจออะไร สามารถอธิบายอดีตได้หรือเปล่า

ต่อมาก็เป็นการวิเคราะห์แปลความหมาย ถ้ามีคำถามหรือมีข้อมูลเกี่ยวกับโบราณคดีก็จะวิเคราะห์ได้ว่าของชิ้นนี้อยู่ในสมัยไหน ใครเป็นคนทำ หาสิ่งที่เชื่อมโยงกัน แต่ละคนที่เป็นนักโบราณคดีก็มีวิธีคิดและมีแว่นตาที่มองกันได้หลายแบบมาก

โบราณคดีที่เคยถูกสอนมา จะทำความเข้าใจอดีตผ่านหลักฐานของมนุษย์ สิ่งที่เป็นจุดแข็งของคนเรียนโบราณคดีคือวิธีการใช้ข้อมูล รู้ว่าอะไรเอาไปทำอะไรได้บ้าง อันไหนเป็นข้อมูล มีเครื่องมือบางอย่างที่ทำให้รู้ว่าตรงไหนเป็นแหล่งโบราณคดี หรือเป็นสถานที่สำคัญ มองความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเมืองและคนได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องผ่านการค้นคว้ามาสักระยะหนึ่ง เมื่อมีคำถามให้กับตัวเองก็จะไปต่อได้ นักโบราณคดีคือคนที่ชอบเป็นนักสำรวจ

คนเรียนโบราณคดีจบไปทำงานอะไร

รุ่นผมจบประมาณ 30 คน ทำงานโบราณคดีสิบกว่าคน คนที่ได้ทำมีแพสชั่นที่ตั้งใจจะเป็นนักโบราณคดีอยู่ในกรมศิลป์เลย ตั้งใจจะใช้เครื่องมือของนักโบราณคดีในการประกอบอาชีพ บางคนอยากเป็นอาจารย์ บางคนก็ไปเป็นภัณฑรักษ์ ส่วนใหญ่รุ่นผมเยอะมากเลยที่ยังไม่ได้ทำงาน

ตั้งแต่จบมาได้ทำอะไรเกี่ยวกับโบราณคดีบ้างหรือยัง

ผมรับงานสำรวจสองงาน ตอนนั้นยังเรียนไม่จบ ได้ไปสำรวจแหล่งโบราณคดีที่สระแก้ว เป็นงานที่ได้เงินจากการทำโบราณคดีครั้งแรก คุยงานกันตอนแรกบอกว่าทำแค่เจ็ดวัน สุดท้ายก็ทำไปเกือบสองเดือน ช่วงนั้นอยู่ปีสี่เทอมสอง ธีสิสก็ยังไม่เสร็จ กะเอางานไปเขียนด้วยก็ไม่ได้ทำ เพราะต้องไปทำงานสำรวจทุกวัน เดินวันละสองหมื่นก้าว เดินดูพื้นดิน คุยกับชาวบ้าน เดินไปเรื่อยๆ หาข้อมูล เป็นงานแรกในชีวิต ทำอยู่เดือนครึ่ง ได้เงินมาหมื่นห้า

งานที่สองไปสำรวจทางภาคใต้ที่อำเภอทุ่งใหญ่ติดรอยต่อกระบี่ ทำเจ็ดวันได้หมื่นห้า แปดโมงกินข้าวเริ่มทำงาน สักบ่ายสามก็เลิกแล้วเพราะทางใต้ฝนตกบ่อย ไปเดินสำรวจพื้นที่จะถูกทำสัมปทาน เดินให้รู้ว่าบริเวณนั้นไม่เจออะไรแน่ๆ ไปแล้วก็ไม่เจออะไรจริงๆ ได้ไปคุยกับคนใต้คุยสนุกและอาหารอร่อย หลังจากเรียนจบก็วางแผนตัวเองไว้ อยากทำงานฟรีแลนซ์สักปีสองปี มีคนติดต่องานมาด้วย แต่ภาวะโควิดก็ไปไหนไม่ได้ ที่สกลนครเขาหาคนไปทำงานโบราณคดี บูรณะวัดและให้ไปเก็บข้อมูล แต่ผมไปไม่ได้ ชาวบ้านไม่ให้เข้าหมู่บ้านเพราะมาจากกรุงเทพฯ

คิดว่ายังอยากทำงานโบราณคดีต่อไปมั้ย

ผมอยากทำนะ แต่ถ้าทำงานในกรมโดยตรง ส่วนตัวก็ไม่อยากทำงานราชการเพราะไม่ค่อยชอบ ผมรู้สึกไม่สนุกกับตัวเอง ชอบเป็นอิสระหรือแบบทำงานเป็นคอนแทร็กต์มากกว่า ก่อนจะมาน่านคือว่างงาน ไปเที่ยว ไปนอนเล่นอยู่เชียงใหม่ที่ห้องรุ่นพี่ที่เรียน ป. โท แบบเหงาๆ ช่วงอยู่เชียงใหม่ก็เห็นประกาศรับสมัครงานที่น่านเด้งขึ้นมา ตอนแรกดูงานเชียงใหม่ไว้ว่าจะทำงานเกี่ยวกับ NGO ฉีกแนวออกไปเลย เพราะอยากทำงานด้วยเที่ยวด้วย อีกที่ที่อยากทำงานมากตอนอยู่เชียงใหม่ก็คืองานผู้จัดการแปลงผักที่ร้านโอ้กะจู๋ รู้สึกว่าถ้าได้เป็นผู้จัดการแปลงผักก็น่าจะทำได้

เลือกงานที่น่านเพราะเด้งขึ้นมาพอดี ?

อยากเที่ยวต่อและมีตังค์ คือคนจะไปเที่ยวได้ต้องมีตังค์หล่อเลี้ยง ที่เลือกที่น่านเพราะมีคำว่า ทำงานร่วมกับกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับเมืองสร้างสรรค์ อุตรดิตถ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ผมรู้สึกอยากไปทุกจังหวัดเลยเลือกสมัคร รู้สึกว่าถ้าได้เที่ยวทางภาคเหนือต่อก็น่าจะดี ผมเลยได้มาทำงานอยู่ตำแหน่งประสานงานวัฒนธรรมที่ อพท. (องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน) ทำเอกสารราชการทั้งภายนอกภายในเก็บข้อมูลการประชุม

ที่ทำงานเป็นยังไงบ้าง

เป็นองค์กรที่ค่อนข้างก้าวหน้าในเรื่องระบบการจัดการหลังบ้าน เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจกึ่งรัฐ ไม่ใช้เอกสารแล้ว ใช้ระบบออฟฟิศ ทำงานในคอมพิวเตอร์ พยายามผลักดันให้ชุมชนมีกิจกรรมเรื่องการท่องเที่ยว ทำผลิตภัณฑ์ ที่น่านเขามีความท้องถิ่นบางอย่างที่ภูมิใจความเป็นบ้าน

มาอยู่ใหม่ๆ ผมฟังภาษาเมืองไม่รู้เรื่องเลย มาที่นี่ได้ปรับตัวเยอะ แรกๆ ไม่ได้สนุกกับงานเท่าไหร่ รู้สึกว่าทำไมกูต้องชอบอีเวนต์ด้วย เพราะตั้งแต่เรียนถูกเทรนด์มาให้อยู่กับสายวิชาการทำงานอีกแนวหนึ่ง แต่พอได้มาทำงานตรงนี้ก็พบว่ามันเป็นเครื่องมืออีกแบบหนึ่งที่ไม่เคยเรียนรู้ ได้คุยกับคนมากขึ้น ตอนทำงานสำรวจหาแต่ของ แต่ไม่ได้คุยกับชาวบ้านมากเท่ากับที่มาทำงานกับ อพท. ตอนเรียนโบราณคดี จะหาความหมาย หาเรื่องเล่าให้กับอะไรบางอย่าง แต่พอทำงานที่ อพท. ก็หาอีกแบบหนึ่ง คือหาเรื่องที่เป็นคุณค่า

ทำงานไม่ตรงสาย ?

ถือว่ายังตรงสายอยู่ สามารถเอาวิชาความรู้ของโบราณคดีมาปรับใช้ได้ เช่น การสื่อความหมาย ผมรู้สึกว่าอะไรก็ตามต้องมีเรื่องเล่าวัฒนธรรมอยู่ เรื่องเมืองสร้างสรรค์ เรื่องการจัดการเมืองช่วงปีสามปีสี่ก็ได้เรียนเรื่องเหล่านี้ ได้คุยกับคน กรุงเทพฯ มีเรื่องย่าน เรื่องเมืองก็ติดตาม มาทำงานตรงนี้ก็ถือว่ายังเกี่ยวข้องอยู่

 

interviews nandialogue

 

การเลือกมาอยู่ต่างจังหวัดรู้สึกเสียเปรียบหรือเปล่า

บรรยากาศของน่านเหมือนบ้านที่อุทัยฯ เป็นเมืองเล็กๆ การไปทำงานทุกวันนี้เหมือนใช้ชีวิตสมัยมัธยมฯ ขี่รถไปทำงาน ตกเย็นว่างไปเล่นกีฬากับเพื่อน เสาร์ อาทิตย์ ออกไปเที่ยวได้ ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่สิ่งที่เสียโอกาสก็คือความตื่นตัวของสังคมกรุงเทพฯ มันไวกว่า เรื่องที่เพื่อนในกรุงเทพฯ คุยกันผมก็รู้เรื่องช้ากว่าคนอื่น เพราะเขาตื่นตัวทางสังคมมาก มีอะไรให้ดูเยอะ แต่อยู่ที่นี่เหมือนได้ฝึกตัวเองอีกแบบ ทำให้รู้สึกโตขึ้นมีความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าตอนที่อยู่กรุงเทพฯ ซึ่งมีแม่อยู่ คิดว่าถ้าอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่น่าจะบริหารค่าใช้จ่ายของตัวเองได้มากเท่าไหร่

ถ้ากลับไปกรุงเทพฯ ก็คงทำอะไรได้มากขึ้น แต่ที่เลือกอยู่ที่น่านเพราะผมอยากตกผลึกสิ่งที่เรียนมา อยากรู้ว่าจะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ได้แค่ไหน คุยกับคนอื่นรู้เรื่องมั้ย มาน่านอยากเห็นพิธีกรรมการฆ่าควาย เลี้ยงผี อยากฟังเรื่องเล่า และการอยู่ตรงนี้สามารถขึ้นรถไปที่หลวงพระบาง เดียนเบียนฟู สิบสองปันนาได้ มันน่าไปเที่ยว

เคยคุยกับเพื่อนตอนอยู่กรุงเทพฯ ว่าอยากนั่งเรือไปที่หลวงพระบาง เพื่อนบอกว่ามึงบ้าละ ไกลฉิบหาย แต่พอได้มาอยู่น่านพื้นที่มันใกล้กันมาก ทำให้อยากเดินทางออกนอกประเทศ อยากเห็นชายแดน ผมชอบเห็นคน ได้คุยกับคนที่อื่นๆ อยู่ที่น่านได้คุยเยอะ ที่กรุงเทพฯ เป็นคนเมืองและน้อยมากที่จะเข้าถึงกันได้

เมืองกรุงเทพฯ กับเมืองน่าน เห็นความแตกต่างอะไร

วัฒนธรรมต่าง วิธีการทำงาน คนที่เคยทำงานด้วยที่กรุงเทพฯ คือวัยกลางคนไปจนวัยรุ่น มาที่เมืองน่านจะเจอกลุ่มที่ขับเคลื่อนเมืองเป็นผู้สูงอายุมากขึ้น ด้วย nature ของเมืองเป็นความเนิบช้า เข้าใจความช้าเช่นนี้ได้เพราะว่าสิ่งแวดล้อมไม่ได้มีผลที่จะทำให้ต้องเร่งรีบหรือมีอะไรต้องทำมาก

ที่อุทัยฯ บ้านผมมีวงเวียนคนที่นั่นก็มองว่า วงเวียนขับรถอันตราย แต่ที่น่านมีไฟแดง แต่การปล่อยตัวของไฟแดงคือ การต้องวัดใจ ชิงจังหวะเลี้ยว ซึ่งก็เป็นความเคยชินของคนที่นี่ที่ทำให้การขับขี่เป็นเรื่องปกติ ส่วนลักษณะนิสัยผมว่าคนกรุงเทพฯ กับคนที่น่านไม่ได้ต่างกันมาก ก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพียงแต่บริบทสังคมวิถีชีวิตไม่เหมือนกัน ถ้าคนน่านไปอยู่กรุงเทพฯ ก็จะกลายเป็นวิถีแบบที่ต้องใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ เมืองใหญ่ใช้ชีวิตแอคทีฟ ต้องตื่นตัวกับสังคม

ที่น่านเคลื่อนตัวช้า ?

ผมรู้สึกว่ามีวัตถุดิบเยอะ แต่คนเคลื่อนไม่ใช่คนร่วมสมัย เป็นคนอีกยุคหนึ่ง ส่วนใหญ่อะไรที่ขับเคลื่อนจะผูกติดกับองค์กร ผูกกับกลุ่มทุน ไม่งั้นก็ไม่มีคนมาทำ ถ้ามีอิสระหรือมีพื้นที่จริงๆ น่านก็น่าจะสนุก ที่น่านพื้นที่สาธารณะเยอะมาก แต่ไม่ค่อยได้ถูกใช้ประโยชน์

สายตาแบบนักโบราณคดีมองว่าที่น่านเป็นยังไง

น่านมีโบราณคดีอยู่สองสายที่ผมติดตามอยู่ คือสายกระแสหลักที่เป็นข้าราชการ เชื่อถือข้อมูลของอาจาร์ยจากส่วนกลาง จะพูดถึง หิน ถ้วย วัด เรื่องท้องถิ่นรายละเอียดแต่ละที่ก็จะพูดเรื่องเจ้า เรื่องนาย อีกสายหนึ่งที่ผมสนใจคือเรื่องกลุ่มคนที่มีหลากหลายชาติพันธุ์ เรื่องผีก็ได้ที่ไม่ใช่แบบพุทธ เรื่องการค้า เรื่องความสัมพันธ์ของคนที่นี่ ความเป็นเมือง ความเป็นตลาดมันน่าสนุกมากสำหรับผม อยากเข้าใจมันมากกว่าประวัติศาสตร์แบบจารีตที่สอนๆ กันมา ผมรู้สึกเห็นได้ชัดในตอนมาอยู่ที่น่าน การเปลี่ยนแปลงของคนหรือเมืองที่นี่ชัดเลย

ทุกวันนี้ใช้งานโบราณที่เรียนมาทำอะไร ?

สนใจอยากใช้เครื่องมืออื่นๆ อธิบายโบราณคดีมากกว่า ซึ่งไม่ได้ผูกตัวเองติดกับความเป็นศาสตร์ของโบราณคดีขนาดนั้น อยากได้เครื่องมืออื่นที่พูดถึงสิ่งของ พูดถึงคนได้

เครื่องมือแบบนักโบราณคดีที่ถูกสอนมามีอะไรบ้าง

การศึกษาเรื่องราวของอดีตโดยผ่านหลักฐานบนผิวดิน ใต้ดิน ใต้น้ำ ศึกษาจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ สำหรับผมโบราณคดีก็คือเครื่องมือในการอธิบายอดีต และศึกษาจากสิ่งของ ขั้นตอนแบบจารีตเลยก็คือการทบทวนเอกสารข้อมูล ส่วนลงภาคสนามก็สำรวจ ขุดค้น วิเคราะห์ ตีความและอธิบาย สามารถเอาโบราณคดีไปอธิบายปัจจุบันได้เพราะเมื่อวานก็เป็นอดีตแล้ว มีความทรงจำเหมือนกัน

แต่โบราณคดีที่เป็นสายกระแสหลักเขาไม่ได้เล่นกับความทรงจำ เขาเล่นกับเรื่องของประวัติศาสตร์กระแสหลัก ประวัติศาสตร์ราชการ ประวัติศาสตร์รัฐชาติ เรื่องชาตินิยมหรืออะไรของรัฐ ในกมลสันดานจริงๆ คนโบราณคดีส่วนใหญ่เป็นอนุรักษ์นิยม มีแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ การรักษาของ หรือสนใจจารีตประเพณี ส่วนผมคิดว่ายังมีความหลากหลายและอะไรอื่นๆ ที่สามารถเชื่อและยึดถือได้

งานโบราณคดีไม่ได้เป็นแค่วัตถุอย่างเดียว ?

บางคนเล่นกับความทรงจำไปถึงสัมผัสทางอารมณ์ทางความรู้สึก แต่ที่ยังไปไม่ถึงตรงนั้นเพราะผูกติดอยู่กับสิ่งของ มีบางคนเป็นนักโบราณคดีที่อธิบายชีวิตประจำวัน อธิบายเรื่องเล่าที่ติดอยู่ในหัว บางคนก็อาจฉีกแนวไปเลยก็คืออธิบายเรื่องอาหาร ค้นลงลึกแบบโบราณคดี ผมชอบเรียนรู้หลายทาง เห็นหลายๆ มุมมอง ทั้งชื่นชม ทั้งด่า ชอบความมีหลายน้ำเสียงที่พูดถึงสิ่งนั้นๆ

ในฐานะเด็กจบใหม่สายโบราณคดีมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในแวดวงเป็นยังไง

บริบทการเมือง บริบทของที่ทำงาน ข้าราชการก็คือข้าของราชการ หรือเป็นหน่วยงานที่ตั้งมาโดยองค์กร วิชาโบราณคดีเริ่มจากชนชั้นนำมาก่อน เป็นวิชาของชนชั้นปกครองในช่วงแรก แล้วค่อยกระจายมาสู่ชาวบ้านที่เป็นมือสมัครเล่นทั่วไป คนเรียนก็ต้องสนใจในความรู้ในระดับหนึ่ง ด้วยวิชาในตัวของมันคือการอนุรักษ์อยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะทำให้แตกต่างไปได้ก็คือการต้องหากระแสอื่น ท้าทาย หรือหาคำอธิบายที่ไม่ใช่แค่การเก็บอะไรไว้สักอย่าง โดยที่คุณบอกว่าดั้งเดิมๆ ซึ่งมันก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย คุณจะทำลายก็ได้ แต่ก็ต้องมีเรื่องเล่าของมัน ถ้าจะอนุรักษ์ คุณก็ต้องทำอะไรให้มันเคลื่อนไหวหรือร่วมสมัย

ลองดูพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่เชียงใหม่ยันภาคใต้ แนวการจัดพิพิธภัณฑ์เหมือนกันหมดเลย คือมีสิ่งของตั้งโชว์ ถ้าชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องพระ เรื่องเจดีย์ เรื่องสถูป ไปอ่านก็ไม่เข้าใจ ผมเองยังไม่เข้าใจเลย ผมรู้สึกว่าพิพิธภัณฑ์เป็นพื้นที่ที่มีเรื่องเล่าอื่นๆ หรือถ้าเป็นพื้นที่ที่ให้เล่นได้ คนก็คงอยากไปมากกว่านี้

ทำไมที่ต่างประเทศคนถึงชอบเดินพิพิธภัณฑ์ เดินแกลเลอรีกันในเวลาว่าง แต่ดูที่ประเทศเราพิพิธภัณฑ์โคตรจะราชการเลย ไม่น่าเดิน รู้สึกว่ามีความขลัง จะเข้าใจคนในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งต้องไปดูพิพิธภัณฑ์ในเมืองนั้น แต่ตอนนี้ดูที่กรุงเทพฯ กับดูที่น่านคอนเซ็ปต์หรือของที่นำมาจัดแสดงก็ไม่ต่างกัน ผมอยากรู้เรื่องคน อยากรู้ว่าการใช้ชีวิตของมนุษย์เป็นยังไง ให้ผมไปตลาดยังรู้สึกง่ายกว่าไปพิพิธภัณฑ์อีก

 

interviews nandialogue

 

อยากรู้เรื่องคนไปทำไม

เชื่อว่าคนเราทำอะไร multifunction ได้มากกว่าที่ทำอยู่ อยากเป็นคนรวยที่มีเวลาในการเดินทางและอ่านหนังสือ ได้ทำงานหลายๆ แบบ ถ้าเป็นคนรวยคงทำไรได้มากกว่านี้ มีกำลังในการซื้อหนังสือ มีกำลังในการเดินทาง

เดินทางเพื่ออะไร

ไม่ได้รู้สึกแสวงหาอะไรหรือค้นหาอะไรสักอย่าง บางวันแค่ขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อให้สมองโล่ง ที่เดินทางทุกวันนี้แค่อยากไปดูไปเห็นว่าคนอื่นเขาใช้ชีวิตยังไงกัน

คนในวัยเดียวกันคิดทำเรื่องอะไรกันบ้าง

เพื่อนรอบตัวที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือก็จะพัฒนาตัวเองเตรียมไปเรียนต่อต่างประเทศ อีกกลุ่มที่เรียนโบราณคดีก็เลือกที่จะเป็นนักโบราณคดีทำงานในสายงานที่เรียนมา ส่วนเพื่อนสมัยมัธยมฯ ส่วนใหญ่ทำงานรับจ้าง เพื่อนผมหลายคนที่โตมาด้วยกันที่บ้านเกิดส่วนใหญ่มุ่งไปเป็นทหาร

ทำไมส่วนใหญ่เลือกไปเป็นทหาร

ตอนที่ผมใช้ชีวิตที่อุทัยฯ ก็ต้องการความมั่นคงเหมือนกัน ไม่มีโมเดลมากพอที่จะทำอาชีพแปลกๆ มันไม่มีแบบให้เห็น คนก็เลยอยากเป็นข้าราชการ เห็นว่ามันมีความมั่นคง ได้กลับมาทำงานที่บ้าน แต่พอผมได้ไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ เห็นอาชีพอื่นๆ ที่หลากหลายขึ้น อาชีพแปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินก็ได้ยิน คนแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน อย่างเมื่อวานคุยกับเพื่อนที่โตในอีสานก็ฟังเพลงอีสานของเขา ผมยังไม่เคยได้ยิน เพื่อนบางคนที่กรุงเทพฯ ก็ฟังเพลงแจ๊ส บางคนก็ฟังเพลงฝรั่ง ผมตามไม่ทันเพราะเรื่องรสนิยม ความชอบ ความถนัด หรือสิ่งแวดล้อมของแต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆ ที่กรุงเทพฯ คุยเรื่องวิชาการกันใน clubhouse ในขณะที่อยู่ที่น่านเพื่อนรอบตัวไม่มีใครเล่น clubhouse เลย

คิดว่าเป็นปัญหามั้ย

ผมที่ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัดจะใช้วิธีคุยกับเพื่อนที่อยู่กรุงเทพฯ เพื่ออัปเดตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่นั่นคุยเรื่องอะไรกัน ตอนอยู่กรุงเทพฯ บางครั้งก็ตกเทรนด์นะ ตามไม่ทันแต่ก็ยังถามยังคุยกับเพื่อนได้ว่าอะไรคืออะไร มีช่วงหนึ่งที่อยู่บ้านนานๆ ไม่เล่นเฟซบุ๊ก ไอจีเลย เพราะอ่านอะไรก็ toxic ไปหมด พอหยุดได้ก็เบาขึ้น

อยู่ที่น่าน สิ่งที่เสพก็เปลี่ยน ได้เจอคนมากขึ้น รู้สึกว่าการได้เจอคนตัวเป็นๆ ดีกว่าเจอในโซเชี่ยล ตั้งแต่ไหนแต่ไรผมเลือกดูข่าวที่ตัวเองสนใจมาตลอดอยู่แล้ว ชีวิตคนเราไม่ต้องสนใจเรื่องทุกเรื่อง

เป้าหมายชีวิตตอนนี้คืออะไร

อยากเดินทาง อยากมีตังค์เยอะๆ แล้วก็เที่ยว อยากไปเห็นที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่ที่ตัวเองเคยอยู่ เด็กรุ่นผมให้ความสำคัญกับการเดินทางหาประสบการณ์จากการได้เที่ยว สังคมไทยมันไม่ค่อยเอื้อให้คนได้เดินทางคนเดียว ถ้ามีตังค์เรียนต่อต่างประเทศได้ก็อยากเรียน.

 

nandialogue

 

nandialogue

เรื่องและภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น

You may also like...