จากสกลนคร ‘แหม่ม-ช่อทิพย์ วังซ้าย’ เข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 13 ปี ถือโอกาสได้เรียนด้วย ทำงานไปด้วย พอมีเงินส่งให้ที่บ้าน ทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กและแม่บ้านในบ้านของคนจีนได้ 11 ปี ทำงานดีจนนายจ้างต้องการให้อยู่ต่อ ถึงขนาดติดต่อหาที่เรียนให้ลูกชายไว้ให้แล้ว แต่แฟนของช่อทิพย์เห็นว่าเป็นการผูกมัดเกินไป ประจวบกับได้มาดูแลแม่ของแฟนที่จังหวัดน่านพอดี จึงเป็นโอกาสให้ได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่หมู่บ้านมณเฑียร จับพลัดจับผลูได้รู้จักกับคุณยายหลั่ยและครูต้อม (ชโลมใจ ชยพันธนาการ) จึงได้กลายมาเป็นแม่บ้านที่ ห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ ตั้งแต่ปี 2011 จากวันนั้นถึงวันนี้ก็นับว่าเห็นหน้ากันมาเกินทศวรรษ
นี่เป็นบทสัมภาษณ์ส่งท้ายก่อนที่เธอจะขอยุติบทบาทอาชีพแม่บ้าน ออกไปดูแลสามีที่กรุงเทพฯ และแม่ที่สกลนคร
ปกติทำงานตั้งแต่กี่โมง ?
11 โมงครึ่ง เป็นบางวัน ถ้าแขกกลับช้าและคุณครูไม่อยู่และคุณครูบอกไว้ อันนั้นเราอาจจะกลับช้า วันไหนถ้าเสร็จเร็วบางทีเลิกงาน 4 โมงครึ่งก็มี บางวันก็ 5-6 โมง คือเวลากลับจะไม่เท่ากันเลยแต่ละวัน แต่เวลาที่เรามาทำงานคือ 11 ครึ่งโมง หรือถ้าวันไหนที่ไม่มีแขกจะเลทไปเกือบเที่ยง เพราะบางครั้งเราอาจจะมีธุระข้างนอก ไปนู่นไปนี่บ้าง
ไม่มีวันหยุด ?
ใช่, มาทำงาน 11 โมงครึ่ง แต่ถ้าป่วยเราก็หยุด สมมุติเราไม่สบายจริงๆ ถ้าวันไหนไม่มีแขก เราก็โทรฯ บอกคุณครู มีอยู่ครั้งนึงที่อาหารเป็นพิษ มาไม่ได้ อ้วก หมดแรง กินข้าวกลางวันนี่แหละ กำลังจะมาทำงาน แล้วอยู่ดีๆ มันเหมือนจะเป็นลม ทั้งอ้วกทั้งถ่าย ก็เลยไม่ได้มาทำงาน ..น้อยมากที่จะไม่สบาย
แต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง
ทำความสะอาดห้อง ปัดกวาดเช็ดถูทั่วๆ ไป ล้างห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าปูที่นอน เตรียมห้องให้แขก ต้องทำให้เรียบร้อย
ไม่มีรังเกียจเหรอ งานทำความสะอาด บ้านก็ไม่ใช่บ้านเรา ?
ไม่นะ คือเราได้ทำตรงนี้แล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้มันดี เหมือนกับการเลี้ยงลูก เรามีลูกแล้วเราก็ต้องเป็นแม่ที่ดีให้กับลูกๆ ถามว่ารังเกียจไหม ไม่เลยนะ เพราะที่บ้านก็ทำประจำอยู่แล้ว เหมือนเราทำงานบ้าน
ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นใคร
มีทุกแนว มีทั้งครอบครัว มีทั้งมาเดี่ยว มาคู่ด้วย คนไทย ต่างชาติ ส่วนมากคนไทย เขาจะมาเป็นครอบครัวมากขึ้น เป็นวัยรุ่นวัยทำงานก็เยอะ วัยกลางๆ คน 20-65 มาคนเดียวก็มี
ที่มาคนเดียวอายุน้อยสุดเท่าไหร่
ประมาณ 17-18 ก็มี นอกนั้นก็ยี่สิบขึ้น เพราะบางครั้งเราจะถามเขาเลยว่าหนูชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เราทักเขา เราถึงได้รู้ว่าคนอายุประมาณนี้ๆ
มีลูกค้าที่ประทับใจเป็นพิเศษไหม
น้องกวาง เค้าเคยมาพักเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ กับน้องแอ๊ว เวลาฝนตกน้องเขาก็ช่วยเก็บผ้า น้องกวางเขาเป็นนักเขียน ก็จะมีหนังสือของเขาที่นี่ด้วย น้องกวางเขาจะได้นอนทุกห้อง ได้สัมผัสทุกห้อง สมมุติน้องจองมาห้องสอง ถ้าพรุ่งนี้มีแขกห้องสอง น้องก็จะย้ายไปห้องสาม สลับไปสลับมา
ความต่างของลูกค้าแต่ละประเทศ ?
มีบ้าง ส่วนมากถ้าเรื่องเสียงดังก็จะมีโซนเกาหลี สาวเกาหลี เวลาคุยกันจะเสียงดัง เขาจะมาเป็นแก๊ง ส่วนมากนะ คนไทยไม่ค่อยเท่าไหร่ อยู่ที่นี่เราจะบอกเขาเลยว่าไม่ใช้เสียงเกินเวลาเท่านี้ๆ แต่ละห้องแต่ละอย่าง แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เราก็ต้องบอกแขกว่าใช้เสียงให้น้อยที่สุด
มีลูกค้าที่ไม่ชอบบ้างไหม
ไม่ค่อยนะคะ คือมันเป็นงานบริการ อาจจะมีบ้างเหมือนกัน ถ้าเขาทำสกปรกเกินที่เราจะรับได้ เช่นของแค่นี้คุณก็ไม่เก็บของคุณน่ะ เรามีตะกร้าให้ แต่คุณก็ยังทิ้งตามมุมห้อง จะเป็นอะไรแบบนั้นมากกว่า แต่ถ้าแบบที่ไม่ชอบเลย อันนั้นไม่มี
ไม่เคยมีปัญหากับลูกค้า ?
ไม่มีค่ะ ลูกค้าน่ารัก ชอบ บางครั้งก็ใจหาย คือถ้าใจเรารัก เราเห็นอะไรมันก็มีความสุข อย่างแขกเข้ามา เขามีความสุข เราก็มีความสุข เราชอบอะไรแบบนี้ แต่จะเสียนิสัยอย่างนึงคือถ้าเจอคนหล่อๆ จะเก็บไปฝัน (หัวเราะ) เคยบอกคุณครูแล้ว เคยเล่าให้ฟังคือประทับใจ ไม่ใช่ว่าเราหลงรักเขา แต่เราประทับใจในสิ่งที่เขาได้คุยได้อะไร เรายังใจหายเลยว่าไม่ได้ทำงาน ไม่ได้เจอแขก ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย มันหลากหลาย ความคิดแต่ละคน ถึงเราไม่รู้จักกัน แต่เราได้คุยได้ทัก เราก็โอเค
ลูกค้าลืมของมีบ้างไหม
หลายครั้ง อย่างสร้อยคอ แหวน ตุ้มหู เราก็คืนคุณครูทุกอย่าง เหมือนกับ ใจเขาใจเรา อย่างรอบล่าสุดแขกห้องหนึ่งเขาลืมสร้อยข้อมือบาทนึง เราเห็น ก็เอามาให้คุณครูโทรฯ หาเจ้าของ
ไม่คิดว่าลาภลอย เก็บไว้เอง ?
ไม่ค่ะ เราไม่ได้คิดแบบนั้น เขามาพักนี่ เขาก็รู้ว่าเขาทำหายตรงนี้ ลืมตรงนี้ ทั้งๆ ที่เราทำหน้าที่อยู่ตรงนี้ ยังไงเขาก็ต้องตีกรอบอยู่แล้วว่ามันตกอยู่ตรงนี้ เขามั่นใจ ถ้าเราไปโมเมว่าไม่เห็นนะ ไม่มีนะ คือมันเสียทั้งที่ตัวเราและมันเสียทั้งหมดเล ยทั้งของคุณครูด้วย ยิ่งสมัยนี้มีโทรศัพท์ คำพูดอะไรนิดอะไรหน่อยมันเร็วต่อการที่จะตอบสนองกลับมา อย่างมีน้องเขามาทานกาแฟแล้วลืมสร้อยไว้ เราก็คืนเขา ตอนนั้นเลย เขาก็ขอบคุณ บางคนลืมจี้พระ คือถ้าลืมไว้ เขาก็จะโทรฯ มาถาม เราก็เก็บไว้ให้ตลอด
ความเครียดในการทำงาน ?
ช่วงที่เราทำงานแล้วเหมือนต้องรีบๆ การทำงานมันก็มีหมดแหละ สมมุติวันนี้เรารีบ เราทำไม่สะอาด คุณครูก็จะบอก บอกก็คือจบ จบตรงนั้น เราก็แค่บอกโอเคค่ะ ครั้งต่อไปเราก็ทำให้มันดีขึ้น แค่นั้นเอง น้อยมากที่จะเก็บมาเครียด เราไม่ค่อยเก็บมาเครียด ไม่ค่อยเก็บเรื่องอะไร แม้แต่เรื่องที่บ้านก็ไม่ค่อยเก็บ มีปัญหาอะไรเราจะคุย ไม่ค่อยเก็บ ปัญหากับลูกกับครอบครัวอะไรก็ตาม
มีปัญหาในชีวิตบ้างไหม
แทบจะไม่นะ แต่ญาติพี่น้องคนอื่นอันนี้ไม่รวม สำหรับครอบครัวเราก็คือไม่เลย เพราะเรากับแฟน แฟนก็เป็นคนแบบนี้ เขาเป็นคนที่ช่วยคนนู้นคนนี้ มันก็เลยทำให้เรามีความสุข จะไม่ค่อยทุกข์ ไม่ค่อยมีเรื่องที่หยุมหยิม แต่ละคนเขาก็เคยพูดนะ อยู่ห่างกัน กลัวมีเมียน้อยมั้ย แต่เราพูดเลยว่าใจห่างตัวห่างอะไรก็ช่าง แต่ถ้าเรามีความเข้าใจกัน หมดสิทธิ์ ความเชื่อใจระหว่างเขากับเรา มันก็เลยจูนกันได้ คอยคุยคอยซัพพอร์ตกันตลอด มีอะไรเราก็จะคุยกัน คุยกับเด็กๆ คุยกับพ่อเขาทุกเรื่อง เราไม่มีอะไรปิดบัง
ทำงานอยู่ที่ห้องสมุดมีเวลาอ่านหนังสือบ้างไหม
อ่านบ้างนิดๆ หน่อยๆ ส่วนมากจะเป็นพวกตกแต่งบ้าน บ้านและสวน เราจะเปิดดูว่าอันไหนที่เราชอบ เราก็จะเน้นแบบนั้น แต่ไม่ค่อยอ่านพวกนิยาย แทบจะไม่จับเลย แค่ปัดฝุ่นก็เหนื่อยแล้ว (หัวเราะ)
งานเสวนาต่างๆ ที่บ้านๆ น่านๆ จัดได้ฟังเนื้อหาของงานบ้างไหม หรือมัววุ่นกับสถานที่ ?
ฟัง ทั้งฟังทั้งเตรียม เราจะพูดทุกครั้งว่าถ้าคุณครูมีงานให้บอก ใจเราเต็มร้อย ถ้าเราอยากจะช่วย เราช่วยเต็มร้อย คือเรามีความสุขกับคนที่มา และเขาก็มีความสุขกลับไป เหมือนแบ่งปันความสุข
ไม่รู้สึกว่าเกินหน้าที่ ?
ไม่เลย อย่างที่บอกว่าใจเราชอบ เราชอบตรงที่ว่าเรามีความสุข เราทำแล้วมีความสุข ถ้าเราได้ทำหรือได้ช่วย เหมือนแบ่งปันนิดๆ หน่อยๆ เราก็มีความสุข ไม่ได้คิดว่ามันเกินหน้าที่อะไร แต่อย่างถ้าจัดงานตอนที่เราไม่อยู่เมืองน่าน อันนั้นก็จะไม่ได้มา แต่ถ้าอยู่เมืองน่าน โอเค เต็มที่
ความสุขคือการได้เจอคน ?
ประมาณอย่างนั้น ก็ได้ทำไปเรื่อยๆ เราสนุกกับการได้เจอผู้คน ถ้าเก็บตัวมันเหมือนมันเหงา มันเหมือนคนครุ่นคิด คือเราไม่ชอบ ชอบเจอคน ถามนู่นถามนี่ คุยนู่นคุยนี่ ไม่ชอบอยู่คนเดียวงุ้งงิ้งๆ ไม่เอา มันเหงา เรามีความสุขที่เราเห็นคนอื่นเขามีความสุข
ได้อะไรบ้างกับการทำงานเป็นแม่บ้านห้องสมุด
หนึ่ง ได้เพื่อน เพื่อนที่เราไม่เคยรู้จักกัน สอง ได้ความสุข สาม ได้มิตรภาพที่ดีๆ ระหว่างยายกับครูต้อม กับบ้านๆ น่านๆ ยายเราก็รักเขาเหมือนแม่ ครูต้อมเราก็รักเขาเหมือนพี่สาว เราอยู่กับยายอยู่กับครูต้อมจะไม่เหมือนเป็นลูกจ้าง ใครคิดยังไงก็ช่าง แต่ในใจเราไม่ได้คิดแบบนั้น เราจะคิดว่าเหมือนแฟมิลี่ เหมือนเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็คุยกันได้ มีความทุกข์ความสุขอะไรเราก็แบ่งแชร์กัน ถามว่าได้อะไรก็คือได้ความสุข
ไม่มีความทุกข์บ้างเหรอทำงานแม่บ้าน
ไม่นะ ไม่มีเลย บางวันอยู่คนเดียว เราร้องเพลงฮัมเพลงคนเดียว ถ้ามีช่วงที่เครียดก็คือเรื่องเด็กๆ เรื่องเรียนเขา คือเราไม่มีเรื่องเครียด ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังกับครอบครัว จะสอนลูก จะคุยกับเขาทุกเรื่อง เขาก็เลยจะไม่โกหก กลับมาบ้านเขาก็จะมาเล่าให้ฟัง ทั้งพี่ทั้งน้อง เลี้ยงเขาเราก็จะแบ่งหน้าที่ให้เขา วันนี้คุณทำอันนี้ๆ นะ พอเราเลิกงานกลับบ้านไปก็จะถามว่า ได้ทำหรือยัง ถ้ายังไม่ทำ พรุ่งนี้ทำนะ เขาก็จะบอกเหตุผลว่าวันนี้เขาไม่ว่าง ต้องทำตรงนั้นตรงนี้ ก็เลยกลายว่าเราไม่ค่อยมีความทุกข์ ถ้ามีความทุกข์คือไม่ค่อยได้คุยกันในครอบครัว เพราะเราจะไม่รู้ว่าลูกทุกข์อะไร สามีทุกข์อะไร แต่อันนี้เขาจะบอกเลยว่าเขาเหนื่อยกับงานนะ อยากจะพัก เราก็โอเค พัก ก็จะพูดแค่นี้
วันไหนเด็กๆ ทำการบ้าน เขาก็จะบอก เราก็โอเค ไม่ยุ่งไม่อะไร แต่ต้องคุยกัน กลายเป็นว่าเราเคลียร์ปัญหาแทบทุกวัน มันเลยไม่มีความทุกข์ ถ้าจะมีความทุกข์ก็คือดูซีรีส์แล้วอินเกิน ส่วนมากพวกซีรีส์เกาหลี หนังจีน ติดซีรีส์ ติดหนัง คือตัวเองไม่สวยนะ ไม่ใช่ว่าคนสวย แต่ชอบดูคนหล่อ (หัวเราะ)
มีลูกค้าต่างชาติทำให้ได้คุยภาษาอังกฤษด้วยไหม
ก็ได้นิดๆ หน่อยๆ เยสโนโอเค ถามว่าพอสื่อสารได้ไหม บางครั้งฟังพอรู้เรื่อง เราก็จับใจความ พลิกแพลง คำไหนเราได้ เราก็อธิบายให้เขาฟัง อันไหนไม่ได้เราก็แค่ยิ้มให้เขาแล้วก็หัวเราะ แค่นั้น (หัวเราะ) ลูกค้าฝรั่งบางคนก็ยังพูดเลยว่าเราตลก ตลกแบบน่ารัก
มีลูกค้าบ่นไหม
เขาจะบ่นในเพจของคุณครู อย่างถ้าวันไหนยายไม่อยู่ หรือเรากลับบ้าน แล้วคุณครูไปสวน เขาติดต่อใครไม่ได้ จะเป็นอะไรแบบนั้นที่บ่น คือหนึ่ง ถ้าเขาโทรฯหาคุณครูแล้วถ้าสัญญาณไม่ดี คือแขกเขาจะไม่มีเบอร์ของเรา แขกก็อาจจะไปบอกในเพจของคุณครู ว่าบ้านเราบริการอย่างนี้ๆ จะเป็นแบบนั้นมากกว่า จะไม่มีมาบ่นในตัวของเราเองกับคุณครู ส่วนมากจะมีแต่คำชม เขาก็มีคะแนนให้
คุ้มไหม เงินที่ได้กับงานที่ทำ งานหนักไปไหม ?
ก็ไม่ถึงกับว่าหนักนะ ถ้าถามว่าคุ้มไหม มันก็คุ้ม แต่ว่าถ้าคนอื่นคิด อาจจะคิดเป็นรายวัน คือตรงนี้มันไม่ถึงสามร้อยตามแรงงาน ตรงนี้มันก็แค่สองร้อย แต่ถ้าเรามาคิด เวลาที่มาทำเหมือนแค่ครึ่งวัน และงานแต่ละครั้งมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากมาย ก็เหมือนเราทำงานบ้านทั่วไป เพียงแต่ว่าอาจจะพิเศษนิดนึง เนี้ยบนิดนึง สะอาดนิดนึง แต่กับบ้านเรายังพอถูๆ ไถๆ มาอยู่ตรงนี้แล้วเรามีความสุข คนอื่นอาจจะมองว่าไม่คุ้มเพราะเงินเดือนเท่านี้ แต่ถ้า…เขาเรียกว่าอะไรนะ ความลึกความบาง ความในใจน่ะ คนอื่นเขาไม่รู้ แต่ถ้าคุณใส่ใจว่าฉันได้แค่นี้ก็จริง แต่ฉันทำเต็มหน้าที่ของฉัน แล้วผลตอบแทนมา บางครั้งมันอาจจะมากกว่านั้น
คุณสมบัติของการเป็นแม่บ้านต้องมีอะไรบ้าง
ใจรัก ขออย่างเดียวคือใจรัก คือถ้าใจคุณไม่รัก คุณก็ทำไม่ได้ ต้องใจรักจริงๆ ใจรักบ้าน ถ้าคุณไม่รักบ้าน แม้แต่ในบ้านคุณ คุณยังทำไม่ได้ มาทำข้างนอกคุณก็ทำไม่ได้ ต้องรักบ้านก่อน แล้วออกมาข้างนอกคุณก็ทำเหมือนอยู่ในบ้าน มันก็จะค่อยๆ เขยิบขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าถามเรื่องคุณสมบัติก็คือมีใจรัก ต้องมีความซื่อสัตย์ แล้วก็ไม่หยุมหยิม หมายถึงไม่แบบว่าเห็นแขกคนนู้นคนนี้แล้วเอาไปพูดต่อเมาธ์มอย มันไม่ดี นั่นแหละ มีความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาต่อเจ้านาย ต่อคนที่เราทำงานด้วย มันต้องใจถึงใจกัน ถ้าขาดสองสามอย่างนี่ก็ไม่ใช่ ทำงานแม่บ้านไม่ได้
เคยมีทะเลาะกับครูต้อมบ้างไหม
แทบจะไม่ ถ้ามี ส่วนมากเป็นเรื่องต้นไม้ เพราะคุณครูเป็นคนรักต้นไม้ แต่ทีนี้คุณยายเขาเป็นคนสั่ง เราต้องทำตามคุณยาย แต่บางครั้งเราเหมือนทำเกิน ไม่ได้บอกคุณครูเขาไว้ ส่วนมากก็จะมีแต่เรื่องต้นไม้ เห็นเราตัดเยอะเกินบางทีคุณครูก็โกรธเหมือนกัน
เหตุผลที่ลาออก ?
เราตั้งใจอยู่แล้วว่าถ้าแฟนอายุหกสิบ เราจะไม่ทำงาน เขาก็พูดประมาณว่าจะอะไรกันนักหนากับเงินกับการทำงาน เขาบอกว่า ความสุขไม่ได้อยู่ในการทำงานมากเกินไป ความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน ความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัว กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา อย่างสมมุติวันนี้เรากลับบ้านช้า เขาก็จะกินข้าวก่อน เขาไม่ชอบแบบนี้ เขาก็บอก ฉันแก่แล้วนะ อยากให้มีเวลาให้ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น อย่างวันดีคืนดีชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอน บางครั้งเรานั่งคุยกันอยู่แบบนี้ อีกวันสองวันเราไม่ได้เจอหน้ากัน ตอนนี้เขาบอกว่าเขาขอดูแลเราก่อน แต่พอแก่ตัวมา เขาต้องการให้เราไปดูแลเขาละ ก็ผลัดกันดูแล มีแพลนว่าถ้าอายุมากขึ้น อีกสามปีถ้าเขาไม่ได้ทำงาน เขาจะกลับมาน่าน อีกสามปีลูกก็น่าจะได้ทำงานละ เด็กๆ เขาก็อยากให้แม่ไปดูแลพ่อเพราะพ่อแก่แล้ว
ไม่ได้ทำที่นี่ก็ไม่ได้ทำงานแล้ว ?
ใช่, แต่แฟนเขาก็จะให้ทุกเดือนอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราไม่ทำงานแล้วเขาไม่ให้ เขาก็ให้ทุกเดือน กับเด็กๆ พ่อเขาก็ให้เป็นรายเดือน แยกกัน พวกรายจ่ายจิปาถะเขาก็รับผิดชอบต่างหาก ค่าไฟ ค่าเน็ตค่าต่างๆ ของลูกๆ ถามว่าขาดรายได้ไหม มันก็ขาดรายได้นั่นแหละ แต่ถ้าเราไม่ฟุ่มเฟือย ถ้าเราประหยัดใช้ มันก็พอ แฟนเขาก็ไม่อยากให้เราเหนื่อยมาก แกก็อายุมากแล้ว อยากให้ดูแลแกบ้าง
แฟนส่งเงินให้เดือนละเท่าไหร่
ห้าพัน ถ้าไม่พอ เขาก็จะซัพพอร์ตให้อีกทีคือใกล้ๆ สิ้นเดือน อย่างวันที่ 25 เงินเดือนออกเขาจะโอนให้ ประมาณกลางเดือน 18-19 เขาก็จะโอนให้อีกทีนึง บางครั้งพัน บางครั้งสองพัน นี่สำหรับเราคนเดียว เด็กๆ บางครั้งเขาก็จะโอนให้ครั้งละห้าร้อยอะไรแบบนี้ เด็กๆ รายเดือนเขาจะได้คนละสามพันอยู่แล้ว แต่ถ้ามีกิจกรรมอะไรก็บอกเขาได้
ไม่มีหนี้สิน ?
หมดหนี้แล้ว ไม่มีหนี้ จะพยายามไม่เอาอะไรมา ถ้าลูกจะเรียนต่อ แฟนก็ยังส่งได้อยู่ เราก็ประหยัดเอา เด็กๆ ค่าเทอมเขาก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ อีกอย่างทั้งสองคนจะดีอย่างคือเขาจะเรียนช่าง เสาร์อาทิตย์เขาก็จะมีเจ้านายที่เคยไปฝึกงาน เขาชอบ เขาก็เลยอยากให้ไปทำงานด้วย เขาก็จะบอกถ้าว่างวันไหนให้โทรฯ หาเขาได้เลย เขาคอยซัพพอร์ตตลอด ลูกเลยมีรายได้ต่ออาทิตย์ๆ เพราะมีงานตลอด
แฟนส่งเงินให้ใช้ ไม่ต้องทำงานก็ได้สิ ?
เหมือนเป็นคุณค่าของตัวเองมากกว่าที่มาทำงานตรงนี้ คือเราไม่อยากทิ้งโอกาส ไม่อยากทิ้งเวลา แต่อย่างช่วงที่เราจะออกนี่ คือมันมีเหตุจำเป็น ลูกชายจะเรียนจบที่นี่ต้องหาที่เรียนใหม่ เราต้องมีเวลาให้เขา อีกอย่างก็คือแม่ที่ต่างจังหวัดเริ่มแก่แล้ว เราต้องมีเวลาดูแลแม่บ้าง มันก็เลยต้องหยุด
ไม่ทำงานก็อยู่ได้ ?
ใช่ๆ ไม่ทำงานเราก็อยู่ได้ แต่ถ้าจะผ่อนโน้ตบุ๊กหรือผ่อนโทรศัพท์ หรือค่าน้ำค่าไฟ พี่เขาก็จะจัดการให้ต่างหาก แม้แต่ค่าอินเทอร์เน็ตหรืออะไร เขาก็จะจ่ายให้ ของยาย (แม่ที่สกลนคร) เขาจะให้เดือนละพันสองบ้างพันห้าบ้าง เขาให้ตั้งแต่ลูกคนโตยังเล็กๆ อยู่เลย ส่งให้ทุกเดือน เขาก็จะมีใบสลิปของเขา ก็ให้เราดูทุกเดือนทุกครั้ง ..ถ้าไม่ได้ทำงาน มันก็เหงา แต่อันนี้คือเรามีเรื่องต้องทำหลายที่ สาเหตุที่ออก ถ้าไม่มีบ้านที่สกลฯ มันก็เหงาเหมือนกัน ที่กรุงเทพฯ ที่แฟนซื้อเป็นคอนโดเอาไว้ เขาก็อยากให้เราไปดูแลบ้านบ้าง แฟนก็เลยบอกว่า เธอไม่ต้องทำงาน ฉันเลี้ยงเธอเอง เดี๋ยวฉันทำงานอีก 3-4 ปี ถึงตอนนั้นเธอค่อยมาดูแลฉัน เขาเคยพูดไว้หลายครั้ง ตอนนี้ก็เลยเหมือนได้โอกาส ประจวบกับน้องเขยจะไปต่างประเทศ ก็เลยถือโอกาสตรงนี้ด้วยว่าไปดูแลแม่ เพราะว่าที่บ้านโน้นก็มีแต่ผู้หญิง อย่างน้อยเราไปเพิ่มอีกคน แม่เขาจะได้อุ่นใจขึ้น
คุณแม่อายุเท่าไหร่แล้ว
73 ค่ะ ต้องดูแลแกบ้าง บางครั้งแกก็โทรฯ มาถาม เมื่อไหร่จะมาเที่ยวหา แล้วเราเป็นลูกจะคิดยังไง ถ้าแม่ถามเมื่อไหร่จะมาเที่ยวหา เราก็บอกยังไม่มีเวลา อะไรก็ไม่มีเวลา เดี๋ยวจะเหมือนกับพ่อ พ่อก็ถามเมื่อไหร่จะมาหา เราก็บอกไม่มีเวลา สุดท้ายเขาก็เสียไป เราไม่ได้อะไรเลย ก็เลยต้องตัดสินใจ
ไม่ได้กลับบ้านนานเท่าไหร่
ประมาณปีกว่าๆ เกือบสองปีแล้วนะ ทุกคนเขาไป แต่เราไม่ได้ไป ได้แต่โทรฯ คุย เงินก็โอนให้ทุกเดือน แฟนเป็นคนโอนให้อยู่แล้วตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่คบกัน เขาให้แม่ทุกเดือน คอยซัพพอร์ตทุกอย่าง แต่ละคนเขาก็บอกว่าได้ผัวดีก็อย่างนี้
รู้สึกยังไงที่จะไม่ได้ทำงาน
เสียใจ รู้สึกนอยด์ มันเหมือนขาดอะไรไปอย่าง เพราะเราเคยทำทุกวัน พอไม่ได้ทำแล้วมันก็เลยเหงาๆ ถึงเราจะไปอยู่กับครอบครัวก็จริง แต่การทำงานมันก็เป็นอีกแบบนึง เป็นความสุขอีกแบบนึง เหมือนขาดอะไรในชีวิตประจำวัน อย่างวันเลี้ยงส่งที่ได้พูดความในใจ เราร้องไห้ ระบายออกมาว่าเราไม่อยากจะไปไหน เข้ามาในบ้านหลังนี้เรามีแต่ความสุข ทำงานทุกวันเราก็มีความสุข ไม่เคยมีความทุกข์ ยายเขาก็บอกว่าไม่ได้อยากให้เราไปไหน อยากให้เราอยู่กับเขา คือเราเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย ถ้าคนไหนรักเรา เราให้เต็มร้อยหรือเกินร้อย หลายคนคนแก่คนเฒ่าเขาเห็นเราก็บอกว่า คนแบบนี้ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ก็คือความสม่ำเสมอของเรา ความดีของเราที่เราทำกับคนนู้นคนนี้ แต่ละคนก็เหมือนซึมซับด้วยกัน มีความรักให้กัน
ถ้าไม่ใช่อาชีพแม่บ้าน อยากเป็นอะไร
อยากเป็นคนขายดอกไม้ อยากมีร้านขายดอกไม้ขายต้นไม้ เป็นเจ๊เป็นซ้อเป็นอะไรก็ได้ที่อยู่กับต้นไม้ดอกไม้ อยากทำแบบนั้น อยากทำกิจการของตัวเอง อย่างปลูกดอกไม้ เราชอบ ถ้าทิ้งให้ไปอยู่ร้านต้นไม้ เราอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน เป็นคนชอบต้นไม้ ชอบทำนู่นทำนี่ ได้ทุกอย่างที่มันเป็นดอกไม้ มันมีความสวยความงาม ถ้าเป็นร้านต้นไม้ เหมือนเราได้เห็นการเติบโตของเขา เห็นดอกเห็นผลอะไรของเขา
อนาคตอยากเปิดร้านเองไหม
ก็อยาก ถ้าลูกๆ เขาได้เรียนได้ทำงาน เราก็อาจจะเหมือนขอทุนเขาซักนิดๆ หน่อยๆ ก็กะทำที่เมืองน่าน เพราะเราก็มีที่ อย่างถ้ากลับไปทำที่บ้านสกล มันก็ไกลไป ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองเหมือนที่นี่ มีโอกาสก็อยากจะทำที่เมืองน่านนี่แหละ เพราะเราเป็นเหมือนลูกหลานคนเมืองน่านแล้ว
ประทับใจอะไรในการเป็นแม่บ้าน
หลายอย่าง ประทับใจในที่ที่เรามีความสุข ทำงานแล้วเรามีความสุข ประทับใจในสิ่งที่ว่าแขกมาพัก เขาจะชม ถึงไม่ใช่บ้านเรานะ เขาก็จะชมบ้านน่ารักจังเลย บ้านสวยจังเลย บ้านสะอาดจังเลย นั่นคือความประทับใจของเรา นั่นคือความสุขของเรา เราก็ขอบคุณค่ะๆ ถึงเขาจะไม่ได้ชม เขายิ้มให้ เราก็ประทับใจ เพราะทำงานบริการแบบนี้ ใจเราก็ต้องแบบนี้ด้วย หลายๆ อย่าง ความรู้สึกมันพูดไม่ออก เราเห็นทุกคนมา เราจะเห็นทุกคนเหมือนเป็นญาติเรา เราคิดแบบนี้ ไม่ต้องคนอื่นไกล อย่างพี่หนึ่ง เราก็คิดว่าเหมือนเขาเป็นพี่ชาย อย่างครูเจง หรือพี่จิ๋ว เราได้คุย ได้รู้จักกัน เราก็คิดว่าเขาเป็นเหมือนเพื่อนในวงของเรา คนอื่นจะคิดว่าเราเป็นแค่แม่บ้าน แต่เราไม่ได้คิดกับตัวเองแบบนั้น ก็โอเคในลิมิตนึงเราเป็นแม่บ้านก็จริง แต่ในตัวของเรา เราอยากจะมีเพื่อน เราอยากจะคุยกับคนนู้นคนนี้ แลกเปลี่ยน ถึงเขาอาจจะไม่ได้ให้ความรู้เราอะไรก็ช่าง แค่เราได้ทักกัน กินข้าวรึยังอะไรแบบนี้ เหมือนเราอยากได้เพื่อน เพื่อนเคยคุย เคยรู้จัก ก็เลยกลายเป็นว่าฉันมีความสุขที่ฉันได้มาทำ มีความสุขกับการที่ได้คุยกับคนนู้นคนนี้ มันรู้สึกอิ่มในใจ เจอใครก็รู้สึกอิ่มในใจ แขกคนนู้นคนนี้ เรายิ้มให้ เขายิ้มกลับมา แค่นั้นเราก็มีความสุข
ไม่ปวดหัวเหรอคุยกับคนเยอะๆ ?
ไม่, เพราะเราไม่ได้เป็นแบบเจอใครก็จะคุย อย่างเขาถามเรา วันนี้ไปกินข้าวที่ไหนครับ มีร้านอะไรแนะนำครับ ก็คุยสัพเพเหระนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้คุยลงลึก เหมือนคำแนะนำของเรามันมีประโยชน์ไหมอะไรแบบนี้ พอเราได้บอกไป เขาก็โอเค ขอบคุณครับ คุยกันแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว นั่นคืองาน นั่นคือการบริการของเรา
ทุกวันนี้ถือว่าโอเคกับชีวิตไหม
ก็โอเคนะ โอเคตรงที่ว่าเราจะพยายามไม่หาอะไรมายุ่งกับชีวิตมากขึ้น เราไม่อยากจะหาเรื่อง เช่นกูอยากได้นู่นอยากได้นี่ ต้องทำนู่นต้องทำนี่ ไม่อยากให้เราเหนื่อยมากขึ้น พอใจใน ณ ตรงนี้ อีกอย่างคือพอเราอายุมากขึ้นเราก็ทำกิ๊กๆ ก๊อกๆ ในครอบครัวของเรา ถ้าจะค้าขายก็คงเหมือนขายของชำขายอะไรแบบนี้ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะทำ ซื้ออะไรมาขายนิดๆ หน่อยๆ เหมือนเซเว่นฯ เคลื่อนที่ แต่เราก็ไม่ได้อยากจะไปไหน เราอยากทำอยู่ที่บ้าน แต่ก่อนแม่ของแฟนก็ขายของแห้งที่บ้าน ขายปลาร้า ขายข้าวสารอะไรไป แต่คนก็มาซื้อกันนะ
ในวัยเกษียณที่แฟนไม่ได้ทำงานแล้ว คุณจะทำอะไร
ถ้าถึงวัยเกษียณของทั้งคู่ก็คงไม่ได้ทำอะไร อยู่บ้านปลูกผัก ทำพืชผักสวนครัวของเรา ถึงวัยเกษียณแล้วลูกคงจะให้เงินใช้อยู่บ้างมั้ง คงต้องคุยกับลูกก่อน ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ทำงานแล้วอย่างน้อยจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้หน่อย เขาก็คงไม่ใจจืดใจดำ มันก็น่าจะมีความสุขนะ ใช้ชีวิตแบบบ้านๆ ปลูกผักปลูกอะไร เราพยายามใช้เงินให้น้อยที่สุด ก็น่าจะโอเค วัยเกษียณส่วนมากก็น่าจะเป็นวัยก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่บ้านแล้วไง
ส่วนตัวเป็นคนเก็บเงินเก่งไหม
ไม่, ไม่มีเงินเก็บเลย เขาบอกว่าเงินทองของมันนอกกาย หมายถึงว่าหมดแล้วก็หาใหม่ เก็บไว้เดี๋ยวปลวกมันขึ้น ก็เอาออกมาใช้บ้าง แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเก็บนะ ไม่มีจริงๆ เพราะเราใช้ทุกวัน ช่วงวัยนี้ อีกอย่างคือเรามีลูกด้วย ลูกต้องเรียนต้องกินต้องใช้ ถามว่าแก่มาจะเอาเงินตรงไหน เนี่ย มันกลุ้มใจอยู่บ้าง เพราะไม่มีเงินเก็บเลย คือเราต้องบอกว่ามี แต่มันมีน้อย ไม่ได้เยอะ
ต้องมีซักเท่าไหร่ถึงไม่กังวลตอนแก่
เราว่าน่าจะห้าแสนขึ้น หมายถึงเงินเก็บ มีอยู่ห้าแสนในธนาคารเนี่ยโอเคสำหรับเรา ปัจจุบันวัย 40-50 เรายังมีแรง ยังพอที่จะทำงาน ถ้ามีอยู่ห้าแสนในบัญชีตอนนี้ เราก็ไม่ต้องใช้ ยังหาเงินได้ ก็ใช้ที่เราหาได้ เรียกว่ามีเงินออมตอนตายน่ะ อันนี้คือคำที่คนแก่คนเฒ่าเขาพูดนะ มีเงินเผาศพ ห้าแสนนี่ถ้าไม่ได้ทำงาน เอามาใช้ เราว่าไม่ถึงสามปีก็หมด เพราะเอาแต่ใช้ เราไม่ได้หาเพิ่ม.
เรื่องและภาพ กัญชญา อิสรวิถี