the editor

คำสอนของหญิงสาว

ผมไม่ต่างจากคุณหรอก กระจอกฉิบหาย

เดินเข้าคาเฟ่ สั่งชัดถ้อยชัดคำว่า ‘อเมริกาโน่ร้อน’ รอคอย รับของ จ่ายตังค์ 50 บาท เพียงจิบแรกก็สะดุ้ง กาแฟเกือบๆ จะอุ่น แต่ไม่ มันค่อนไปทางเย็นมากกว่า หนักกว่านั้นคือหวานเจี๊ยบ

ทำไม่เป็น เขามาเปิดร้านขายของทำไม–ผมหงุดหงิด เซ็ง โกรธเกลียดความไม่เป็นมืออาชีพ กาแฟแก้วเดียวกับเงินแค่ห้าสิบบาททำให้อารมณ์เสียเป็นชั่วโมง บางวันคิดย้อนกลับไป คำถามก็ยังวนเวียนซ้ำๆ เขาทำขายได้ยังไงวะ

อีกวัน, นั่งกินน้ำเต้าหู้อยู่บนลานกลางเมืองน่าน ด้านหน้ามีนักดนตรีคนหนึ่งเล่นอยู่ ฝีมือเขาปานกลาง ไม่เลิศหรู แต่ก็ไม่แย่ โดยรวมถือว่าพอฟังได้ ใครพอใจจะหยิบยื่นแบงก์ยี่สิบ ห้าสิบ เป็นการตอบแทนกันก็ตามสะดวก หรือใครไม่มีความรู้สึกร่วม แค่นั่งฟังเฉยๆ หรือกิน ดื่ม พูดคุยกับเพื่อนไป ก็แล้วแต่ท่าน

ผมมาที่นี่หลายครั้ง คุ้นเคยดีกับเพลงเก่าใหม่ที่เขาเลือกมาเล่น (ความในใจ, เต็มใจให้, น่านน่ะสิ, อุ๊ยคำ, บ้านบนดอย, รางวัลแด่คนช่างฝัน, รอวันฉันรักเธอ ฯลฯ) วันนี้เขาเล่น ‘รักครั้งแรก’ ผมชอบเพลงนี้ และเป็นแฟนของวง ‘ชาตรี’ มาตั้งแต่เรียนมัธยมฯ ต้น โดยคุณภาพเนื้อร้องทำนอง ‘รักครั้งแรก’ เป็นเพลงโปรดของคนจำนวนมากอยู่แล้ว และมาขยายกลุ่ม ได้แฟนใหม่ๆ อีกมาก ตอนที่ถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในเพลงประกอบภาพยนตร์ ‘แฟนฉัน’ งานทำเงินร้อยกว่าล้านของ GTH

พลบค่ำ อากาศหนาว และนานๆ ได้ฟังเพลงโปรด ผมย่อมรู้สึกดี แต่ช่วงใกล้จบเพลงทุกอย่างก็พัง เมื่อนักร้องแก้เนื้อ ‘อยากบอกเธอ รักครั้งแรก’ เป็นเวอร์ชั่นใหม่ของเขาในเย็นนี้ ‘อยากบอกเธอ เอาครั้งแรก’

อธิบายกันให้เคลียร์ๆ ว่าผมไม่ได้รังเกียจเซ็กซ์ หรือเรื่องราวคาวใคร่ แต่คุณพอนึกออกใช่ไหม ลานกลางเมืองแห่งนี้เป็นที่เปิด มีเด็กมากับผู้ปกครอง คนดื่มเบียร์พอมี แต่ก็มีคนกินน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ สลัดผัก มีคนซื้อขายเสื้อผ้าพื้นเมือง และเมื่อกี๊นักร้องคนเดียวกันนี้ก็เพิ่งร้อง–น่านน่ะสิ มากี่ทีๆ อยากอยู่นานๆ

ความรักสนุก หรืออารมณ์ลามกเถื่อนๆ เราคงพอทำได้แหละ ทำได้แน่ๆ แก้เพลงดีๆ (ที่ผู้ประพันธ์สร้างสรรค์มาด้วยหัวใจผ่องแผ้ว) ให้เป็นเพลงแย่ๆ ก็คงพอทำได้ ประเด็นคือมันน่าจะต้องอ่าน ‘กาลเทศะ’ ให้ถี่ถ้วนรอบคอบว่าใช่เวลานี้มั้ย ใช่สถานที่แห่งนี้หรือเปล่า

จะร้องที่ไหน ตอนไหน ก็ว่ากันไป แต่ผมเห็นว่าไม่ใช่เวลานี้ มันทำลายทุกอย่างหมดเลย ค่ำคืนดีๆ ความงดงาม ความเบิกบานที่กำลังผลิบาน จบ เซ็ง รังเกียจ อารมณ์ที่อยากจะนั่งชื่นชมชีวิตเหือดแห้ง กลับบ้านๆ

ผมก็เหมือนคุณนั่นแหละ กระจอกฉิบหาย

โกรธ เมื่อขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านตอนดึกแล้วเจอรถสวนเปิดไฟสูง, โฆษณาเข้ามาทางมือถือ-แก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ตามราวีไม่จบไม่สิ้น, ตั๋วรถไฟระบุเวลาเดินทางสี่ทุ่ม แต่ห้าทุ่มกว่า มันยังไม่โผล่หัวมา ฯลฯ ถามว่าเรื่องพวกนี้ถูกต้องดีงามแล้วหรือเปล่า มันไม่ถูกแน่ๆ ไม่ดีแน่ๆ และความรู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธเกลียดที่เกิดขึ้นนั้นคู่ควรแล้วหรือเปล่า ผมเห็นว่ามันก็สมควร สั่งกาแฟร้อน มันก็ควรได้กาแฟร้อน ตกลงกันว่าสี่ทุ่ม มันก็ต้องสี่ทุ่ม เรื่องแบบนี้จำเป็นที่ต้องประพฤติปฏิบัติ ว่าไปมันก็โคตรจะพื้นฐาน ก็แค่รักษาความปกติ ทำให้เป็นปกติ แต่ก็อย่างว่า ยิ่งกับเรื่องปกติที่ไม่ได้รับนี่แหละมันยิ่งชวนหงุดหงิดรำคาญใจ การเปิดไฟสูงใส่กันนี่เรื่องใหญ่นะครับ อันตรายถึงชีวิตได้ง่ายๆ 

โดยสรุปก็คือสิ่งใดสมควรโกรธ ก็โกรธไปเถอะ (และฝ่ายที่ทำผิด พลั้งเผลอทำร้ายผู้อื่นก็ต้องรีบปรับแก้) ประเด็นที่อยากชี้ชวนทุกคนมาคุย เรากำลังจมอยู่กับความโกรธเพียงบางเรื่องหรือเปล่า กระทั่งบางทีไปมัวหัวฟัดหัวเหวี่ยง เอาเป็นเอาตายกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง จม หลง และสุดท้ายก็จะลืมว่ามาเฟียหรือผู้ร้ายตัวเป้งคือใคร ต่อกรณีนักร้อง ‘เอาครั้งแรก’ ถ้าผมจะหงุดหงิดขนาดนั้น วัดขนาดและน้ำหนักความเสียหายแล้ว ระหว่างอารมณ์ลามกเกินเลย ไม่รู้เวลา กับป้ายโฆษณาชวนเชื่อในกรอบรูปสีทองของผู้ศักดิ์สิทธิ์ อะไรน่าขยะแขยงกว่ากัน ระหว่างอเมริกาโน่หวานๆ กับรัฐประหารปกป้องศักดินา อะไรกันแน่ที่น่าคับแค้น เก็บเอามาขบคิดหาทางล้างชำระ

จนถึงวันนี้ เราจะต้องเสียเวลาอภิปรายกันอีกจริงๆ หรือว่าพิษภัยของ 112 คืออะไร

จนถึงนาทีนี้ เราจะต้องพูดซ้ำๆ อีกกี่แสนกี่ล้านครั้งว่าคำถามและ freedom of speech คือพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ มันทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ ทำให้สติปัญญาพัฒนาไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด

หลายปีมานี้ หลายคนก็พูดกันมาพอสมควร ใช่–ผมเห็นว่าพวกเราโกรธแค้นกันน้อยเกินไป ยังไม่ต้องพูดว่าส่วนใหญ่มักใช้เวลาโกรธกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ใครๆ ก็รู้ ความโกรธเป็นพลังงานด้านลบ ความโกรธแค้นเกลียดชังไม่ใช่ความดีงาม สิ่งนี้นักศีลธรรมกรุณาหุบปากของท่านไว้เถิด ถ้าสุนัขมันพูดได้ ย่อมกู่ตะโกนสวนกลับว่าพวกมันล้วนตระหนักในสัจจะระดับอนุบาลเช่นนี้ คล้ายๆ ความก้าวร้าว ความรุนแรง ป่าเถื่อนหยาบคาย โดยรากลึกๆ สิ่งเหล่านี้อยู่ตรงข้ามกับความดีงามอ่อนโยนอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่า–ถ้าเราท่านไม่ไร้เดียงสาจนเกินไป ย่อมแยกแยะได้ ใช้ให้เป็น พลังงานมืดที่ว่าก็มีประโยชน์ ประหนึ่งดวงดาวจะสุกสกาวที่สุดบนท้องฟ้าคืนเดือนแรม หากโลกมีแต่สีขาว แสงดาวย่อมไม่มี

ผมไม่ได้อยากเห็นใครโกรธ กับตัวเอง ก็ไม่ได้ชอบ ยิ่งเวลาโกรธกับเรื่องโง่เขลาเบาปัญญา แต่ถ้ายังไงเราต่างก็ละเลิกไม่ได้ แต่ละวัน แต่ละปัญหา กระตุ้นให้อารมณ์ดีๆ ของเราหายไปอยู่แล้ว ผมว่าเราน่าจะใช้โอกาสนี้วิเคราะห์กันให้เข้มข้นว่าอะไรควร-ไม่ควร, ใช่-ไม่ใช่, มากไปหรือน้อยไป เพราะถ้าโกรธผิด มันก็เท่ากับแยกแยะไม่เป็น เรื่องควรปล่อยผ่านมองข้าม กลับทุ่มเทรบราบ้าคลั่ง เรื่องสมควรพลีชีพ ดับเครื่องชน เรื่องที่ยอมรับไม่ได้ กลับทำตัวเป็นก้อนหิน ปิดหูปิดตา ไม่เอามาเป็นอารมณ์ คุณรู้ใช่มั้ย ทำแบบนี้บ่อยๆ สุดท้ายจะกลายเป็นคนเลือดเย็น

กอดดีกว่าโกรธ–ขอร้องเถอะ นักศีลธรรมอย่ามาจีบปากจีบคอสั่งสอน มันก็ดีน่ะสิ ทำไมจะไม่ดี ถ้าโลกนี้ไม่มีขยะ ไม่มีฆาตกร โลกไร้อสรพิษ ไร้วิญญูชนจอมปลอม ทำไมจะไม่ดี แต่ความจริงโลกมีชนชั้นศักดินาซึ่งกอบโกยเอารัดเอาเปรียบ ความจริงประเทศไทยมีรัฐประหาร รัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า ความจริงประเทศไทยมี ม.112 และมีคนพยายามเสนอให้เพิ่มขอบเขตอำนาจของมันให้บ้าคลั่งขึ้นไปอีก เราจะกอดกันได้จริงๆ หรือ ในขณะที่มือของอีกฝ่ายถือโซ่ตรวนมาไล่ฆ่าจับขัง 

แค่พูด แค่ถาม ไม่เห็นด้วยก็ถกเถียงโต้แย้ง วิถีผู้เจริญมีอยู่ รู้อยู่ แต่มันถูกฉีกทิ้งไปนานแล้วบนแผ่นดินนี้

ในเรื่องที่น่าโกรธ ผมเห็นว่ามันอาจจำเป็นที่เราต้องโกรธให้มากขึ้น แต่เดิมใจดีก็ต้องแก้ไข ขับรถเป็นแล้ว ต้องโกรธให้เป็น โกรธไม่เป็นก็ต้องฝึก จะมัวอารมณ์ดีไม่ได้ มองโลกแง่ดีตลอดเวลาไม่ได้ ก็เพราะใจดีแบบนี้ไง เครือข่ายรัฐประหารในเมืองไทยจึงแข็งแรงและอายุยืน

จนถึงวันนี้ คุณก็ต้องรู้สิ ในเรื่องนักโทษการเมือง ผู้ลี้ภัย เข้าใจถ่องแท้ว่ามันไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัว

จนถึงนาทีนี้แล้ว ภาพการใช้อาวุธสงครามฆ่ากลางเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย การโยนศพลงแม่น้ำ คำพิพากษาที่ไม่เหลือหลักคิดใดๆ ทางนิติรัฐนิติธรรม คุณจะบอกว่าไม่รู้ ไม่เห็น เฮ้ย มันคงไม่ใช่แล้วมั้ง ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีคนเป็นร้อยๆ โดนจับขังคุก หลายคนไม่ได้รับสิทธิพื้นฐานเรื่องการประกันตัว แค่เพียงพวกเขาและเธอพูด ถาม ขีดเขียน

ด้วยความจริงใจ ผมเล่าให้คุณฟังว่าโกรธที่สั่งกาแฟร้อน แต่มันไม่ร้อนและหวาน โกรธที่นักดนตรีเปิดหมวกคึกคะนองดัดแปลงเนื้อร้อง โกรธเจ้าของรถที่เปิดไฟสูงไส่หน้า ฯลฯ แน่นอนว่าผมโกรธเครือข่ายคณะรัฐประหาร โกรธเรื่องการยืนยันการมีอยู่และบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 โกรธ ส.ว.ทาส ที่ยกมือเป็นลิ่วล้อค้ำยันให้โครงสร้างจารีตจัญไรยืดอายุ โกรธนักวิชาการ นักสื่อสารมวลชนที่ไม่มีสปิริตของวิชาชีพ จะโกรธยังไงก็ตาม เมื่อวัดขนาดและน้ำหนัก วัดความกล้าหาญและการลงทุนลงแรง มีสิ่งใดที่ผมพอจะเทียบเคียงได้กับ ‘แบมและตะวัน’

ไม่ต้องคิดหาให้เสียเวลาเลย คำตอบคือไม่มี

โคตรน่าอาย ขณะที่เด็กสาวสองคนโกรธกระบวนการยุติธรรม และแปรแปลงความโกรธนั้นเป็นข้อเรียกร้อง นำเสนอให้สังคมของเราช่วยกันครุ่นคิด หาทางออก พูดดังๆ พูดซ้ำๆ ซากๆ มานานแล้วไม่ฟัง ก็ถอนประกันตัวเอง ยอมเดินกลับเข้าเรือนจำและอดข้าวอดน้ำ เอาชีวิตเข้าแลก

เพื่อให้ ‘ผู้ใหญ่’ ทำตัวให้เป็น ‘ผู้ใหญ่’

เพื่อความยุติธรรมที่ยังคงเป็นความยุติธรรม

เหนืออื่นใดคือการปักธงหลักคิดอารยะว่าด้วยสิทธิเสรีภาพและ ‘คนเท่ากัน’

นาทีที่แบมและตะวันเทสีแดงราดตัว นาทีที่ศาลประกาศถอนประกันจริงๆ นาทีที่เด็กสาวทั้งสองเดินเข้าเรือนจำ เห็นภาพเช่นนี้แล้วคุณไม่รู้สึกโกรธแค้นใดเลยจริงๆ หรือ ใครมันจะเลือดเย็นได้ขนาดนั้น ไม่น่านะ ไม่มีหรอก คนไม่ใช่สัตว์ คนเรามันต้องแยกแยะชั่วดีได้สิ ต้องศรัทธาในความเป็นธรรม พบเจอความไม่เป็นธรรมแล้วต้องโกรธ

คำถามคือโกรธแล้วอย่างไร ? โกรธแล้วขบคิดแค่ไหนว่าเราพอจะทำอะไรได้บ้าง ? โกรธแล้วจะคงสถานะความเป็น ‘ไทยเฉย’ ไปจนตายเลยหรือ ?

สั่งกาแฟร้อนแล้วไม่ร้อน, เมื่อไรเสียงตามสายแม่งจะเลิกประกาศเชิญชวนทำบุญสักทีวะ, ซ่อมท่อประปาหรือวางสายไฟแล้วทำไมเอาแผ่นเหล็กมาวางกลางสี่แยกแบบนั้น, โพสต์เฟซบุ๊กแล้วยอดไลก์น้อยจังเลย หงุดหงิดโว้ย ..ผมไม่ต่างจากคุณหรอก กระจอกฉิบหาย.

 

 

nandialogue

 

 

เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

You may also like...