the letter

เฟรสชี่สารพัดช่าง

สวัสดีพี่หนึ่งจากเกาะพะงันครับ

พวกเราเดินทางกลับมาถึงเกาะในวันเกิดปีที่เจ็ดของลูกชายพอดี 

ตอนนั่งรถทัวร์เที่ยวกลางคืนเวลาประมาณมิดไนท์ แถวๆ จังหวัดประจวบฯ หรือชุมพรนี่แหละ ผมชะโงกหน้าจากเบาะที่อยู่ข้างหลังไปกระซิบกับเด็กชายที่หลับสนิทอยู่บนเบาะโดยสารที่ปรับเอนลงมาจนสุดว่า แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ถ้าเรานอนอยู่ที่บ้านที่ไหนสักแห่ง ไอ้คนพ่ออย่างผมคงจะนอนหลับปุ๋ยข้ามเวลาเที่ยงคืนโดยไม่ได้มาทำอะไรอย่างนี้แหงๆ 

การนอนหลับให้ได้ในทุกสภาพการณ์อาจเป็นเรื่องการฝึกฝนให้คุ้นชินและช่วงวัย สำหรับผม ณ วัยนี้ ถ้าไม่มีกัญชา การหลับบนรถทัวร์ก็นับเป็นเรื่องยากพอสมควร

ไม่นับว่าเที่ยวนี้ตอนผมปรับเบาะให้เอนลงเพื่อให้นอนได้สบายขึ้น ไอ้ผู้ชายคนแถวถัดไปก็คอยแต่จะบอกให้ผมปรับเอนกลับขึ้นมาหน่อย คนที่นั่งตรงๆ กับแนวที่ผมนั่งเป็นผู้หญิง คาดว่าน่าจะเป็นแฟนหรือภรรยานี่แหละ ผมพยายามปรับพนักเอนลงให้สุดอยู่สองครั้ง (ครั้งที่หนึ่งตอนเราออกมาจากสายใต้ได้สักพัก ครั้งที่สองตอนหลังแวะกินข้าวมื้อดึก) ทุกครั้งพี่แกก็คอยบอกให้ผมปรับกลับขึ้นมาโดยไม่ให้เหตุผลอะไร (ถ้อยคำเป๊ะๆ คือ “พี่ๆ ปรับเบาะขึ้นไปหน่อยครับ”) ใจก็อยากจะหันไปถามเหมือนกันว่าเหตุผลของลูกพี่เค้าคืออะไร แต่ด้วยอารมณ์ตัวเองขณะนั้นก็กลัวว่าคำถามที่เอ่ยออกไปจะคล้ายการหาเรื่องซะมากกว่าความอยากคลายสงสัย จวบจนสักตีสองที่ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมเหลือบหันไปเห็นว่าคนผู้ชายหลับไปแล้วผมจึงเอนปรับลงไปให้สุดดั่งที่ตัวเองปรารถนามาตั้งแต่ต้น

นอกจากโกรธแล้วผมยังสงสัยว่านี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติการนั่งรถนอนของคนไทยรึเปล่าที่คนเบาะข้างหน้าควรมีน้ำใจ ให้เกียรติ หรือเกรงใจคนที่อยู่เบาะถัดไปข้างหลังโดยการไม่เอนเบาะลงไปให้สุด ที่คิดอย่างนั้นเพราะก็เห็นอีกหลายเบาะที่ดูจะปรับพนักพิงลงเพียงแค่เล็กน้อย เวลาไม่ได้คำตอบ ใจเราก็จะคิดจินตนาการไปมากมาย อาทิ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหลังเราตั้งท้องหรือนั่งดูอะไรผ่านโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนถาดวางอาหารหลังพนักพิงของผมอยู่รึเปล่า หรือไอ้ผู้ชายที่นั่งข้างๆ มันแค่อยากจะทำอะไรเอาใจเมีย หรือแค่อยากแสดงความแมนกับสาวที่เดินทางมาด้วย ความไม่รู้นั้นเป็นบ่อเกิดของความคิดฟุ้งซ่านโดยแท้

ตอนลงจากรถทัวร์มาผมยังกรุ่นๆ กับเรื่องนี้ และบ่นกับหลินระหว่างเราดื่มกาแฟที่ท่าเรือ พี่หนึ่งเองนั่งรถทัวร์เที่ยวกลางคืนบ่อยกว่าอาจพอคลี่คลายปริศนานี้ได้

ถึงเกาะก็พบดีน แคเรน และเซเฟอร์ มารอรับเราที่ท่าเรือ พวกเขามาสวมกอดและกล่าวสวัสดีปีใหม่กันตัวเป็นๆ แวะกินข้าวเที่ยงก่อนส่งเราเข้าบ้านใหม่ที่ยังไม่เสร็จดี แต่พวกเราต้องเข้าอาศัยแล้ว คืนแรกที่บ้านหลังใหม่บนเกาะพะงันนั้นเพวกเราปูแผ่นรองนอนกับถุงนอนกันคนละใบ เปิดพัดลมเบอร์หนึ่งแบบส่าย แล้วนอนกันในห้องนั่งเล่นไปพลางๆ ก่อน เพราะห้องนอนยังรกไปด้วยข้าวของต่างๆ นานาที่ย้ายออกมาจากบ้านหลังเก่า เรานอนกันอย่างนั้นอยู่สองสามคืนก่อนจะเคลียร์ห้องนอนเสร็จจึงย้ายเตียงเข้ามา 

แล้วไม่กี่วันมานี้ผมก็ได้เริ่มวิชาเชื่อมและตัดเหล็กกับลูกพี่ดีน (ขาประจำ) สักที ผมตั้งใจจะทำกรงเป็ดไก่เพื่อเลี้ยงพวกมันไว้เก็บไข่กิน ฟังก์ชั่นและความต้องการพื้นฐานนั้นชัดเจน แต่ก็อยากทำให้สิ่งปลูกสร้างชิ้นนี้เป็นความงามอย่างหนึ่งในพื้นที่ หลินสำรวจมาแล้วว่าเราควรดำเนินรอยตามแบบกรงที่เรียกกันว่า North Carolina chicken coop พี่ลองค้นดูก็ได้ว่ากรงแบบที่ว่านั้นเป็นอย่างไร พวกเราโชว์รูปให้ดีนดูแล้วลูกพี่ก็ตอบกลับมาว่าทำได้สบายๆ หลังจากคำนวนขนาดกรงที่ต้องการบนพื้นฐานของสเกลวัสดุก่อสร้างที่มีบนเกาะ ดีนก็พาผมไปสั่งเหล็กกับร้านเจ้าประจำ 

เมื่อเหล็กมาถึงแล้วพวกเราเริ่มทำงาน วิธีก่อสร้างของดีนก็ทำให้ผมนึกถึงกฏหมายแบบคอมมอน ลอว์ของอังกฤษ คือหลังจากขึ้นแบบได้ชิ้นที่หนึ่ง ไม้บรรทัดและสายวัดก็ไร้ความจำเป็นอย่างสิ้นเชิง การตัดและเชื่อมเหล็กในชิ้นต่อๆ ไปคือการทาบกับชิ้นแรก มุมที่เหล็กแต่ละชิ้นเรียงตัวกันก่อนเชื่อมก็เทียบเอากับชิ้นงานที่เชื่อมไว้ครั้งแรก ตลอดเวลาที่ทำงานดีนจะจำได้เสมอว่าชิ้นงานไหนคือต้นแบบ ดั่งกับว่าชิ้นต้นแบบคือธรรมนูญหลักที่ต้องยึดถือ ไม่มีการวัดหรือการกลับไปหาตัวบทเพื่อตีความแบบที่กฏหมายแบบ Civil law ของฝรั่งเศส 

นอกจากนี้การหาค่าความกว้างยาวกรงที่เรากำลังทำก็เริ่มจากความรู้สึกมนุษย์ผู้จะใช้งานและการคาดคำนึงถึงความรู้สึกของสัตว์ที่จะเลี้ยงซะมากกว่าการกลับไปศึกษาตำราหรืออ้างอิงกับหลักการใดๆ ผมเรียนรู้งานเทคนิคงานก่อสร้างไปพร้อมๆ กับซึมซับแนวคิด ‘ปฏิบัตินิยม’ ของเพื่อนชาวอังกฤษคนนี้ 

ระหว่างเชื่อมเหล็กเพื่อประกอบโครงสร้างกรง บางครั้งต้องมีการขืน ดัด และตีเหล็กให้อยู่ในแนวระนาบที่ต้องการบ้าง ดีนหันมาบอกผมในครั้งแรกที่เราทำว่าอย่าคิดว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาด เขาจงใจวางแนวเชื่อมแต่ละครั้งให้เราต้องบิดเหล็กชิ้นนั้นๆ เพราะเหล็กที่ถูกดัดและบิดตัวนั้นจะมี tension ซึ่งเหล็กจะแข็งแรงมากกว่าตอนที่มันวางตัวอยู่เฉยๆ (ดีนเรียกสภาพของเหล็กในลักษณะนี้ว่า relax) ผมฟังแล้วก็คิดไปถึงอีกค่านิยมที่ชาวยุโรปฝั่งตะวันตกตอนเหนือมักจะยึดถือนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า Stoic ที่เชื่อกันว่าการบ่มเพาะตัวตนให้อดทนต่อความลำบากและมีวินัยอย่างเคร่งครัดนั้น แม้จะก่อให้เกิดความตึงหรือความเครียดกับผู้ฝึกฝนอยู่บ้าง แต่สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาเติบโตเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าการปล่อยให้ตัวตนเบ่งบาน หรือเติบโตอย่างเสรีโดยไม่มีกรอบหรือกฏเกณฑ์อะไรมาขวางกั้น 

ดีนเพื่อนรักของผมจึงหัวเสียปนหัวร้อนทุกครั้งที่เห็นเด็กขาดวินัย โวยวาย หรือก้าวร้าวกับผู้อื่น แล้วคนเป็นพ่อแม่ไม่เข้ามากล่าวสั่งสอนตักเตือน 

บ้านหลังอื่นๆ ในโครงการยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีบ้านเราหลังเดียวที่เสร็จพร้อมอาศัย ครอบครัวเราอยู่ท่ามกลางฝุ่นในไซต์งานที่มาจากการก่อสร้างและจากถนนที่รถถมดินวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่เนืองๆ แม้จะมีความไม่สะดวกอยู่บ้าง แต่ก็พบว่าตัวเองสบายใจที่จะอยู่ในบ้านหลังใหม่อยู่ไม่น้อย ทางหนึ่งครอบครัวผมเองก็ได้เรียนรู้ระยะประชิดว่างานก่อสร้างนั้นทำกันอย่างไร เราเริ่มทำงานเล็กน้อยๆ บางอย่างได้แล้ว ศิลป์เองก็สนใจเครื่องไม้เครื่องมือที่แม่ของเขาซื้อมาใช้ให้พ่อทำงาน มิตรสหายเดิมเริ่มแวะเวียนมาเยี่ยมบ้าง รวมทั้งมิตรสหายใหม่สายก่อสร้างอย่างลุงโด่งและพี่สุด ตัวละครใหม่ที่ผมจะเล่าถึงในครั้งต่อๆ ไป 

เฟซบุ๊กมันคงแอบได้ยินสิ่งที่ผม หลินและมิตรสหาย คุยกันบ่อยๆ เรื่องงานก่อสร้าง เดี๋ยวนี้สิ่งที่โผล่มาในหน้าฟีดเริ่มเปลี่ยนจากเรื่องการเมือง ศิลปะ ไปสู่เรื่องอุปกรณ์วัสดุและเทคนิคการก่อสร้างซะแล้ว ดีไม่ดีไม่รู้ในประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ก็พบว่าตัวเองเพลิดเพลินกับการดูข้าวของที่เฟซบุ๊กคัดสรรมาให้อยู่เหมือนกัน หลินกล่าวติดตลกกับผมว่าเฟซบุ๊กก็เหมือน ‘เพื่อนที่รู้ใจ’ (ฮา)

ขออภัยที่ส่งจดหมายมาให้ช้า และแถมยังเขียนยาวกว่าปกติอีก

ด้วยมิตรภาพ

จ๊อก

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

ประสบการณ์นั่งรถทัวร์ข้ามคืนของเราเยอะจริง แต่ก็จนใจ จนความสามารถมาเคลียร์ให้คุณได้ ต่อกรณี–พี่ๆ ช่วยปรับเบาะขึ้นไปหน่อยครับ

‘วัฒนธรรมรถทัวร์’ น่าจะเป็นประเด็นให้เราถกกันได้สารพัด ตั้งแต่การเปิดเพลงเปิดหนัง/ รายการตลก (หายไปเยอะแล้ว) การหยุดกินข้าวตอนเที่ยงคืน การดึงผ้าห่มคืนตอนตีห้า (และอีกประมาณอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเป้าหมาย) การแจกผ้าเย็นและเสิร์ฟกาแฟร้อน 3 in 1 ตอนตีห้า (หนาวขนาดนั้น เขาใช้ผ้าเย็นกันได้ยังไง เช้าขนาดนั้น หวานขนาดนั้น มันกินลงไปได้ยังไง เออ คงมีคนชอบและทำได้แหละ เรื่องของเขา) เรานั่งรถทัวร์มาตั้งแต่ยุคที่ผู้โดยสารสูบบุหรี่กันควันโขมง (พอจินตนาการได้มั้ย โรงหนังเมื่อก่อนก็เป็นแบบนั้น) จนถึงยุคโควิดที่ทุกคนต้องปิดปากก่อนขึ้นรถ และคว้ามือถือขึ้นมาท่องไปในโลกส่วนตัว เท่าที่พบ พักหลังปัญหาของเราก็คือเรื่องนี้แหละ 

น่าสนใจว่าคนใช้มือถือที่ป่าเถื่อนหยาบคายมักเป็นผู้ใหญ่ ส่งเสียงรบกวนเพื่อนร่วมทางทั้งคืน (บ้างพูดคุยออกมาดังๆ บ้างคุยแชทคุยไลน์ แบบมีเสียงปิ๊กๆๆ ตลอดเวลา) ถ้าเป็นเด็ก เรายังพอนึกด่าได้ใช่มั้ยว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน แต่พอเป็นผู้ใหญ่ มันเหลือเชื่อนะว่ากับมารยาทพื้นฐานเท่านี้ กลับมีคนจำนวนมากไม่เข้าใจ ไม่คิด ไม่แคร์ แต่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำร้ายผู้อื่นเรื่อยมา

ชะตากรรมที่เกิดมาในประเทศด้อยพัฒนา เราคงพบปะทะ ‘ภาพและเสียง’ เช่นนี้ไปอีกนาน–จนกว่าคนรุ่นนี้จะตายไป สำหรับเรา สิ่งที่บอกสอนตัวเองเสมอก็คือ อะไรที่เราว่ามันแย่ มันหยาบคาย ไร้มารยาท เราก็อย่าไปทำ และหาวิธีอยู่ร่วมให้รอด เวลาเจออะไรแย่ๆ ที่ขัดใจและหาคำอธิบายยาก เข้าใจอารมณ์โกรธของคุณ และสิ่งนี้แหละที่มันยากว่าจะจัดการยังไง ไม่เอามาเป็นอารมณ์ ยิ่งเรื่องเล็กน้อย เรายิ่งโกรธเยอะ นึกออกป่ะ ถ้ามันไม่เมกเซนส์ แล้วพอบริหารจิตใจไม่ดี แบกความโกรธไว้นานไปมันก็โง่เง่า เพราะประเทศนี้มีเรื่องน่าคับแค้นกระทืบเท้ากว่านี้อีกมากมายนัก มันเลยต้องแยกให้เร็วหน่อยว่าอะไรเรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก เอาว่าถ้าจะชนก็ควรชนกับเรื่องใหญ่ ทำตัวให้สมรุ่นสมวัย 

ที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่นี่ก็ทำไม่ค่อยได้หรอก ส่วนใหญ่ก็สาละวนกับเรื่องเล็ก จมปลัก และหลงลืมบ่อยๆ มัวไปให้ค่ากับเรื่องที่ไร้ราคา ..ก็พยายามปรับกันไป เวลาเหลือไม่มาก เราควรเก็บไว้ใช้กับเรื่องราวและผู้คนที่ควรใช้

ขณะที่คุณเข้าคอร์สนักเรียนเชื่อมเหล็ก เตรียมตัวสู่บ้านหลังใหม่ โดยมีพี่เลี้ยงลูกพี่ดีนถือไม้เรียวชี้แนะ ทางน่าน ‘แก๊งเจงจิ๋ว’ ก็กำลังหาเหลี่ยมหามุมตอกเสาเข็ม สร้างชีวิตใหม่ ทั้งคู่อยู่กรุงเทพฯ มาเกินสี่สิบปี การจะย้ายถิ่นฐานจากเมืองหลวงมาต่างจังหวัดไกลโพ้นแบบนี้ มันมีเรื่องเยอะจริงๆ ที่ต้องจัดการและตัดสินใจ แน่นอนว่าในแทบทุกเรื่องนั้นเบื้องต้นล้วนเกี่ยวข้องกับเงิน หนึ่งบาทกับหนึ่งร้อย ต่างกันเยอะนะ ถ้าเลือกเส้นทาง ‘ร้อย’ ไปเรื่อยๆ โอกาสที่ทุนร่อยหรอก็มีสูง เริ่มต้นอาจไหว แต่เล่นไปๆ จะเหนื่อย มันไม่ง่ายที่จะเลือกให้ถูกทุกครั้ง คือจ่ายน้อยและคุณภาพดีพอใช้ ของพวกนี้ต้องมีประสบการณ์ ต้องผ่านการวิเคราะห์ตัวอย่างมามากพอ ซึ่งกับเรื่องบ้าน ใครมันจะมี เราๆ ท่านๆ ต่อให้อยู่ในวัยสี่ห้าหกสิบ มันก็ ‘มือใหม่’ ในเกม ‘บ้านหลังแรก’ ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อวานนัดผู้รับเหมามาคุย ตัวเลขที่วางไว้ในใจกับตัวเลขจริงๆ ที่ได้เจอ ก็ไกลกันพอสมควร นี่แค่เกมแรก กว่าบ้านจะเป็นบ้าน มันมีอีกเป็นร้อยเกม คนมีประสบการณ์แค่สร้างกระท่อมน้อยกลางป่าอย่างเราก็ทำได้แค่แจ้งการเตือนเล็กๆ น้อยๆ และปรบมือเชียร์ หวังว่าจะไม่บานปลาย

เคาะวันส่งงานกันไว้ที่ 13 เมษายน คอยดูว่าจะรอด ไม่รอด กับหมากเกมนี้ ..พะงันฝันกันไปแบบนึง ทางน่านก็มีภาพฝันที่อยากทำมันให้เป็นจริง หลักๆ ก็วนเวียนอยู่กับการสร้างพื้นที่ใหม่ให้มีบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ โดยมีศิลปะเป็นตัวเชื่อม คุยกันว่าอยากให้มันเป็นชุมชนนานาชาติ เปิด แลกเปลี่ยน เขามาบ้านเรา เราไปบ้านเขา ห้องแคบๆ และประตูที่ปิดตาย ความเป็นไทยและเอกลักษณ์ลวงๆ ควรถูกลดละลงไป ขยับก้าวเดินไปศึกษา ‘global วิถี’ ข้อดีคือเมืองน่านมีศักยภาพอยู่แล้ว รากแข็งแรงทั้งทรัพยากรธรรมชาติและความรู้ผู้คน รอแค่การออกแบบ การจัดการใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับยุคสมัย ซึ่งแต่ละคน โดยเฉพาะผู้มาใหม่ต้องหาให้เจอ ในต้นทุนที่ตัวเองมี 

เอาใจช่วยเฟรสชี่สารพัดช่างที่พะงัน ดูทรง คุณน่าจะเหมาะอยู่กับงานก่อสร้างตกแต่ง วันข้างหน้าคงเป็น handy man ผู้เจนจัด (ภาพค้อนตะปูวางเคียงคู่หนังสือก็ดูมีเสน่ห์ไม่เลวเลย) แล้วจะอัปเดตโปรเจ็กต์ใหม่ในฝันที่น่านให้ฟังเป็นระยะ คอยดูว่าจะรอด ไม่รอด.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...