art & culture

ข้ามไปข้ามมา

ข้ามไปข้ามมามุ่งหาฝั่ง วันสำคัญของครูผู้ให้ในประเทศเรา ถึงจะผ่านไปแล้วหลายวัน แต่ความรู้สึกต่อคุณค่านี้ยังอยู่ ความรู้สึกในยุคที่บางสังคมเขาพยายามด้อยค่าครู นึกถึงวาสุเทพคนพายเรือรับจ้างพาคนข้ามฝั่งแม่น้ำ จากฝั่งซ้ายไปฝั่งขวา จากฝั่งขวามาฝั่งซ้าย วนเวียนอยู่เช่นนี้ชั่วชีวิต ในหัวใจวาสุเทพคิดอะไร มีอะไร เขาทำหน้าที่เหมือนครูไทยที่สังคมเปรียบเปรยเป็นเรือรับจ้าง พาคนข้ามแม่น้ำไปมาเพื่อขึ้นฝั่ง เคยเห็นไหมแรงส่งตอนคนขึ้นฝั่ง หัวเรือโคลงเคลงน้ำกระเพื่อมแตกกระจาย

เด็กรู้วิธีเรียกกินนมตอนหิว เด็กแหกปากร้องตอนปวดท้องปวดไส้ด้วยสัญชาตญาณ และรู้อะไรอีกหลายอย่างจากผู้มาก่อน แรกสุดก็พ่อแม่ที่เลี้ยงดู เด็กไม่ได้เกิดมาเป็นพระอาทิตย์ที่จะกล้าหาญยืนเดี่ยวโดดๆ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องมีหมู่มีพวก ไม่งั้นคงหนาวตายหิวตาย เพราะตัวคนเดียวใช่ว่าจะทำเองได้ทุกเรื่อง แล้วจะหายใจอยู่บนโลกได้ยังไง ถ้าไม่มีพ่อแม่ที่เป็นครูคนแรก ไม่มีผู้ใหญ่ไม่มีครูที่บอกที่สอน

เรื่องที่ต้องรู้มีทั้งทฤษฎีมีทั้งข้อเท็จจริง เขาบอกให้เราได้รู้ ได้เข้าใจในสิ่งที่ทำให้กล้า สิ่งที่ทำให้กลัว ให้ได้เรียนรู้ว่าบางอย่างก็ควบคุมได้ หลายอย่างก็ไม่ง่ายที่จะกำหนดกำกับให้เป็น บางเรื่องก็จำต้องยกให้เป็นหน้าที่ของดวงตาฟ้า จะสบตาหรือจะเบือนหน้าหนี ใครจะเรียกร้องบังคับได้ เพราะประสบการณ์แก่แดดแก่ลมที่พบมันทำให้คนรู้จักและเข้าใจโลกในสีสันต่างกันไป เป็นสิทธิและเสรีภาพของแต่ละคนที่เขาจะเลือกฟ้าเลือกอากาศเพื่อหายใจ

รู้บางอย่างเพื่อยังชีพ รู้หลายอย่างเพื่อหลุดบ่วงที่ร้อยรัด

ในโลกมีบางอย่างที่ต้องเกิดต้องเป็นอย่างจริงแท้แน่นอนใช่ไหม ความรู้ของครูที่ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำเพื่อหาคำตอบอย่างเรือใหญ่ ขนาดเรือรบแล่นออกไปกลางทะเลได้ไม่มีปัญหา ถ้ายังมีเชื้อเพลิง ขากลับ จะกลับยังไง ถ้าน้ำมันหมดถัง ไม่ต้องทดสอบ ไม่ต้องสันนิษฐานเลย แค่บอก แค่มีประสบการณ์ ก็เพียงพอที่จะสรุปเป็นบทเรียน

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเจอคลื่นลมพายุจะไปต่อกันยังไง จะลองทำซ้ำอยู่ทำไม จะลองกระโดดตึกสิบชั้นทำไม ในเมื่อเรารู้ว่าแรงโน้มถ่วงเป็นไง และแรงตกกระทบกระแทกมันจะเจ็บแปลบปลาบแค่ไหน จะวิจัยให้เสียเวลาทำไม ในเมื่อเรารู้ว่าน้ำต้องระเหยเป็นไอแน่ๆ ในสภาวะปกติ จะวิเคราะห์เนื้อเยื่อกุหลาบเพื่อค้นหายีนที่ให้กลิ่นอยู่ทำไม ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าดอกกุหลาบสายพันธ์ุเลดี้เพอร์ฟูมนี้ ปลูกกี่ร้อยกี่พันต้นก็ให้กลิ่นหอมอันเดิมไม่เปลี่ยนเป็นอื่น

เรารู้ว่าหน้าที่ควรแบ่งกันทำ ใครมันจะไปทำเองได้ทุกเรื่องและเราก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง เรื่องที่มีคนทำแล้วรู้แล้ว เขาบอกเราก็เท่ากับเขาเป็นครู เขาก็บอกวิธีทำมาหากินแล้ว

ประเด็นขัดใจของใครบางคนคือไม่ชอบสิ่งที่ทำ ไม่ชอบอะไรสักอย่าง ก็ไม่ควรโทษความรู้ของครูที่ให้มาทำ หาเลี้ยงชีพ ไม่รัก ไม่ชอบ ไม่สนุก ก็ไม่ตั้งใจจะรู้ แล้วก็บอกว่าครูห่วย

ความรู้ที่ครูให้มาประกอบอาชีพ ทั้งได้ทำสิ่งที่รักหรือจำใจรักสิ่งที่ทำ ชั่วดีก็มีความหมายต่อชีวิตทั้งสั้นทั้งยืนยาว  ลองหาความหมายผ่านการตั้งคำถามจากความรู้ที่รับจากครู จากประสบการณ์ได้ลองผิดลองถูก ชีวิตที่ไม่จบได้ง่ายๆ ในวังวนของสังขาร การยังครองตัวอยู่ในโลกย์สามัญอาจมีหลงทางบ้างบ้าทรัพย์ บ้าอำนาจ ได้แล้วมีแล้วก็เริ่มเบื่อ เป็นธรรมชาติของปุถุชนที่รอการบรรลุ บางจังหวะอาจมีคำถามตัวเองอย่างจริงจังว่า เราต้องมีทั้งหมดนี้จริงๆ หรือ

ถ้ามองให้ละเอียด จะรู้ว่ามันไม่ง่ายหรือเข้าใจได้ทันที

เป็นคนวาดรูป เป็นนักร้อง เป็นคนขับเครื่องบิน ทุกอย่างมีครู มีต้นแบบให้ทำตามทุกอย่างก็ใช่ว่าจะทำได้ดีเหมือนกัน ไปไม่ถึง กลับไม่ได้เหมือนครู ใช่ว่าทุกคนจะใช้สูตรเดียวกันได้ ต้นทางแม่พิมพ์ทำให้หมดแล้วก็ยังไม่ใช่จะได้ทุกคน ถ้าเลือกทางผิด โจทย์ผิด จะพอใจไหมความหมายของชีวิต

เรือล่มเพราะน้ำมันหมด เรือน้ำหนักเกินมีปัญหาแน่ๆ แต่เราแก้ไขได้ด้วยความรู้จากครูจากผู้มาก่อน

ความหมายของชีวิตคือความรู้ใช่ไหม มีความรู้แล้วอยากอยู่อย่างเป็นสุขใช่ไหม ไม่กระวนกระวาย อยากพ้นจากความกระหายอยากได้อยากมี กิจกรรมระหว่างทางเดินชีวิตมันติดชนักขลุกขลักด้วยสาเหตุอะไร ทำไมใจคนจึงยังไม่เป็นสุข หรือความต้องการแสวงหามันอยู่ในตัวทุกคน ทำราวกับว่าอยากทุกข์ซ้ำๆ จากเหตุที่ผู้มาก่อนก็สอนก็เตือน

การค้นหาของเขาของเธอ อยู่ที่จะครองตัวอย่างไร เป็นเรือใหญ่คับชะเลแล้แล่นโล้ไปไฉน เรือทุกลำทำหน้าที่ได้ดีมีจิตวิญญาณต่างกัน เลือกโดยสารให้ถูกขนาด เลือกที่นั่งให้ถูกทิศ เลือกฟังเลือกเชื่อ แล้วเราจะรู้ว่าเสียงฟ้าร้องสอนอะไรเรา เสียงความฝันใฝ่สร้างสายใยให้เราเชื่อมโยงถึงสิ่งใด ความหิวกระหายป่วยไข้ให้บทเรียนอะไรเรา ทั้งหมดนี้คือครูที่มองไม่เห็นตัว

ความกตัญญูเป็นอารมณ์สำคัญมันเกี่ยวข้องกับตัวเรากับโลกภายนอก วันนี้ยุคที่สังคมด้อยค่าคำว่าครู ความรู้สึกขอบคุณมีนัยยะสำคัญมากในมุมส่วนตัว ในโลกที่สว่างกระจ่างจากความรู้ของครูทุกคนทั้งฟ้าทั้งดินที่อยากขอบคุณ

ทั้งสายลมสายน้ำที่พัดพาโอกาสซึ่งจริงๆ อาจเป็นตัวตนของครูที่เจือจางอยู่กับบางสิ่งบางอย่างที่เรามองไม่เห็น

ทุกคนต่างต้องหาทางระงับปวดด้วยตัวเอง

พ้นจากท้องหิวอิ่มแล้ว คนไม่เคยจบจากกิเลสตัณหาสารพัด ดูศาสดามหาบุรุษสิทธัตถะผู้สว่างกระจ่างแล้ว กว่าจะเดินทางผ่านพ้นเพื่อบรรลุ คิดถึงหนังเรื่องสิทธารถะที่สร้างจากงานเขียนของ Hermann Hesse หนังออกฉายราวๆ ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคมสักหนึ่งปี วาสุเทพ คนพายเรือรับจ้างพาคนข้ามฟากแม่น้ำ กลายเป็นครูผู้สอนให้สิทธารถะก้าวเข้าสู่โลกของการหลุดพ้นได้สำเร็จ

สิทธารถะเป็นเรื่องของชายหนุ่มฐานะดีเพียบพร้อมทุกอย่างที่แสดงโดย ซาซิ การ์ปูร์ หนุ่มหล่อชนิดพิมพ์นิยมเลยยุคนั้น พราหมณ์หนุ่มหน้าตาดี มีชาติตระกูลสูง ไม่ควรมีข้อข้องขัด ศรัทธาต่อวิถีทางโลก มีคนรักมีคนหลงใหล แต่ในใจเธอกลับไม่เบิกบานสมมติทางโลก จึงชวนโควินทะเพื่อนสนิทออกเดินทางตามหาสมณะ เพื่อค้นหาเส้นทางหลุดพ้น ระหว่างทางที่ศึกษากับสมณะ เธอได้พบพุทธเจ้าด้วย แต่ความป่วยไข้ของเธอก็ไม่ดับระงับลง ยังขุ่นข้องว่าการเดินตามเส้นทางคนอื่นไม่ใช่วิถีของตน จึงมุ่งแสวงหาด้วยวิธีหลุดพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง เธอหลุดเข้าไปในวิถีเงินตรา สุรายาเมา และกามกิเลสชุ่มฉ่ำจนสุดรังเกียจตัวเองแล้ว

แล้วการตัดสินใจครั้งสุดท้าย เมื่อเธอย้ายจากโลกแสงสีมาหายใจอยู่อย่างวิถีชาวบ้านกับวาสุเทพ คนแจวเรือรับส่งคนข้ามฝั่งน้ำ ชายชรากลายเป็นครูผู้สอนให้สิทธารถะก้าวสู่การหลุดพ้นด้วยตนเองได้สำเร็จ

ถึงที่สุด ทุกคนต่างต้องหายาระงับปวดด้วยตัวเอง มีความรู้จากครูสารพัดวิธี แต่เราเข้าไม่ถึง ทำไม่ได้สักวิธี จะด้วยต้นทุนทั้งรูปธรรมนามธรรมของคนไม่เท่ากัน หรือจะด้วยเหตุใดก็ตาม ความต้องการแสวงหามันยังอยู่ในทุกตัวคน แสวงหาแนวทางการใช้ชีวิตของตัวเอง เนื้อหาหลักครูทุกคนเอาไปใช้ในรูปแบบตัวเองได้ จะยึดติดแบบมากน้อยแค่ไหนก็ตามสะดวก เหมาะแต่ความต้องการของแต่ละคน คำตอบที่เห็นในหนังให้แนวทางการใช้ชีวิต ว่าการตั้งคำถามกับวิธีเดินทางไปให้ถึงจุดหมายในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

มีคำถามเกี่ยวกับความเชื่อว่าจำเป็นไหมต้องบวชเป็นพระจึงจะเข้าถึงหลักธรรมได้ ทุกคนน่าจะมีทางเลือกของตัวเอง ประเด็นอยู่ที่สติปัญญาในการเลือกได้ซึ่งไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์ที่ใครทำก็ต้องได้คำตอบเหมือนกันหมด ไม่ใช่เลย

สายน้ำในเวิ้งว่ายวนของวาสุเทพสอนว่า น้ำจะไหลลงที่ต่ำเสมอ เหตุของทุกอย่างคือการหยั่งรู้ระดับลึกในใจตัวเอง คนต้นทุนเพียบพร้อมคือโอกาสสะเปะสะปะ ถ้าไม่รู้จักใจตัวเองก็หลงได้ง่าย

คนที่ผ่านดีชั่วมาปกติก็จะเข้าใจโลก ก้าวข้ามกิเลสความดำมืดได้ไวไปถึงการบำเพ็ญเพียรได้เลย สุดท้ายก็คือใจเราแข็งแกร่งแค่ไหน เข้าใจตัวเองแค่ไหนจึงจะไม่หลงทาง

อีกอย่างคือความเป็นหนึ่งเดียวของเวลา เวลาเดินเป็นเส้นตรงหรือวงกลม Hesse บอกว่าเวลามีอยู่แค่ชั่วขณะเท่านั้น เหมือนสายน้ำที่เราบอกว่ามีต้นน้ำปลายน้ำ แต่ที่เป็นแม่น้ำคือสายน้ำไหลเป็นสายไปไม่มีก่อนหน้า ไม่มีหยุด น้ำในแม่น้ำอยู่ทุกที่ทุกขณะ แยกเป็นตอนๆ ไม่ได้ เหมือนกับเวลา ไม่มีอดีต มีแต่เดี๋ยวนี้

ตัวเราคือวันนี้ที่มีความอยากรู้อยากเข้าใจไม่รู้จบ ความรู้ใหม่ที่พอเหมาะกับตัวเองปัจจุบันขณะ ก็เท่านั้น

ไม่ยึดเอาความสำเร็จไว้เชิดอัตตา การยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเป็นไปจากการกระทำของตัวเอง ทำให้สงบได้จริง ถึงจะเป็นพักๆ ก็ยังดีกว่าไม่เกิดเลย ถึงที่สุดคือการยอมรับทั้งหมด ไม่ตีอกชกตัว ฝั่งซ้ายไม่ใช่อดีต ฝั่งขวาไม่ใช่อนาคต มีแต่ขณะข้ามไปข้ามมาคือขณะจริง

วันที่มองโลกได้หลายมุม ได้ใช้เวลาเดินตามความฝันใฝ่ กราบครูผู้ให้ ทั้งในโรงเรียน ในสายน้ำและสายลม.

 

 

nandialogue

 

 

เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม


เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’

You may also like...