เขาบอกปฏิเสธ เมื่อเราขอถ่ายรูปคู่กับบิ๊กไบค์ที่จอดอยู่ใต้ถุน
ภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของ คันที่สองแล้ว (คันแรกใช้ไปจนพัง) ราคาราวๆ สองแสน และพึงพอใจในบทบาทนักขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่เดินทางมาหลายพันหมื่นกิโลฯ แต่ไม่อยากอวด
อีกครั้ง–เราเดาผิด คิดว่านักเลงบิ๊กไบค์มักชอบแห่กันไปเป็นขบวน
เขาชอบบินเดี่ยว สไตล์สัตว์โทน เพราะจังหวะช้าเร็วบนซูเปอร์ไฮไวย์ต่างจากคนอื่น ไม่ชอบรอใคร และไม่สนุก เมื่อมีใครส่งสายตามาเตือนว่ารอคอย ขึ้นดอยเหยียบเป็นร้อย และชะลอหาที่จอดทันทีที่เจอแลนด์สเคปถูกใจ ใช่–เขาเป็นช่างภาพ
ควรระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าช่างภาพรับปริญญา ช่างภาพงานบวชงานแต่ง เอาเฉพาะงานแต่งก็ได้ เขาคุยว่าถ่ายมาไม่น้อยกว่าสองร้อยงาน
เลิกกันไปกี่คู่–ปากไม่ดีของเรายั่วล้อ
เขาหัวเราะและตอบว่าก็ไม่น้อย หลายคู่เพียงผ่านพรีเวดดิ้งไม่นาน โทรฯ มายกเลิก บอกไม่มีแล้วนะ งานต่งงานแต่ง เงินมัดจำยกประโยชน์ให้ช่างภาพรับไป–อาจจะถือว่าล้างซวย อะไรทำนองนั้น คนมันหมดอาลัยตายอยาก
หาเงินจากการรับจ้างถ่ายรูปรับปริญญาและงานแต่ง และทำในสิ่งที่รักคือขับรถเที่ยว ถ่ายรูป เดินป่า นอนเต็นท์ ไม่มีอะไรเกี่ยวเลยกับวิชาช่างกลที่ร่ำเรียนมา
หมง-ปกรณ์ สาริการินทร์ เกิดที่บ้านแก่นเหนือ อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ลาชั้นเรียนตอน ม.4 เพราะมองไม่เห็นโอกาสใดๆ นอกจากทำนา ตัดสินใจย้ายชีวิตไปกรุงเทพฯ เข้าเรียนช่างกลจนจบ ปวส. ทำงานโรงงาน เป็นช่างภาพ ตะลอนทัวร์ในกรุงเทพฯ และที่อื่นๆ นับเวลาได้ 10 ปี
ชีวิตในปีที่ 28 พบว่า ‘บ้าน’ คือเมืองแห่งโอกาส เขาคืนถิ่นมาทำ ‘นาหมงโฮมสเตย์’
นอกจากวิวทุ่งนาระดับห้าดาว เขาพูดเต็มเสียงแบบคนมั่นใจในตัวเองว่าเขานี่แหละคือจุดขาย มั่นใจ ไม่ใช่เย่อหยิ่งอวดเก่ง แม้เรียนไม่มาก ทว่าผ่านและพบมาไม่น้อย พลัดหลงไปอยู่แผ่นดินอื่นมานาน วันนี้มายืนบนผืนดินตัวเองและเป็นตัวเองจริงๆ ดูชื่อที่นาสิ นี่แหละนาของหมง อีกวิถีคนหนุ่มน่านกับก้าวใหม่ในธุรกิจบริการ
ทำไมเด็กบ้านนอกส่วนใหญ่ถึงต้องออกจากบ้านไปกรุงเทพฯ
มองย้อนกลับไป ธุรกิจมันไม่ได้เยอะขนาดนี้ โรงแรมน้อย งานที่น่านก็น้อย สิบปีก่อนทั้งจังหวัดมีห้างเดียว มีแต่ร้านชาวบ้านเล็กๆ ถ้าอยู่ที่บ้านคงไม่ได้มีงานให้เลือกมากเหมือนยุคนี้ เด็กรุ่นผมพอจบ ม.6 ทุกคนไปเรียนต่อ ไม่ก็ไปหางานต่างจังหวัด จะอยู่ที่บ้านได้ต้องรับข้าราชการ ไม่ก็ทำธุรกิจส่วนตัว ผมรู้สึกว่า การได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ไปอยู่กรุงเทพฯ น่าจะดีกว่า ถ้าเป็นข้าราชการคือต้องอยู่ที่บ้าน ผมไม่อยากอยู่บ้าน อยากเห็นโลกกว้าง โอกาสที่กรุงเทพฯ มีมากกว่า ทั้งงานและเงิน
เข้าไปกรุงเทพฯ ได้เจอโลกกว้างมั้ย
ผมเป็นคนบ้านนอก อยู่กับท้องไร่ท้องนา ไปกรุงเทพฯ ได้เจอเพื่อนที่มาจากหลากหลายพื้นที่ ช่วงเดือนแรก อะไรก็ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจไปหมด ได้เห็นโลกใบที่ไม่เคยเห็น ได้เห็นเมืองใหญ่
ที่บ้านว่ายังไงบ้าง
แค่อยากให้ผมมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องพึ่งพาเขา
ตอนเรียน ม.4 ผมเล่นบาสหนักมาก ไม่เข้าเรียนเลย ติดตัวเยาวชนจังหวัด ทุ่มเทกับมันมากเกินไป เป็นเด็กไม่คิดหน้าคิดหลัง สนุก การเรียนไม่เข้าหัว เล่นบาสดีกว่า ผลออกมาคือติดศูนย์ทุกวิชา ฉะนั้น อยู่บ้านยังไงก็ไม่รอด แม่คงจับทำไร่ทำนาซึ่งผมไม่เอา เลยขอออกไปที่อื่นก่อน ทิ้ง ม.4 เลย เลือกเรียนช่างกล ปวช.
สนใจอะไรในทางช่างกล
ไม่รู้ ผมก็มั่วไป เห็นว่าคนเรียนน้อย ได้ยินเขาบอกว่าไปต่อได้หลายทาง เลยตัดสินใจเรียน ปวช. จบแล้วต่อ ปวส. เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ไม่มีแผนการอนาคต คิดแค่ว่าจะหางานทำแล้วมีชีวิตไปวันๆ
ทำงานอะไร
เกี่ยวกับชิ้นส่วนเครื่องกล เป็นโรงงานไม่ใหญ่มาก ตอกบัตรเข้างานแปดโมง เลิกสี่โมงเย็น วันไหนมีโอทีก็เลิกงานสองทุ่ม บางทีทำต่อจนถึงสี่ทุ่ม มีหน้าที่คุมเครื่อง เช็กเครื่อง ดูความเรียบร้อยของระบบ ได้เงินมา ผมเก็บไปซื้อบิ๊กไบค์ ผ่อนเดือนละสองพันกว่าๆ 48 งวด วางดาวน์ไปหกเจ็ดหมื่น ที่บ้านเห็นว่าไม่มีรถใช้ ช่วยเหลือมาบ้างนิดหน่อย
อยู่กรุงเทพฯ ถ้ามีรถยนต์ก็เจอปัญหารถติด ใช้มอเตอร์ไซค์คล่องตัวกว่า เดินทางข้ามจังหวัดได้ ขี่ไปทำงานเสียค่าน้ำมันแค่อาทิตย์ละร้อยสองร้อย เพราะระยะทางไม่ไกล ขี่กลับมาบ้านที่น่านก็ได้ รถเมล์เป็นสิ่งเลวร้าย ยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วน ถ้าไปช้านิดเดียวต้องไปนั่งเบียด ยืนเบียด เลิกงานสองทุ่มแล้วรถเมล์หมด ต้องหาวินมอเตอร์ไซค์ หาแท็กซี่ มันไม่โอเค ทำโอที เลิกดึก
แล้วเรียนจบมั้ย
จบ ปวส. ทำงานไปสักพักรู้สึกว่าชีวิตเรามีแค่นี้เหรอ มีอย่างอื่นให้ทำมากกว่านี้หรือเปล่า ทำงานๆ ไป อยู่ในวัฏจักรตรงนั้น เบื่อ ผมเลยขอทำงานแค่จันทร์ถึงศุกร์ เสาร์อาทิตย์ขี่รถไปเขาใหญ่ ไปกาญจน์ ไปของเราคนเดียว เป็นวัยรุ่นช่างสงสัย อยากรู้อยากเห็นว่าที่นั่นที่นี่เป็นยังไง
ดูพันทิปว่ามีแหล่งท่องเที่ยวตรงไหนบ้าง ขี่รถออกไปเที่ยวรู้สึกว่าที่อื่นๆ น่าสนใจ ไปกางเต็นท์ ไปเดินป่า ไปเจอคนใหม่ๆ เห็นที่ไหนสวยๆ ก็แวะถ่ายรูป ช่วงนั้นเจอกระทู้ในพันทิปที่มีคนไปเที่ยวแล้วถ่ายรูปสวยๆ มาลง ผมอยากถ่ายรูปให้ได้อย่างเขาบ้าง เริ่มเรียนรู้เรื่องกล้อง ซื้อมือสองราคาถูกๆ ประมาณแปดพัน กะไว้เก็บบันทึกความทรงจำเวลาไปเที่ยว
งานก็ทำไปวันๆ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ทำไปเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ผมสนุกกับงานถ่ายรูปมากกว่าอยู่โรงงาน
เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นช่างภาพ ?
เฟสบุ๊กเริ่มเป็นที่นิยม ผมถ่ายรูปดีขึ้นเรื่อยๆ มีเพื่อนชวนไปเป็นช่างภาพถ่ายงานรับปริญญาน้องสาวของเขา ได้เงินมาประมาณสองพัน พบว่า การถ่ายรูปก็ทำเงินได้ พอรู้ก็เริ่มจริงจัง ผมมีงานถ่ายรูปเยอะขึ้นเรื่อยๆ ลางานบ่อย เริ่มมีปัญหากับหัวหน้า เลยขอลาออก จะได้ทำสิ่งที่ท้าทายมีความอยากที่จะทำ ก่อนลาออกจากงาน ผมไม่ทำโอเลย เลิกงานออกไปถ่ายรูป ขี่รถเล่น ไปอยุธยา หาโลเคชั่นทุ่งนา ดงต้นตาล ถ่ายพระอาทิตย์ตก เริ่มรักการถ่ายภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มถ่ายรูปจริงจังด้วยวิธีการยังไง
ดูยูทูปอย่างเดียวเลย ดูว่าเซ็ตค่ากล้องคืออะไร รูรับแสง สปีดชัตเตอร์ iso เป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องรู้ก่อน ผมฝึกถ่ายรูปด้วยการไปขี่รถเล่น ไปกางเต็นท์ เรียนรู้แล้วลอง ด้วยวิธีนี้อยู่ประมาณปีนึง เวลามีใครชวนถ่ายรูปก็ไป น้องเพื่อนหรือญาติใครรับปริญญาก็ไปถ่ายให้เขา ถ่ายเสร็จเขาก็เอารูปที่ผมถ่ายไปลงโซเชี่ยล เพื่อนๆ เห็น เขาก็แนะนำต่อ กลายเป็นว่าผมได้งานทำตลอด
การถ่ายรูปมันมีรายได้และคิดว่าต้องอัพเกรดตัวเองขึ้นมา จากที่ใช้กล้องราคาถูกก็กระโดดมาใช้กล้องประเภทฟูลเฟรม ซื้อเลนส์แพงๆ มาใช้ ค่อยๆ ซื้อทีละอย่าง
เสียค่าอุปกรณ์ที่อัปเกรดเพิ่มไปเท่าไหร่
สี่แสนน่าจะได้ ไฟ แฟลช เลนส์ บอดี้สองตัวฟูลเฟรมล้วนๆ รับงานได้แล้วผมต้องการคุณภาพ ต้องหาอุปกรณ์ที่มันช่วยให้ได้ภาพที่ดี ไม่ให้เกิดการผิดพลาด
งานจ็อบถ่ายรูปได้เงินเท่าไหร่
ช่วงแรกสองพัน เพิ่มเป็นห้าหกพัน พอออกจากโรงงาน งานถ่ายภาพก็มีมากขึ้น เดือนหนึ่งผมถ่ายอยู่ 20 กว่างาน งานละสี่ห้าพัน งานแต่ง งานบวช เยอะสุดคืองานรับปริญญา เคยพีคสุดๆ ซัดไป 30 งานในเดือนเดียว เช้าจ็อบนึง ตอนบ่ายบัณฑิตอีกคนออกจากห้องประชุม ก็รับอีกจ็อบ กลายเป็นว่าจากวันละห้าพัน กระโดดเป็นเก้าพัน เป็นหมื่นก็มี ผมเรียกว่าเป็นยุคทอง เพราะช่างภาพเมื่อก่อนมีน้อย
คนที่ไม่จบปริญญา แล้วต้องไปถ่ายงานรับปริญญา รู้สึกยังไง
สงสัยว่า มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ บางบ้านทุ่มทุกสิ่งอย่างให้ลูกหลาน เพื่อปริญญาใบนี้ ผมว่ามันไร้ค่ามาก เพราะสุดท้ายก็เป็นแค่กระดาษ ยุคนี้ยิ่งคนมีความสามารถ ปริญญาไม่จำเป็น พอผ่านงานรับปริญญามามาก เห็นภาพเดิมซ้ำๆ รู้สึกว่าก็แค่นั้น จะจบเกรดนิยมหรือได้เกรดดี ไม่สำคัญเลย สำคัญที่ว่าคุณอยู่กับชีวิตหรือสังคมข้างนอกได้หรือเปล่า วันหนึ่งถ้ามันไร้ค่าจริงๆ คุณก็ต้องทิ้ง เหมือนที่หลายๆ คนรอบตัวผมทิ้งมัน ไม่ใช่แค่ทิ้งใบปริญญานะ มันคือทิ้งความรู้ตรงนั้นไปเลย
ผมไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรืออยากได้ปริญญา เพราะผมหาเงินจากการทำงานส่งตัวเองได้ ความรู้ที่มีหาเงินได้ ไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญา ไม่สำคัญเลยสักนิด ผมมองว่าการศึกษาไทยผูกติดกับปริญญามากเกินไปจนลืมมองศักยภาพของเด็ก ทั้งๆ ที่เด็กมีความสามารถ แต่ใบปริญญากลับมาจำกัดความสามารถ เพื่อให้ได้งานตรงนั้นมากกว่า การศึกษาไทยมันไม่ตอบโจทย์ เกณฑ์การรับสมัครงานยิ่งไม่ตอบโจทย์ใหญ่เลย
ผมเห็นคนเก่งมาเยอะ บางคนไม่จบอะไรเลย แต่เขาประสบความสำเร็จ มันวัดกันที่การใช้ชีวิต ไม่ว่าคุณจะจบอะไรมา คุณใช้ชีวิตข้างนอกได้ดีและทำได้แค่ไหน แค่นั้นแหละ ผมเองไม่ได้จบอะไรเลย มาเป็นช่างภาพ เป็นเจ้าของโฮมสเตย์
ตอนเด็กเคยคิดไหมว่าอยากเป็นอะไร
เหมือนภาพจำในสังคมทั่วไป เพราะมันคิดมากว่านั้นไม่ได้ พ่อแม่ยุคก่อนอยากให้ลูกเป็นอะไรก็ได้ที่มั่นคง ถูกปลูกฝังให้คิด ตอนเด็กไม่รู้หรอกว่าจะเป็นอะไร ก็ว่าตามๆ กันไป ถ้ามีลูก ผมจะไม่ถามว่าอยากเป็นอะไร ผมจะถามว่าจะอยู่รอดมั้ยในโลกนี้ เพราะในอนาคตไม่รู้เลยว่าจะมีอาชีพอะไรอีก ทุกวันนี้มีอาชีพแปลกๆ มหาศาล ที่ทำๆ กันอยู่ก็อาชีพใหม่ทั้งนั้น โลกข้างนอกมีอะไรกว้างมากกว่ากรอบในรั้วโรงเรียนหรือในตำรา อย่าไปคาดหวังให้เขาเป็นอะไรเลยสำหรับผมนะ ผมแค่อยากบอกว่าอยู่ให้รอดนะลูก
ช่างภาพรับปริญญาก็อยู่ได้ ?
มันอยู่ที่ความชอบ ผมชอบเงิน ผมพูดเลย เพราะได้เงินเดือนๆ นึงเป็นแสน แต่ก็แสนสาหัสเรื่องร่างกายเหมือนกัน ถ้ารับงานถี่ๆ ไม่มีเวลาพัก
รับปริญญา เช่น งานที่จุฬาฯ ก็ต้องไปหาที่จอดรถแต่เช้า ต่อให้เป็นมอเตอร์ไซค์ก็เถอะ ไปช้า มันไม่มีที่จอด คนเป็นล้าน ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จะไปจอดสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้ ไปถึงหน้างาน ถ้าบัณฑิตคนไหนอยากถ่ายรูป ก็จะมารอเช้ามากๆ แทนที่ไปถึงเราจะได้กินข้าว ก็ต้องถ่ายเลย พาไปถ่ายมุมนั้นมุมนี้ คิดท่าทางให้ เจอเพื่อนถ่ายคู่กับเพื่อน ไปถ่ายกับอาจารย์ บางทีต้องเดินจากหัวจุฬาฯ ไปท้ายจุฬาฯ โคตรไกล ก็ต้องไปเพราะมันเป็นงาน ช่วงสวรรค์ที่สุดคือช่วงบัณฑิตเข้าหอประชุม ถึงจะได้กินข้าว
เดินทั้งวัน แบกของเต็มกระเป๋า กล้องสะพายสองตัว มีกระเป๋าข้างใส่เลนส์ บางทีถือน้ำ ถือดอกไม้ให้บัณฑิตอีก บางคนไม่มีญาติมา แต่มีเพื่อนเอาของขวัญมาให้ เราก็ต้องหาถุงมาใส่หอบหิ้วพร้อมถ่ายรูปไปด้วย ถ่ายงานวันหนึ่ง 500-600 รูป งานไม่ได้จบแค่ตอนกดถ่าย ต้องมาแต่งรูป ส่งช้าโดนกดดันโดนทวงรูป บัณฑิตอยากได้รูปเร็วเพื่อเอาไปลงในโซเชียล อารมณ์ขอบคุณคนที่มาร่วมยินดี บางทีผมจะส่งไปก่อนสัก 10 รูป เขาจะได้ไม่ต้องมาทวง ถ่ายวันละสองคน คนละ 600 รูป รวมกันก็ 1,200 รูป ผมจะเลือกแล้วส่งประมาณสัก 300-400 รูป มุมซ้ำๆ ย้ำๆ ก็คัดทิ้ง ชีวิตเหมือนลูปนรก
ตอนทำงานแรกๆ เหมือนพนักงานใหม่ ไฟแรง อยากถ่าย ถ่ายทีเป็นพันรูป อยากได้เงิน ทำเต็มที่ เราประเคนให้เลย มีมุมไหนอยากถ่ายพาไปถ่าย พอเข้าปีที่สองก็ถ่าย ถ่าย ถ่าย ปีที่สามคือ ถ้าเขาไม่เรียกไปถ่ายจะอยู่เฉยๆ ถ่ายเฉพาะที่เป็นมุมมหาชน เอาแบบที่เขาต้องการพอ น้ำๆ โยนทิ้ง เหลือแต่เนื้ออย่างเดียว ทำงานมากเข้าไฟในตัวก็เริ่มหมดลง พอดีกับที่ตลาดช่างภาพรับปริญญาแน่นขึ้น ย้ายมาถ่ายงานแต่ง ก็มีเรื่องตัดราคาอีก ตัดกันทุกวงการ
หมดไฟเพราะทำงานเยอะ ?
ถึงจุดที่พีคประมาณ 2 ปี เข้าปีที่ 3 ของการเป็นช่างภาพเต็มตัว มาเจอยุคเปลี่ยนผ่าน เหมือนเส้นกราฟเป็นยอดเขาขึ้นไปถึงจุดสุดแล้วเริ่มลงเป็นยุคตกต่ำ การมาถึงของซูเปอร์สมาร์ทโฟน ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ การมาถึงของซอฟแวร์ ของกล้อง mirrorless กล้องราคาถูก ทำให้พฤติกรรมของคนทำงานค่อยๆ เปลี่ยนไป บวกการเกิดขึ้นของช่างภาพรุ่นใหม่ๆ ด้วย คนจบปริญญาเยอะก็จริง แต่ช่างภาพมีมากขึ้น ตัดราคาเยอะ จากเคยมี 20-30 งาน ลดเหลือ 10 กว่างาน บางเดือนเหลือ 5 กลายเป็นว่า ช่างภาพควรจะช่วยกันผลักดันให้มาตรฐานราคาและงานดีขึ้น กลับฉุดให้ต่ำลง แข่งกันกดราคา แย่งงานกัน ผมลดได้สูงสุดคือ 500 บาท จาก 5,000 เหลือ 4,500 ต่ำกว่านั้นไม่ไหวจริงๆ กล้องราคาเป็นแสน
พอเริ่มเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลง ปรับตัวหรือรับมือยังไง
งานที่ทำอยู่เริ่มไม่มั่นคง คำถามตอนนั้นคือจะทำอะไร ถ่ายรูปอยู่ในวงการที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้จะทำได้อยู่ไหม จะทำวิดีโอ ทำโฮมสตูดิโอ รู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป เป็นจุดที่ต้องยอมรับว่ามันเป็นการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี เราต้องปรับตัว ถ้าปรับไม่ได้ก็หนีไปทำอย่างอื่น ใครอยากอยู่ก็อยู่ ผมไม่อยู่แล้ว
ช่วงที่รับงานถ่ายภาพน้อยลง ผมมีเวลามากขึ้น ผมทดลองใช้ชีวิต ได้เที่ยวมากขึ้น เริ่มเดินป่าและได้เจออีกงานคือเป็นคนจัดทริปเดินป่า สมมติจะขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ค่ารถที่พาขึ้นแพงมาก ถ้าไปคนเดียว ไปกลับสามพันบาท จะทำยังไงได้บ้างเพื่อลดค่าใช้จ่าย ก็ต้องแชร์กัน ในเฟซบุ๊กมันจะมีกลุ่มหารเฉลี่ยจัดทริปเดินป่า ผมไปประกาศเลยว่า มีแพลนจะขึ้นเชียงดาว วันเวลาดังนี้ มีใครสนใจมาจอยทริปกันมั้ย ผมหารทุกคน ยกเว้นตัวเอง เพราะมีหน้าที่ประสานรถ ประสานเจ้าหน้าที่ ทำกับข้าว พาไปดูพระอาทิตย์ตก หาที่พัก ประสานเรื่องต่างๆ กับทุกๆ ฝ่าย ผมมีสกิลจากการเป็นช่างภาพ เจอคนเยอะ เข้าหาคนง่าย ผมรักงานบริการ เลยทำไปควบคู่กับการเป็นช่างภาพด้วย ทำได้ประมาณ 10 ครั้ง ไปเชียงดาว ม่อนจอง ไปดอยหลวงตาก และอีกหลายๆ ที่ มีครั้งนึงเมื่อสามสี่ปีที่แล้วการท่องเที่ยวน่านเริ่มมากขึ้น ผมเคยจัดทริปเดินป่ามาที่สวนยาหลวง บ้านสันเจริญ พานักท่องเที่ยวกลุ่มแรกๆ เข้า เป็นคนวางระบบดูแลจัดการ ทำให้เกิดการท่องเที่ยวที่สวนยาหลวง
พี่ที่ทำการท่องเที่ยวที่สวนยาหลวงชวนผมทำโฮมสเตย์ที่นั่น ผมสนใจ เขาก็ไปบอกกับคนในชุมชนว่าจะมีผมเข้าไปร่วมด้วย ชาวบ้านเชิญผมเข้าร่วมประชุม ที่บ้านสันเจริญเป็นคนเผ่าเมียนทั้งหมด เขาทำประชาคมกันว่าจะยอมให้สร้างตรงที่นี้มั้ย ชาวบ้านยกมือคัดค้านทุกคนเพราะผมเป็นคนนอกเผ่า คนนอกชุมชน เขารับไม่ได้ที่คนนอกจะเข้ามา ถ้าจะทำก็ขอให้เป็นคนในชุมชม ผมรู้สึกผิดหวัง ก็กลับมาบ้านพักผ่อนเตรียมกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ต่อ
ผมมานั่งนึกว่าแม่ก็พอมีที่ทาง วันแรกที่ผมมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกตรงนี้ (นาหมงโฮมสเตย์) ก็คิดว่ามันใช่ที่ของเราหรือเปล่า แม่บอกว่าใช่ ในเมื่อตั้งใจจะทำโฮมสเตย์แล้วทำไมไม่ทำในที่ของเราเองเลยล่ะ ก็เริ่มจุดประกายแนวคิดจนกลายมาเป็นที่นี่ เริ่มก่อสร้างปี 2562 ตอนเริ่มต้นทำ ผมยังต้องลงไปถ่ายงานที่กรุงเทพฯ อยู่บ้าง ตั้งใจเก็บเงินสักก้อนนึง จากนั้นไม่นานก็คิดว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว
ทุกวันนี้ยังเรียกตัวเองว่าเป็นช่างภาพอยู่มั้ย
ถือว่าจบไปแล้ว ทุกวันนี้เป็นเจ้าของโฮมสเตย์เล็กๆ กลางทุ่งนา เป็นแค่ไอ้หมง น้องหมง กลับมาเป็นตัวเองที่มีความสุขดีกว่า อยู่กับการคาดหวังของคนมากเกินพอแล้ว กลับมาเป็นเราดีกว่า ในวงการถ่ายรูป ผมถือว่าตัวเองเป็นคนที่มีชื่อเสียงประมาณหนึ่ง เคยได้ถ้วยรางวัลมาเยอะพอสมควร เป็นดาวรุ่ง เป็นคนยุคใหม่ที่จับกล้องแล้วโดดเด่น โดยเฉพาะในสายแลนด์สเคป พอมามีชีวิตแบบนี้ ในวงการใครจะเป็นยังไงผมไม่สนเลย เพราะผมเคยไปอยู่บนยอดเขามาแล้ว ตอนปีนมีอุปสรรคมากมายให้ต้องแข่งขัน แต่พอไปถึงยอดเขาพบว่ามันไม่มีอะไร ไม่รู้จะปีนยอดเขาต่อไปทำไม
กว่าจะทำโฮมสเตย์ได้ต้องคุยกับที่บ้านยังไงบ้าง
เขาไม่เข้าใจหรอกว่าโฮมสเตย์คืออะไร ทำแบบไหน ทำแล้วใครจะมาเที่ยว ทะเลาะกันมาก เขาไม่อยากให้ผมกลับมาบ้าน เพราะกลัวไปไม่รอด
เมืองน่านปี 2562 เริ่มมีโฮมสเตย์ดังๆ อย่างบ้านไทลื้อ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ โรงเรียนชาวนา ผมพาพ่อแม่ไปดูตอนที่คนกำลังเริ่มเยอะ แกเห็นก็ถามว่าคนมาขนาดนี้เลยเหรอ มาจากไหนกัน พอกลับมาดูที่ของเราเลยคิดว่าน่าจะทำได้ มีพระอาทิตย์ขึ้นตรงนั้น พระอาทิตย์ตกตรงนู้น กลางคืนมีดาว เรามีบรรยากาศคล้ายๆ ทางปัว บ่อเกลือ และมันใกล้เมือง ตอนแรกกลัวจะไปไม่รอดเหมือนกัน เพราะไม่เคยทำ อยู่ดีๆ มีโฮมสเตย์แบบนี้ผุดอยู่ที่เดียวโดดๆ แต่เคยไปอยู่กรุงเทพฯ มา มีคนรู้จักเยอะ อาศัยคนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยประชาสัมพันธ์ ค่อยๆ ทำตลาดในเมืองน่าน ทำแฟนเพจ ผมถ่ายรูปได้ เป็นข้อได้เปรียบตรงที่ไม่ต้องไปจ้างใคร ครีเอท เซ็ตทุกอย่างได้ ถือว่าเริ่มต้นก็ประสบความสำเร็จมาก เปิดสิงหาฯ ปีที่แล้ว จนถึงเดือนมกราฯ แล้วก็โดนประกาศปิด
พอสะดุดแล้วเป็นยังไง
ได้แต่หวังว่าทุกอย่างมันจะกลับมาเป็นปกติสักที แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ ถ้าบริหารจัดการดี วัคซีนทั่วถึง วงเล็บที่ดีด้วยนะ ทุกคนคงไม่ต้องมานั่งแหง็กอยู่ตรงนี้ ถ้าบริหารดี ไม่มีใครมาด่าคุณหรอก แต่เพราะเป็นแบบนี้ คนเขาถึงต้องด่า เพราะโดยเนื้อแท้เราควรเป็นเจ้านายรัฐ แต่ยุคนี้รัฐมันกลายเป็นเจ้านายเราได้ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งอาจจะมาจากความไม่ชอบมาพากลหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะรัฐประหาร
ทำธุรกิจแล้วแสดงความคิดเห็นทางการเมือง คุณไม่กลัวมีปัญหาเหรอ
เป็นสิทธิเสรีภาพของผม ไม่มีใครมาบงการหรือบังคับได้ ยิ่งตอนนี้ การเป็นคนต่างจังหวัดมันอยู่กับข้อมูลข่าวสารหลายๆ ทาง ซึ่งจริงบ้างไม่จริงบ้าง คนแก่ๆ หรือคนรุ่นเก่าๆ กลัวอำนาจนี้มาก แต่ก็เพราะแบบนั้นผมคิดว่าถึงต้องแสดงจุดยืนให้มากๆ ถ้าไม่พูดเลย มันก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ไม่รู้สิ ผมแค่รู้สึกว่าอยู่ไกลปืนเที่ยง เป็นคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ได้มีอิมแพคที่สั่นคลอนอะไรเหมือนที่หลายๆ คนทำได้ แต่ก็เป็นพื้นที่ของผมที่พอจะแสดงออกได้ เหมือนเติมเชื้อไฟให้ทุกอย่างเบ่งบาน กงล้อแห่งเวลาจะบดขยี้ทุกสิ่งอย่างที่คนบางกลุ่มพยายามรักษาไว้ เวลามันหยุดไม่ได้ หยุดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ โลกมีแต่หมุนต่อไปข้างหน้า คุณไม่มีทางหยุดกระแสเวลาได้หรอก
ผมวิพากษ์วิจารณ์ในพื้นที่ของผม ไม่ได้ใช้แฟนเพจที่เป็นฐานลูกค้า ระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับธุรกิจแยกกันชัดเจน ผมเป็นพ่อค้า ใครอยากมา เราก็ต้องรับ ไม่ว่าเขาคิดยังไง มองยังไง สุดท้ายก็คือลูกค้า แต่คุณอย่ามาก้าวก่ายความคิดของผม เพราะเราต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผมไม่ได้อยู่ในขบวนการต่อสู้ที่กรุงเทพฯ แต่นานๆ สะดวกก็โอนเงินไปช่วย
แปลว่าก็ติดตามข่าวอยู่ ?
ผมรู้ทุกอย่าง ผมตามข่าวตลอด เพราะมันมีผลกระทบกับเรา ได้ช่วยนิดๆ หน่อยๆ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ผมก็คงไปร่วม ไม่อยู่เฉยๆ แน่นอน
เสพข่าวสารจากตรงไหน
สื่อโซเชียล สำนักข่าว กลุ่มพูดคุย จากคอมเมนต์ เอามาวิเคราะห์
สำนักไหนที่ดูบ่อย
the standard, the matter, ไทยรัฐ, วิวาทะ v.2, อาจารย์ปวิน, อาจารย์สมศักดิ์ ก็เข้าไปดู กลุ่ม รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส, หนังฝังมุข, ผมจะดูกว้างๆ ดูทิศทางของสังคมจากหลายๆ ที่
เพื่อนที่น่านมีวงสนทนาเรื่องพวกนี้มั้ย
มี เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เท่าที่รู้จัก คนรุ่นนี้ส่วนใหญ่ความเห็นก็จะคล้ายๆ กัน เว้นแต่บางคนที่ยังได้ผลประโยชน์ ก็ยังจะเกาะอยู่ กับคนที่โดนล้างสมองแหละมั้ง
ไปรู้จักชื่อสมศักดิ์จากไหน
ก็พวกธรรมศาสตร์ ผมไปถ่ายรูป ถ่ายไปก็ฟังเขาคุยกันไปด้วย ก็เลยรู้จักคนประเภทที่เขาต่อสู้ ลองไปศึกษาดู ผมสงสัยอะไรพวกนี้มานาน พอได้ตามดูก็ยิ่งรู้ว่า อ๋อ สิ่งที่เราสงสัยหรือสมมติฐานที่คิดๆ ไว้ มันมีมูล ผมเป็นพวกชอบการเปลี่ยนแปลง กระโดดมาเป็นตรงนั้น แล้วก็โผล่มาเป็นตรงนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่รับการเปลี่ยนแปลงได้ ผมคงไม่มีชีวิตที่ contrast แบบนี้หรอก
การเปลี่ยนแปลงมีหลายแบบ เปลี่ยนแล้วเสียประโยชน์กับเปลี่ยนแล้วได้ประโยชน์ จะรับมันได้หรือเปล่า วันหนึ่งรอบโฮมสเตย์ผมอาจจะกลายเป็นหมู่บ้านไปหมดก็ได้ ไม่มีทุ่งนา ผมอาจไม่ได้ทำโฮมสเตย์อีก มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลง เป็นราคาที่ต้องจ่าย หรือชาวบ้านอยากได้วิวสวยๆ เขามาสร้างบ้านแถวนี้ ผมก็ต้องยอมรับ เพียงแต่ว่าเราจะอยู่กับการเปลี่ยนแปลงยังไง เพราะสุดท้ายวันหนึ่งผมต้องแก่ มีครอบครัวมีลูก ทุกอย่างเป็นการเปลี่ยนแปลงหมด
คิดว่าจะทำโฮมสเตย์อีกสักกี่ปี
10 ปี เต็มที่เลยนะ คิดไว้ตั้งแต่เริ่มทำแล้วว่าทุกธุรกิจ ทุกสิ่งทุกอย่างมีอายุขัยของมัน ผมเคยไปถ่ายรูปในงานสัมนาวิชาการ ถ่ายไปฟังไป วันนั้นคนที่มาพูดคือ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เขาบอกว่าทุกธุรกิจทำเต็มที่คือ 10 ปี ถ้า 10 ปี คุณไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่หมุนตามโลกเลย คุณจะตาย แต่ถ้าคุณคิดถึงวันตาย คุณจะมองเห็นทางไปต่อของธุรกิจ ผมว่าจริงนะ โอ้โฮ มาถ่ายงาน ได้ตังค์ ได้แนวคิด โคตรคุ้มเลย
มีภาพหรือแผนสำรองมั้ย
ยัง เพราะอีก 10 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ อาจจะมีภาวะโลกร้อน แถวนี้เป็นทะเลทรายไปแล้ว มันไม่มีอะไรแน่นอน เพียงแต่ต้องยอมรับและหาทางรับมือมันไป ปวดหัวดีนะ เป็นสีสันความสนุกของชีวิตที่ไม่รู้จะเจออะไรข้างหน้าอีกบ้าง
ทนได้อีกสักแค่ไหน ถ้ายังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวมาพักได้
ผมคิดเผื่อไว้ว่าอีกปีนึง นับจากวันนี้ไปจนถึงกันยาฯ ปีหน้า ระหว่างรอ ผมพูดได้อย่างไม่อายฟ้าอายปาก ผมเกาะที่บ้านกิน ที่บ้านยังให้เกาะได้อยู่ ค่าใช้จ่ายที่นี่ไม่สูงมาก กรีดยาง ถ้าราคาไม่แย่มากก็ถือว่าอยู่ได้ ข้าวก็มี ไม่ต้องซื้อ ซื้อแค่ไก่ หมู ก็อยู่ของเราไป
ถ้าไม่มีโควิด ผมคิดว่าสักสองสามปีก็คืนทุนแล้ว เราลงแค่หลักแสน ไม่ได้กู้เงินมาทำ ใช้เงินเย็นล้วนๆ ผมเลยอยู่ได้อย่างเย็นๆ ไม่อย่างนั้นคงนอนตีนก่ายหน้าผาก
วันๆ นั่งมองห้องพักว่างเปล่า ใจไม่สลายเหรอ
สลายสิครับ ตั้งใจทำเพื่อให้คนเข้ามา แต่ไม่มีคนเข้ามา มันก็ห่อเหี่ยวเป็นธรรมดา วันไหนเบื่อๆ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์เล่น ไปหาพี่ที่รู้จัก นั่งคุยกัน ถือเป็นการบำบัดจิตใจ เพราะอยู่คนเดียว บางทีก็แย่เหมือนกัน ยิ่งแย่มากๆ เวลาลูกค้าโทรฯ มาสี่สิบห้าสิบสาย ไหนจะข้อความในเพจอีก แต่รับใครไม่ได้เลยสักคน เงินอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ต้องปัดออกไป
ตอนคนมาเยอะๆ ชาวบ้านเขามองแบบมีความไม่เข้าใจบ้างมั้ย
เคยโดนป้าๆ ร้านของชำถามว่าทำอะไร ผมก็บอกว่าสร้างโฮมสเตย์ เขาก็ว่า ทำไมไม่ไปสร้างที่ปัว ที่บ่อเกลือ ทำตรงนี้แล้วจะมีคนมาเหรอ ใครจะมาพัก ผมบอก ป้าคอยดู เดี๋ยวก็รู้ ผมพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่ามันมีคนมาเยอะจริงๆ ถึงขนาดที่ว่าชาวบ้านขับรถผ่าน ต้องหยุดดู
เราอยู่เป็นเอกเทศ ไม่ได้ใกล้ชุมชม ผมคิดอยู่แล้วว่าการทำที่นี่ ต่อให้เสียงดังยังไง ก็หนวกหูผมคนเดียว มันไกลชุมชนมั้ย ก็ไม่ แต่ถามว่าใกล้กับใครมั้ย ก็ไม่ ไม่มีผลกระทบกับใครเลย ผมยังไม่เคยเจอใครมาต่อว่า
ถ้าวันหนึ่งธุรกิจไปต่อไม่ได้ ต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ จะไปมั้ย
ผมไม่มีเหตุผลต้องกลับไป เพราะทิ้งทุกอย่าง ทิ้งชีวิตกลับมาเริ่มต้นตรงนี้ กลับมาเป็นชีวิตในแบบที่เราควบคุมได้ แบบที่อยากเป็นจริงๆ ผมมีความคิดว่า ผมจะอยู่และตายที่นี่ ไม่ไปที่อื่นแล้ว มันเป็นที่ที่ผมอยากกลับมา ไม่ว่าคุณเดินทางไกลแค่ไหน ยังไงคุณต้องกลับบ้าน มันเป็นบ้านของหัวใจ ไม่ใช่อารมณ์รักษ์บ้านเกิดหรอก สำหรับผม เป็นที่ที่อยู่แล้วสบายใจ อยากกลับมา ตอนอยู่บ้านมองไม่เห็นโอกาสอะไร ต้องออกไปให้รู้ ออกไปเห็น ออกไปมากๆ เข้าถึงได้เห็นความหมายของคำว่าบ้าน
หมู่บ้านนี้หรือหมู่บ้านหลายๆ ที่ในจังหวัด แทบจะทั้งประเทศ เจอปัญหาเดียวกัน ทุกวันนี้มีแต่คนแก่ ไม่มีคนหนุ่มสาวอยู่ เขาออกไปขุดทองหาโอกาสที่เมืองใหญ่เหมือนที่ผมเคยไป เพราะทุกคนมองว่าที่บ้านมันไม่มีอะไร ฉันอยู่ ฉันจะต้องทำนา ทำไร่ ทำสวนยางซึ่งเด็กยุคนี้มันไม่เอากันแล้ว จะให้เป็นชาวนา ไม่เอาหรอก แต่ผมเป็นคนที่กลับมาหาโอกาส เพราะเห็นโอกาสที่นี่ ไปเห็นโอกาสที่อื่นมาเยอะแล้ว
ผมมองว่าระยะเวลาไม่สำคัญ จะออกไปที่อื่นกี่ปี คำถามคือคุณมองเห็นโอกาสหรือเปล่า อยู่ที่ว่าใครเห็นโอกาสและกลับมา เมืองน่านยังมีโอกาสอีกเยอะ
คุณเห็นโอกาสอะไรบ้าง
อาชีพที่เป็นไปได้อีกมาก เช่น ขับรถรับส่งตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ เชียงใหม่มีรถแดง อยากไปดอยสุเทพ มีไปส่งถึงที่เลย แต่อยู่น่านจะทำยังไง ถ้าถึงสนามบินแล้วจะไปสะปัน แค่วัดพระธาตุแช่แห้งยังคิดหนักเลย ทุกวันนี้เริ่มมี grab แต่ยังน้อย อีกอาชีพที่ขาดสำหรับผมนะ เกี่ยวกับ local food เมืองน่านหายากมาก เจ้าดังๆ มีอยู่สามที่ได้มั้ง ที่เป็นอาหารพื้นบ้าน ไม่ใช่แนวผสมผสาน ทั้งๆ ที่เมืองน่านยังมีศักยภาพเรื่องอาหารอีกมาก มาเมืองน่านต้องมากินข้าวซอย ข้าวซอยไปกินเชียงใหม่ก็ได้ อยู่กรุงเทพฯ ก็กินได้ แต่อย่างมะแขว่น แทนที่จะส่งเสริม คนน่านกินกันทุกคน เป็นอาหารประจำถิ่น คนเมืองอื่นไม่รู้ อีกอาชีพคือไกด์ชาวบ้าน ถามว่ามีบ้างมั้ย มันก็มี แต่ไม่ครอบคลุม ทุกคนดูจากบล็อกเกอร์ ดูจากเพจท่องเที่ยว ไปแต่ที่เดิมๆ ซ้ำๆ ทั้งที่ยังมีส่วนอื่นอีกมาก
ปัญหาที่เมืองน่านต้องเจอแน่นอนคือสังคมผู้สูงอายุ ขาดอาชีพดูแลผู้สูงอายุ ขาดพยาบาล ก็เกิดเป็นธุรกิจได้อีก หรืออย่างธุรกิจนวด ก็ยังขาดมากๆ ที่เป็นร้านนวดแท้ๆ คุณต้องมามอง ต้องมาเห็น ต้องมาอยู่ถึงจะรู้ ไม่ใช่เห็นคนเปิดร้านกาแฟสวยๆ อยากมีบ้างจังเลย ตอนนี้ที่น่านร้านกาแฟเยอะกว่าคนกินกาแฟอีก นึกอะไรไม่ออกก็เปิดคาเฟ่ มันก็เจ๊ง
มาอยู่ตรงนี้จะเห็นสิ่งที่มันขาดเยอะมาก แต่ถ้าคุณไม่เห็นก็คือไม่เห็น ผมทำโฮมสเตย์ มองว่ามันเป็นไปได้ ซึ่งเป็นไปได้จริงๆ เพราะก่อนมาทำผมสำรวจแล้วว่าทั้งอำเภอมีโฮมสเตย์อยู่กี่ที่ ไม่นับในเมืองนะ อำเภอภูเพียงมีน้อยมาก พักที่นี่ คุณขับรถไปเที่ยวถนนคนเดินได้ ฟีลตอนเช้าเจอหมอก เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย
คนรุ่นๆ เดียวกันกับคุณมองเห็นโอกาสแบบนี้เยอะมั้ย
น่านเป็นเมืองแห่งโอกาส เหมือนตอนที่เชียงใหม่กำลังจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยว มันยังขาดหลายๆ ส่วน ซึ่งเอาแค่คนรุ่นผมอย่างเดียวนะ หลายคนอยากกลับมา แต่มองไม่เห็น ไม่เข้าใจว่าหลักการหรืออะไรพวกนี้ทำยังไง ผมถึงบอกว่าถ้าอยากเห็นโอกาส คุณต้องกลับมาหาโอกาส ไม่ใช่นั่งเทียนนึกจากการไถเฟซบุ๊ก ถ้าคุณไม่มาเห็นเอง ก็ไม่มีทางเห็นหรอก
คนรุ่นผม ยุคผม ที่ยังอยู่เมืองน่าน ส่วนมากเป็นข้าราชการแทบจะ 80-90% ไม่ว่า ครู พยาบาล ทหาร หรือข้าราชการพลเรือนที่อยู่ศาลากลาง ไม่ก็เป็นลูกจ้างข้าราชการเยอะมาก แต่คนที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจยังมีน้อย พวกเริ่มต้นใหม่นะ ส่วนคนที่รับมรดกจากรุ่นพ่อแม่มาสืบสานเสริมต่อเป็นอีกกรณีหนึ่ง หลายคนออกไปอยู่เชียงใหม่ อยู่กรุงเทพฯ แล้วเป็นไงตอนนี้กลายเป็นว่าเมืองน่านมีแต่เด็กน้อยกับคนแก่ คุณต้องดูว่าบ้านคุณมีดีอะไร จะมองมุมไหน ทำธุรกิจอะไร คนรุ่นผมหรือรุ่นไหน ที่มองไม่เห็นก็เพราะเขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ เขี่ยแต่โทรศัพท์ ยังไงก็คิดไม่ออก.
nandialogue
เรื่องและภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น
ภาพเขียน: สุมาลี เอกชนนิยม