interviews nandialogue
interview

ปิดตำนานเพื่อชีวิตน่าน ‘ชายชื่อกานต์’ โบกมือลา “มันไม่มีแล้ว หมดตัวแล้ว เป็นหนี้แล้ว”

เมืองเล็กกะทัดรัดเท่านี้ จะชอบเพลงเพื่อชีวิตหรือไม่ชอบไม่สน จะเป็นคนรักอาหารพื้นเมืองหรือไม่ฝักใฝ่ใดๆ เลย ย่อมต้องเคยผ่าน เคยมอง หรือรู้จักร้าน ชายชื่อกานต์ เพราะมีบุคลิกโดดเด่น สะดุดตาด้วยข้าวของเครื่องใช้สมัยคุณตาคุณยายยังเป็นเด็ก

แปดปีที่เปิดบริการมา หลายคนอาจเป็นลูกค้าเก่าแก่ อีกบางคนอาจเคยไปดูคอนเสิร์ตศิลปินดัง

จู่ๆ ร้านที่เต็มไปด้วยแสงสีและมีชีวิตชีวาแห่งนี้ก็ประกาศปิดกิจการ เจ้าของเปลือยกายกอดกีตาร์แสดงสถานะว่าหมดตัวแล้ว

กานต์ บัวเพชร วัย 49 ปี เป็นลูกครึ่งน่าน นครศรีธรรมราช

พ่อเป็นทหาร มาพบรักกับแม่ที่น่าน เขาเกิดบนแผ่นดินล้านนา แต่ไปโตที่สุราษฎร์ธานี สลับไปๆ มาๆ เป็นปลาสองน้ำ เรียน ปวส. ได้ปีหนึ่งแล้วถูกรีไทร์จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเกษตรน่าน ลงใต้ไปเรียนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ มอ. วิทยาเขตสุราษฎร์ แต่ประวัติศาสตร์ก็ย่ำซ้ำรอยเดิม, ที่สุดวงเหล้า โต๊ะสนุ้กฯ และกีตาร์ ก็พาเขาเดินออกจากรั้วโรงเรียนแบบถาวร

จากเด็กเสิร์ฟ มาเป็นนักดนตรีกลางคืน ผ่านเวทีหลากหลาย ตั้งแต่สุราษฎร์ฯ เชียงใหม่ สุไหงโกลก พัทยา แล้วย้อนรอยคืนรังมาลงหลักปักฐานอยู่ที่น่าน ด้วยมองว่าภูเขา แม่น้ำ และสังคมผู้คนที่นี่เหมาะกับการเจริญเติบโตของบุตรธิดา

เฉกเช่นคนหนุ่มสาวร่วมสมัยจำนวนไม่น้อย เดือนพฤษภาคม ปี ’35 กานต์ร่ำๆ ว่าจะไปลุยสมรภูมิราชดำเนิน

เลือดในกายมันพุ่ง–เขาใช้คำนี้ แต่พ่อถูกรถชน เขาจำต้องเฝ้าดูแลอยู่โรงพยาบาล กระนั้นเพลงและบรรยากาศแบบนั้นก็ฝังลึกในเลือด สลัดไม่ออก รูปทรงหีบห่อของเขาถ่ายบล็อกมาดังคำกล่าว ‘สำเนาถูกต้อง’ แม้ทุกวันนี้เพลงเพื่อชีวิตอ่อนแรงโรยลา สีหน้าแววตาชายชื่อกานต์คงเดิม แต่งเพลง เล่นกีตาร์ พาลูกเมียร้องรำทำเพลงคล้ายๆ ที่ ‘โฮปแฟมิลี่’ เคยเดินล่วงหน้ามาก่อน

แต่งเอง ร้องเอง ทำเพลงมาสามอัลบั้ม จะว่าน้อย คงไม่ใช่

ทำงานมาสารพัด ตั้งแต่ขายกางเกงยีนส์ แว่นตา เข็มขัด เปิดร้านอาหาร ขายข้าวแกง ข้าวเหนียวหมูทอด เคยขายก๋วยเตี๋ยว เล่นดนตรี เปิดหมวก ขายทุเรียน (เขาบอกว่าแกะทุเรียนจนมือฉีก) จะบอกว่าขี้เกียจทำกิน คงพูดไม่ได้

ทำมาหมด ไม่เห็นมันจะรวย–เขาว่าของเขาแบบนี้ และสุดท้าย ร้านอาหารที่เคยรุ่งเรืองมาแปดปี เคยเป็นจุดรวมพลของคนรักเพลง รักดนตรีสดๆ ก็ต้องปล่อยเซ้ง ปิดตำนาน

เพราะโควิด รัฐบาล หรือเพราะอะไร ลองฟังชายชื่อกานต์บอกเล่า..

 

Interviews nandialogue

 

เห็นขึ้นป้ายว่าปล่อยเซ้ง และจะปิดร้าน หยุดขายสิ้นเดือนนี้ จริงมั้ย

จริง แบกมาสองปีแล้ว ตั้งแต่โควิดรอบแรก ทนทำมาและไม่มีวี่แววว่าจะไปต่อได้ เลยพักก่อน ปล่อยเซ้งเพราะถ้าเราขนของกลับบ้านหมด ก็ไม่มีเงินติดมือ เพราะโควิดสองรอบนี่จากที่ปลดหนี้เก่าไป กลายเป็นว่ากลับมามีหนี้สินเหมือนเดิม คิดแล้วมันไม่ไหว เลยต้องพัก

โควิดรอบแรก ผมรื้อหน้าร้านใหม่ ขายก๋วยเตี๋ยวปลา ข้าวต้มปลา แล้วกลับมาเปิดร้านได้อีกทีตอนตุลาฯ เปิดได้สามสี่เดือน พอกุมภาฯ ปิดอีก รอบนี้ก็ขายทุเรียน ลาบ น้ำตก แกง ขนมจีน ขายของกินที่น่าจะพอถูไถได้ คิดแบบนั้น ลองทำดูแล้ว แต่ก็ไม่ไหว รอบนี้หนัก ผมกลับมาอยู่น่านได้ 12 ปี รอบนี้หนักจริง

ก่อนนั้น..

อยู่พัทยาสิบปี เชียงใหม่ สุราษฎร์ฯ อยู่หลายที่ พ่อเป็นคนนครศรีธรรมราช แม่คนน่าน ผมเกิดที่นี่ โตที่สุราษฎร์ฯ เรียนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำงานกลางคืน เริ่มจากเด็กเสิร์ฟ มาเป็นนักดนตรี เรียนไม่จบ เกเร ทางบ้านด้วย หลายๆ อย่าง เลยเลิกเรียน หันมาเล่นดนตรี

หัดเองหรือเรียนมา

เล่นในวงเหล้า ก๊องแก๊งไป ซ้อมกับเพื่อนในวิทยาลัยบ้าง เจ้าของร้านที่ไปเสิร์ฟเขาเห็นผมสะพายกีตาร์ไปมา วันนั้นนักดนตรีไม่มี เลยให้ลองไปเล่นดู จำได้ วันลอยกระทงปี ’35 จากนั้นเป็นนักดนตรีมาตลอด ปี ’39 ขึ้นเชียงใหม่

ทำไมถึงย้าย

ในวงการคนเล่นโฟล์ก ถ้าจะเจ๋งต้องไปบู๊ที่เชียงใหม่ เป็นดงโฟล์ก ผมไปคนเดียวก่อน เพื่อนมือโซโลตามไป มีรุ่นน้องอีกคนที่เป็นเด็กเสิร์ฟ พอไปเชียงใหม่กลายเป็นมือเพอร์คัสชัน ก็เล่นด้วยกัน

ก่อนออกจากสุราษฎร์ฯ ติดต่อร้านที่เชียงใหม่ไว้แล้ว มีที่เล่น ?

ไม่มี

แล้วนั่งรถไปที่ไหน

ได้คุยกับแฟนเก่า เจอกันตอนแม่เสีย ขอเบอร์ไว้ เขายังไม่มีใคร เหมือนขึ้นไปหาเขานั่นแหละ และไปหางานทำ ที่ไหนว่างก็ไป นักร้องนำออก เราเสียบ ทำแทน ผมอยู่เชียงใหม่ถึงปี ’42 แล้วลงมาพัทยา

ค่าตัวนักดนตรี พ.ศ.โน้น ที่เชียงใหม่พออยู่ได้มั้ย

ช่วงพีกๆ หน้าหนาว ผมเล่นตั้งแต่หกโมงเย็นถึงตีสาม คืนเดียวสี่ร้าน โฟล์กสองร้าน เล่นแบนด์สองร้าน ค่าตัวตกราวๆ ชั่วโมงละ 150 บาท พอมีปัญหากับร้านที่เชียงใหม่ เลยลงพัทยา ได้เงินเดือนสองหมื่นสี่มั้ง ประมาณชั่วโมงละสองร้อย เล่นที่เดียว ทำสัญญาชัดเจน ยุคนั้นพัทยาปิดตีสี่ ก่อนมีปุระชัย (เปี่ยมสมบูรณ์) มีสองวง เล่นสลับ รอบละสองชั่วโมง เลิกดึก เพราะเจ้าของร้านทำอาบ อบ นวดด้วย

เล่นเพื่อชีวิต ?

ยุคนั้นเพื่อชีวิตขายได้ เพลงสากลเล่นบ้าง แต่ไม่เยอะ ปี ’45 ผมขึ้นเชียงใหม่อีกรอบ ไปทำอัลบั้ม เขียนเพลงเองทั้งหมด ทำเสร็จ นั่งรถจากเชียงใหม่ไปสุไหงโกลก เคยคุยกันว่ามึงเปิดร้านที่ไหน กูจะไปช่วยเล่น ก็ทำตามสัญญา เล่นสามเดือน แฟนใกล้คลอดด้วยช่วงนั้น ก็พากันกลับบ้านสุราษฎร์ฯ ผมเล่นดนตรีที่สุราษฎร์ฯ อีกปีกว่าๆ วงที่พัทยาโทรฯ ตามให้กลับไปทำงาน หอบลูกหอบเมียไปด้วย รอบนี้อยู่พัทยาอยู่ถึงปี ’52 และเลิกกัน แล้วแฟนคนนี้ (คนปัจจุบัน) ช่วยเลี้ยงลูกตั้งแต่สามขวบ ลูกกับแฟนเก่าเป็นเด็กพิเศษ ปีนี้อายุสิบเก้าแล้ว เรียนอยู่น่านปัญญานุกูล ชอบงานปั้น งานวาด แฟนช่วยเลี้ยงให้ผมมาตลอด จนมาได้ลูกสาวอีกคน คลอดเดือนเมษา ’52 พอกรกฎาฯ ผมตัดสินใจกลับน่าน โดยไม่รู้จะมาทำอะไรด้วยซ้ำ

ทำไมเลือกน่าน

อยากออกจากพัทยา มันเบื่อ เราเห็นสังคมกลางคืน เห็นอะไรแย่ๆ ไม่อยากให้ลูกโตมาในที่แบบนั้น เอาง่ายๆ วันไหล แม่งแทงกันทุกปี เราอยากหาที่ไหนก็ได้ ที่มาสร้างครอบครัว ระหว่างสุราษฎร์ฯ บ้านแฟนที่อุดร และน่าน ผมเลือกมาที่นี่ มาถึงไม่รู้จะทำอะไร ก็ลองขายก๋วยเตี๋ยว ขายได้สามเดือน เจ๊ง ป้าเลยชวนไปขายในโรงเรียน ป้าผมเป็นอาจารย์คหกรรมที่สตรีศรีน่าน ขายข้าวแกง แฟนทำ ช่วยกัน เตรียมของ ขายไม่ได้ เด็กไม่กินเจ้าใหม่ เลยเปลี่ยนไปทำข้าวเหนียว หมูทอด หมูหวาน มีหลายอย่าง คราวนี้ไปได้ ขายอยู่สองสามปี ทางโรงเรียนเขาเปลี่ยนระบบ มีคนมาประมูล เราสู้ราคาไม่ไหว จากปีละเจ็ดแปดพัน มันขึ้นไปสองสามเท่า เลยมาทำร้านนี้

ค่าเช่าร้านเท่าไร

หมื่นนึง แต่ปีแรกขอเขาเก้าพันก่อน เขาก็โอเค เปิดร้านเดือนกรกฎาฯ ’57 ค่าเช่าเท่านี้ ถามผม เราเคยอยู่เมืองใหญ่มา ค่าเช่าตึกห้องหนึ่ง ราคาอยู่ที่แปดพันถึงหมื่น ได้พื้นที่หน้ากว้างสี่เมตร ลึกสิบสองเมตร อาจได้ชั้นบนด้วย แต่เราทำร้าน ไม่ต้องการชั้นบน ที่นี่ถือว่าสู้ได้ ที่เหลือเฟือ ตอนหลังเจ้าของขอปรับเป็นหนึ่งหมื่นหนึ่งพัน ผมคุยกับแฟนว่า ถึงเขาขึ้นค่าเช่า เราสู้ได้ถึงหมื่นห้าด้วยซ้ำ ถ้าสถานการณ์ปกติ คนเยอะ ตั้งโต๊ะติดๆ กันแน่น

‘ชายชื่อกานต์’ มีจุดขายอะไร

ขายอาหารทั่วไป ต้ม ผัด แกง ทอด แกงป่า ผัดฉ่า รสจัดจ้านหน่อย สำหรับคนชอบดื่ม หลังๆ กลายเป็นร้านเหล้าเพราะเราเล่นดนตรี ทีแรกเล่นคนเดียว ตอนหลังเอากลองมา กีตาร์อีกตัว หาคนมาช่วยเล่นเพราะอยากให้มันครบๆ หลายอารมณ์

เริ่มต้นปุ๊บ ไปได้เลยมั้ย

ไปได้ ปีที่ผมเปิด เมืองน่านไม่มีร้านสไตล์นี้ กินข้าว มีดนตรีเล่น ร้านอารมณ์ผู้ใหญ่หน่อย เน้นเพลงเพื่อชีวิต เล่นลึกได้ คาราวานเก่าๆ ที่เขาไม่ค่อยเล่น งานน้าหมูเก่าๆ ที่ไม่ใช่เพื่อชีวิตสายตลาด ผมเล่นได้เยอะ

เปิดปุ๊บไปได้ ?

ไปได้ อยู่ได้ เจ้าของถือว่าใจดี ผมไม่ค้างค่าเช่า ไม่เคยมีปัญหาเรื่องค่าเช่า ปีแรกมีแค่เจ็ดโต๊ะ เอามาตั้งๆ นั่งได้ จบ ค่อยขยับขยาย ได้เงินของลูกชายมาหกหมื่น เงินกู้คนพิการ เปลี่ยนเก้าอี้ ทำร้านให้มันนั่งสบาย

ของตกแต่งเยอะมาก ไปหามาจากไหน

นี่คือเอาออกไปเยอะแล้วนะ เตรียมย้ายออก นิสัยผม เวลาเอาของไปขาย ผมเอาไปเอง พวกขวดเบียร์เก่า ไปแล้วเจออะไร ก็เก็บ ร้านของเก่าเป็นแหล่งชอปปิ้งของผม บางทีสั่งคนไว้ว่าถ้ามีเทป มีสมุดพระราชทาน ผมซื้อนะ

เทปข้างผนังนั่นสักกี่ม้วน

เดิมมันมีอยู่ 1,200 ม้วน ตอนนี้เหลือสี่ร้อย เหลือไว้ให้เจ้าใหม่ ใครมาเซ้งเขาจะได้มีของตกแต่งอยู่ ..พวกนาฬิกาตุ้ม ผมเก็บตั้งแต่ก่อนเปิดร้าน ชอบ คนอื่นอาจไม่สนใจ เราชอบของเรา ซื้อมาพันสามถึงพันห้า บางเรือนห้าร้อยเจ็ดร้อย แต่บางเรือนก็มาโดนค่าซ่อมอีก

 

Interviews nandialogue

 

ยังเดินได้เหรอ

ได้ ลานมันเบี้ยวบ้าง รอบแรกขายไป 10 เรือน ตอนน้ำท่วม ล่าสุดขายอีก 15 เรือน เหลือ 4-5 เรือนมั้ง เพิ่งขายกินไปตอนโควิดรอบสอง

นอกจากนาฬิกา ?

ของเก่า สมุดพระราชทานปกสีน้ำตาล ได้จากร้านของเก่า โปสเตอร์หนัง ช้อน ถาด ได้จากร้านของเก่าทั้งนั้น ถาดนี่ซื้อเป็นกิโลๆ ถ้าเข้ากรุงเทพฯ ใบละไม่ต่ำกว่าแปดสิบบาท หรือร้อย ร้อยยี่ อัพตามลวดลาย ร้านนี้ผมออกแบบเอง น็อตทุกตัว โคมไฟ พัดลม ติดเอง ที่ทำเองไม่ได้คือพวกแอร์ ผมไม่มีความรู้ อย่างพวกไฟ ผมใช้ถอดปลั๊ก ไม่ต่อพ่วงเพราะกลัวช็อต 80% ไฟถอดปลั๊ก รูปบายนอันนั้น เพื่อนเขียนให้ ตอนนี้เจ้าของไปอยู่สวิสแล้ว ปกติร้านผมเป็นที่รวมของเพื่อน คนในยุคผม คนฟังเพลง

คนกลุ่มไหน

คนทำงาน อายุสามสิบห้าอัพ วัยรุ่นไม่ค่อยมี

ลองลำดับเหตุการณ์ที่ทำธุรกิจร้านนี้มา..

สะดุดเพราะโควิดนี่แหละ

ตอนช่วงเติบโต มันสักขนาดไหน

เด็กเสิร์ฟเจ็ดคน ในบาร์อีกสอง ครัวสี่คน โต๊ะ 35 ตัว ทั้งนอกร้านในร้าน เต็มบ่อย วันพีกๆ คือคนมากินข้าวหัวค่ำ รอบดึกมาอีกชุด ชุดแรกกินข้าว ชุดหลังกินเหล้า

เคยผ่านยุครุ่งเรือง ?

รุ่งเรืองมาตลอด เต็มเกือบทุกวัน ก่อนโควิดผมจัดคอนเสิร์ตใหญ่ปีละครั้ง น้าหงาเต็มวง, อี๊ด ฟุตบาท, ซูซู, มาลีฮวนน่า คนล้นออกไปถึงข้างนอก หมดโควิดรอบแรก เปิดร้านตุลาฯ พอพฤศจิกาฯ ผมจัดมาลีฮวนน่าอีก เต็มอีก

จัดคอนเสิร์ตมาไม่มีคำว่าล้มเหลว ?

ซูซูได้น้อยหน่อย ฟีดแบกไม่ดีเท่าไร เพราะแกขึ้นเวทีสีซึ่งผมไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้ คนทางนี้เห็นต่างเยอะ ไม่ขาดทุนนะ กำไรคือได้ดู สนุก ส่วนมาลีฮวนน่านี่สบาย คนเยอะ ตั้งหน่วยคัดกรองกันก่อนเข้า

ค่าตัวมาลีฮวนน่าเท่าไร

สิบสอง ไม่รวมเครื่อง เครื่องเสียงผมจ้างอีกสามหมื่น รวมแล้วก็แสนห้า ขายได้ จัดงานทุกครั้งโอเค ผมมีแพลนจัดรอบสามด้วย คุยกับมาลีฮวนน่าไว้แล้ว คราวนี้จะจัดที่อื่น สามคืนต่อเนื่อง มีหลายๆ วง แต่จบหมดแล้ว

ตั้งแต่โควิดมา มันส่งผลกระทบยังไบ้าง ได้รับการเยียวยาอะไรมั้ย

เยียวยานักดนตรี ผมได้ตอนแรก ตอนหลังไม่ได้ ต้องลงทะเบียนสมาคมนักดนตรี เราอยู่น่าน ต้องไปกรุงเทพฯ ถามในเน็ต ไม่มีใครให้คำตอบได้ สรุปคือได้แค่รอบแรก จำไม่ได้ว่าเท่าไร

ถึงหมื่นมั้ย

ไม่ถึง.. โควิดรอบสอง เดือนตุลาฯ ยังหมิ่นเหม่ พฤศจิกาฯ น่านให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ ผมเปิดร้าน ก็มีคน อาจน้อยลงบ้าง เพราะบางส่วนยังกลัว แต่ก็มีลูกค้า ธันวาฯ ยังได้อยู่ มาปิดหลังปีใหม่ วันที่สิบกว่าๆ เพราะร้านอื่นเริ่มติดกันเยอะ ก็มีคำสั่งงดเลยทีนี้ ห้ามกินเหล้าในร้าน เป็นคำสั่งของจังหวัด

ร้านลาบ ร้านส้มตำ นั่งกินเหล้ากินเบียร์ได้ ?

ผมก็ไม่เข้าใจว่ายังไง นี่ก็เพิ่งเล่นหน้าดีเบสต์ จุดนั้นคนนั่งดื่มได้ แต่ร้านผมห้ามดื่มห้ามขาย ร้านน้องชายผมอยู่หัวสนามบิน ร้านปั๊ม ก็โดน แต่ลาบเป็ดอุดรไม่โดนตรวจ ผมไม่เข้าใจ มันแปลกๆ มั้ย เขาบอกว่าการกินเหล้าทำให้แพร่เชื้อง่าย เสี่ยง เมาแล้วกอดคอกัน มานั่งย้อนคิด แล้วทีคนซื้อเบียร์ไปกินที่บ้านได้ ซื้อเซเว่นฯ ไปกินริมแม่น้ำ ได้ เออ นี่ ริมถนน พี่ดู คนนั่งกินอยู่หน้าร้านอีซูซุ นี่เห็นๆ เลยว่าทำได้ แต่ร้านผม พ่อแม่ลูกมากันสี่ห้าคน จะกินเบียร์สักสองขวด ทำไม่ได้

 

Interviews nandialogue

 

เป็นคำสั่งจังหวัด ?

ใช่ มีในไลน์ รู้กันว่าช่วงนี้ห้าม ผมไม่ค่อยอยากมีปัญหาเรื่องพวกนี้ รำคาญ เขาไม่ให้ขาย ก็ไม่ดื้อ

ให้ความร่วมมือทุกอย่าง ?

ก็เพราะให้ความร่วมมือนี่แหละที่จะตาย ผมประกาศเซ้งร้านมาสองสามครั้งแล้ว ตั้งแต่โควิด ที่ถอดเสื้อผ้าชูป้าย คืออยากให้รู้ว่ามันไม่มีแล้วนะ หมดตัวแล้วนะ เป็นหนี้แล้ว อยากให้คนช่วยแชร์ เผื่อมีใครอยากทำร้านต่อ ผมปล่อยในราคาไม่แพง ราคาที่คุณทำต่อได้เลยทันที จะขายอาหารพื้นเมือง ข้าวแกง พื้นที่เอื้อหมด เราให้อุปกรณ์ด้วย เซ้งไป ซื้อของสดมา ทำขายได้เลย

นั่งคิดกับตัวเองยังไงบ้าง อยู่ในภาวะจิตใจแบบไหน ทำไมสุดท้ายเลือกทางนี้

เหนื่อยแล้ว เบื่อแล้ว ไม่ใช่เบื่อร้านนะพี่ ผมเบื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เราขายๆ อยู่ อ้าว สั่งห้าม ขายๆ อยู่ สั่งห้ามอีกแล้ว คลัสเตอร์ใหม่มาอีกแล้ว เหนื่อย จริงๆ ร้านมันพอถูไถได้ แต่ถูจนไม่ไหว

ชีวิตผ่านร้อนหนาวมาเยอะ รอบนี้ถือว่าเป็นวิกฤติร้ายแรงครั้งหนึ่งเลยมั้ย

แรงนะ แรงที่สุด แต่การกระทบครั้งนี้เราพอจะมีอยู่บ้าง ดาวน์บ้านไว้ ผ่อนบ้านอยู่ อย่างน้อยมีบ้าน มีรถ แม้ว่าผ่อนอยู่ สมมุติไม่ได้ทำร้านนี้ก็ยังมีเครื่องมือหากิน มีที่ซุกหัวนอน ผิดกับตอนที่ออกจากพัทยา ผมมีรถกระบะคันหนึ่ง เขายังตามมายึดถึงเมืองน่าน

เคยมาแล้ว ?

โดนมาแล้ว ขับมาจากพัทยา ซื้อที่นั่น เหลือแค่ปีกว่าด้วยซ้ำ ผ่อนเดือนละสี่ห้าพันเองมั้ง แต่ไม่มีปัญญาจ่าย ก็.. มึงเอาไปเถอะ ผมไปเอารถเก๋งเก่าๆ ของน้ามาใช้ จนมาเริ่มขายของในโรงเรียน ซื้อรถมือสองมาใช้ แวนไทยรุ่ง ใช้อยู่นานจนพอเริ่มขยับได้ อยากเปลี่ยน คำนวณแล้วตอนซื้อกระบะคันนี้จะผ่อนหมดตอนลูกอยู่ ม.2 ผมวางไว้หมดแล้ว อะไรจะเป็นยังไง ถ้าไม่มีโควิด

ตอนนี้ลูกอยู่ชั้นไหน

ม.1 ถ้ารถหมด ก็จะหมดเรื่องหนักไป เก็บเงินส่งลูกเรียน บ้าน ผ่อนไปอีกนาน ไม่ซีเรียส ถือว่าเช่าอยู่ ไม่ต้องคิด ตอนนี้มีหนี้อีกสองก้อน ตอนโควิดนี่แหละ ผมเป็นลูกค้าแบงก์ กู้เอามาทำร้าน ก็หาผ่อนเขาได้ตลอด เครดิตดี รอบแรก เอามาให้ รอบสอง เอามาให้อีก รอบสาม มาถามอีกว่าเอามั้ย ผมบอกไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว ตอนเอามันง่าย แต่หาคืนลำบาก

เอามาจ่ายค่าเช่า กินอยู่ ?

ใช่, ประคอง เพราะมันมีช่วงปิดร้านหลายเดือน

ทำอะไรช่วงนั้น

ทำอาหารขายในเฟซบุ๊ก คนที่เคยกินของเรามาช่วยอุดหนุน อย่างวันนี้ประกาศว่ามีเมนูนี้ๆ ลูกค้าก็เข้ามาสั่ง ..ผมทำมาเยอะ

ช่วงปิดร้าน ในฐานะนักดนตรี คุณมีอารมณ์จับกีตาร์มาร้องเพลงมั้ย

แต่งไว้สองเพลง ว่าด้วยโควิดนี่แหละ ทำเป็นโฟล์กง่ายๆ อัพลงยูทูบ เพลง ‘รอยยิ้มในดวงตา’ กับ ‘ห่วงใย’ เพลงหลังนี่ไม่ได้อัพ ฟีลไม่ได้

ถ้าหยุดร้านหรือปล่อยเซ้งไป ทางออกถัดจากนี้คืออะไร

คิดอยู่ ช่วงก่อนโควิดรอบสอง ผมเอาช็อปเปอร์ทำพ่วงข้าง ขายข้าวเหนียวหน้าหมู เหมือนที่ผมขายในโรงเรียน จอดขายหน้าโรงแรมเทวราช เพิ่งมาหยุดก่อนปีใหม่เพราะร้านเริ่มเปิดได้ กลับมาทำร้าน ถ้าขาย ผมออกหกโมงเช้า แฟนต้องตื่นตีสามเพื่อเตรียมของ ตอนเปิดร้าน ห้าทุ่มยังไม่ได้นอน แล้วต้องตื่นตีสาม มันไม่ไหว คือใจสู้ แต่ผมมองว่ามันไม่ใช่ ไม่คุ้ม ไม่ใช่ขี้เกียจ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ขี้เกียจ ถ้าขี้เกียจ ตายไปนานแล้ว ประเด็นคือเรามามองแล้วมันไม่คุ้ม เลยหยุดขายข้าวเหนียวเพื่อเอาร้านก่อน แต่พอทำ ก็มาโดนแบบนี้อีก

ทางเลือก ทางออกที่คิดไว้ตอนนี้คือ..

กลับไปขายของในโรงเรียนเหมือนเดิม ผมประมูลได้แล้วปีนี้ เปิดเมื่อไร ผมไปขาย ช่วงปิดเทอม กะไปขายหน้าตลาดตอนเช้า อาจจะให้แฟนไปขายลวกจิ้มตรงหน้าดีเบสต์ ที่ผมเล่นดนตรี คือถ้ามันจะกินเหล้าตรงนั้นก็ทำกับแกล้มขายแม่งตรงนั้นเลย เพื่อให้รอดสามเดือนนี้ น่าจะไปได้ ผมเล่นเปิดหมวกด้วย ขายซีดีด้วย

ร้านนี้ เปิดขายถึงเมื่อไร

พรุ่งนี้วันสุดท้าย (28 กุมภาพันธ์) แต่แฟนผมบอกว่า ถ้ามันยังเซ้งไม่ได้ จะขอเขาอยู่ฟรีเดือนนึงเพื่อรอเซ้งร้าน สรุปคือผมจะมีเวลาอีกถึง 15 มีนาฯ ถ้าไม่ได้เซ้งก็ต้องรื้อของที่ผมทำออก ขนกลับบ้าน ระหว่างนี้เริ่มมีคนมาต่อรอง บางคนอยากได้แค่ของ

เซ้งเท่าไร

สองแสนเก้า ร้านนี้ผมเคยบอกเซ้งแปดแสนห้า ก่อนโควิดนะ มีคนต่อหกแสน ผมไม่ปล่อย คือมันน่าเอาไง ช่วงที่ผมทำก่อนหน้านี้เรียกว่าเดินเข้ามาไม่มีที่นั่งน่ะ คือมองเห็นเงินเลย เรารู้ว่ามันได้ พอโควิดรอบสอง ผมบอกหกแสนห้า คนต่อห้าแสน ผมไม่ปล่อย เสียดายฉิบหาย (หัวเราะ) ล่าสุดนี่คือราคาไม่ต้องต่อแล้ว จบเลย ให้เรามีเงินติดกระเป๋านิดหน่อยเพื่อปรับสมดุลชีวิต

แปลว่าที่นั่งอยู่ตรงนี้ ช้าสุดคือกลางเดือนหน้าปิดตำนานชายชื่อกานต์แล้ว

ใช่ อาจเปิดหรือไม่ ไม่รู้นะ แต่กลางเดือนต้องไป ..แฟนทำของขาย ผมเล่นดนตรีหน้าดีเบสต์ ที่บ้าน จริงๆ ถ้าจะทำของขายก็คงได้ แต่มันไกลนิดนึงและไม่ใช่ทางสัญจรหลัก น่าจะขายยาก บ้านหลังนั้นซื้อตอนทำร้านนี้ปีแรกๆ เงินมันสะพัดมากตอนนั้น มันอยู่ในชุมชน ถ้าขายก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ขนมจีน คงพอได้ ก็คิดๆ ไว้อยู่

 

Interviews nandialogue

 

Interviews nandialogue

 

วิกฤติครั้งนี้โทษใคร โควิด รัฐบาล หรือชะตากรรมตัวเอง

ไม่โทษใคร ไม่รู้จะโทษทำไม โทษไปก็เท่านั้น ทุกวันนี้ผมพยายามดูรายการที่มันแย่ๆ กว่าชีวิตผม เช่น ปัญญาปันสุข หรือพิมรี่พายแจกของ ดูคนที่แย่กว่าเรา เพื่อให้มีแรง เขาแย่กว่าเรา เขายังอยู่ได้

จิตใจถือว่าไม่เครียดเท่าไร ?

เครียด แต่ฟูมฟายไม่ได้ เราเป็นพ่อคน สามีที่ดี ถ้าเราฟูมฟาย ใจลูกเมียจะเป็นยังไงล่ะ  สถานการณ์แบบนี้มันเจ็บกันทุกคนแหละ จะแสดงออกแค่ไหนเท่านั้นเอง เจ็บและได้รับผลกระทบทั้งนั้น ใช่มั้ยล่ะ ถ้าเราโวยวาย ฟูมฟาย กูไม่น่าเป็นแบบนี้เลย เพื่ออะไรล่ะ เกิดลูกเห็น พ่อกูยังขนาดนี้แล้วชีวิตกูจะเป็นยังไง

หนัก แต่ยังเข้มแข็ง ?

ต้องเข้มแข็ง ชีวิตผมมันล้มบ่อย ไม่เชิงล้ม แต่เคยแย่มาก เคยลำบาก วันนี้ผมบอกตัวเองเสมอว่าอย่างน้อยก็มีรถขับ อย่างน้อยก็มีบ้านอยู่ละวะ ดีกว่าสมัยก่อนที่แม่งไปไหนใครเห็นผมก็ส่ายหน้า กีตาร์เจ็ดแปดตัว ผมขายกินหมด เคยผ่านชีวิตแย่ๆ มาแล้ว มันทำให้เราง่ายขึ้น

ความสัมพันธ์ลูก เมีย ยามวิกฤติแบบนี้กระทบกระทั่งกันง่ายมั้ย

มีบ้าง ง๊องแง๊ง พอไม่มีเงิน อะไรก็ไม่สนุก แต่พยายามรักษา ขอโทษเขา ถ้าเราแรง ต้องรีบขอโทษ อย่าให้มันข้ามคืน ทะเลาะกัน ห้ามข้ามคืน อย่างช้าสุดเช้ามาต้องคุยกัน เพราะถ้าตื่นเช้ามาแล้วอีกคนไม่ตื่น เราจะไม่มีโอกาสขอโทษกันอีกเลย ผมกับแฟนทะเลาะกัน แต่เช้ามาก็คุยกัน ทะเลาะมันมีอยู่แล้ว เรื่องปกติ กับลูกสาวก็มีบ้าง ยิ่งตอนนี้เริ่มเป็นวัยรุ่น เราอยากให้เขาเข้ามาอยู่ในขอบเขต ผมพามาเล่นดนตรีด้วยทุกวัน เล่นไวโอลิน ส่วนตัวเขาก็มีบ้าง สังคมเพื่อนฝูง หรือมีแฟน เล่นเฟซฯ ห่าเหวตามเรื่องตามราว เคยคิดจะปิดกั้น ปิดไม่ได้ ก็พยายามตะล่อมให้อยู่ในเส้นทาง อย่าให้ออกนอกลู่เยอะ แค่นั้นเอง

(มีลูกค้ามาขอซื้อเหล้า เขาบอกว่าไม่มี ก่อนจะเสนอให้ไปซื้อมา เดี๋ยวชงให้ในบาร์) นี่ คนนี้ก็รู้จักกัน เขาจะกิน บางทีเราก็ต้องยอม ปิดกั้นไม่ได้

หวังลึกๆ ในใจมั้ยว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาทำร้านแบบนี้อีก

ไม่รู้ ผมไม่ค่อยวางแผนมาก ปล่อยๆ มันไป วางแล้วแม่งทำไม่ได้ มานั่งเซ็งตัวเองอีก เคยวางแผน ชีวิตต้องแบบนั้นๆ ตอนหลังปล่อยแม่งไป ขอให้ดำรงชีวิตได้ โอเค ผมทำงานมาสารพัด ทำป้าย รับเหมา อยู่พัทยาหาเงินง่าย มีนามบัตรใบ รับทำทุกอย่าง งานช่างทั่วไป ปูกระเบื้อง ทาสี ประปา ผมหาคนทำ เอานามบัตรไปแจก เราอยู่ในร้านอาหารไง เจอคนเยอะ พวกเมียฝรั่งไปเมืองนอกแล้วกลับไทยประมาณช่วงตุลาฯ ผัวฝรั่งตามกลับมาคริสต์มาส เมียกลับก่อนก็ปูกระเบื้อง ทาสีบ้าน ซ่อมบ้าน เราก็หาคนไปดูหน้างาน ตีราคา หักเปอร์เซ็นต์ จบ รับทำป้าย ทำเอง ถ้าป้ายใหญ่ๆ ก็ตีราคาให้คนอื่นทำ ออกแบบ โลโก้ร้านนี้ผมก็ทำเอง ทำมาเยอะ สมัยวัยรุ่นอยู่สุราษฎร์ฯ เคยขายกางเกงยีนส์ เข็มขัดหนัง เครื่องแต่งตัวทั้งหลาย แว่น นำ้หอม ขายมาหมด ไม่เห็นมันรวยสักที

มองตัวเองว่าเป็นคนเหนือหรือคนใต้มากกว่า

พอๆ กัน ไปใต้ผมพูดใต้ สนิทกับญาติทั้งสองฝ่าย พ่อแม่ผมเสียหมดแล้ว แต่เข้ากันได้หมด กลมกลืน เลือกมาอยู่ที่นี่เพราะตอนมาเมืองมันยังเงียบๆ เราบอบช้ำมาจากเมืองใหญ่ ทั้งร่างกายและจิตใตบอบช้ำ อยากจะหาที่เงียบๆ อยู่

ญาติพี่น้องมีใครเป็นนักดนตรีหรือเปล่า

ไม่มี แต่พ่อแม่ก็ชอบร้องเพลง แบบชาวบ้านทั่วไป

แล้วดนตรีเข้ามาในชีวิตยังไง

ผมเล่นทรัมเป็ต เคยอยู่วงโยธวาทิต แต่พอ ม.3 เริ่มเกเร หัดกีตาร์ เล่นในวงเหล้า ร้องเพลงเพื่อชีวิต พวกคนกับควาย เพลงครูที่มันต้องร้องได้ทุกคน น่านเป็นดงคอมมิวนิสต์เก่าด้วย มีเทปดำที่อัดเพลงส่งต่อกันฟัง มีหนังสือเพลงเพื่อชีวิตปกเหลือง ร้อง เล่น กินเหล้า ตามประสาวัยรุ่นตอนนั้น พอฟังเพลงเยอะ เล่นมานานก็หัดแต่งเอง เอาตรงนั้นมาใส่ตรงนี้ นึกๆ เอา ถามว่าเล่นเก่งมั้ย ไม่เก่ง ผมประเภทเอาตัวรอดหน้าเวที

ชอบร้องเพลงของใคร

พงษ์เทพเป็นหลัก ร้านเหล้ากับสามช่า ผมชอบภาษาแกนะ น้าหมูเหมือนครูคนหนึ่ง ภาษาแกสวย พยายามเอาอย่างแก

แง่คนเขียนเพลงที่ทำมาแล้วสามอัลบั้ม คิดว่าบรรลุฝันหรือยัง พอใจแล้ว หรืออยากเอาอีก

อยากเขียนอีก ถ้าทำได้ แต่ช่วงนี้ก็ยากหน่อย คิดเรื่องอื่นเยอะ ทำมาหากิน แต่ถ้ามันมา มาเอง แป๊บเดียว ได้ ก่อนโควิดผมแต่ง ‘ฮีโร่กัญชา’ ไว้เพลงหนึ่ง ช่วงที่เขาคุยเรื่องกัญชาเยอะๆ ส่งไปทำดนตรีที่ภูเก็ต ให้เพื่อนทำ โซเชียลทำให้เราสื่อสารกันง่าย แต่งให้พี่หมูพี่วัน ที่ปั่นจักรยานรอบโลก

ใช้ชื่อนี้ตลอด ?

ใช่ ชื่อจริง กานต์ บัวเพชร ‘เขาชื่อกานต์’ ชื่อผมมาจากหนังเรื่องนี้แหละ ปีที่ผมเกิด หนังเรื่องนี้ดัง เมื่อก่อนชอบอ่านหนังสือ เรื่องสั้น วรรณกรรมเยาวชนที่ไม่หนามาก เล่มหนาสุดที่อ่านจบคือ ‘พันธุ์หมาบ้า’ นั่นคือเล่มเดียวที่อ่านจบสองรอบ เคยดูหนังมาก่อน ตอนวัยรุ่น

เคยวางกีตาร์เป็นเดือนๆ มั้ย ไม่อยากเล่น หรือว่ามีดนตรีอยู่ในชีวิตมาตลอด

เคยคิดจะเลิก เลิกไม่ได้

จะเลิกเพราะ..

ช่วงกลับมาน่านใหม่ๆ เบื่อ อยากจะเลิก ไม่จับ ขายข้าวแกงหรือทำโน่นนี่ไป ไม่อยากเล่น แต่อยู่ๆ ไป เด็กแถวบ้านก็มาเรียก พี่ ตั้งสายให้หน่อย เขาเห็นเรามีกีตาร์ จับไปจับมา เอ้า บรรยากาศได้ มีน้องจัดงานอีเวนต์ที่ อ.ปัว งานเดือนกุมภาฯ ดอกชมพูภูคาบาน บอก–พี่กานต์เขียนเพลงให้หน่อย ทีแรกผมไม่สนใจ จนใกล้ถึงวันงาน น้องมาตาม พี่ เขียนยัง เลยนั่งเขียน เออ มันก็ได้ เขาเอาไปใช้ เลยกลับมาเขียนเพลงต่อ เข้าหน้าหนาวพอดีด้วยมั้ง เริ่มพรั่งพรู ปั๊มซีดีออกมาก็ขายได้ พออยู่ได้ ทำให้คนรู้จักเรา รายการวิทยุชวนไปคุย ไปเล่นสด หลังๆ จังหวัดน่านเริ่มบูม

เขียนเพลงต้องดื่มมั้ย

ไม่นะ ถ้าจะเขียนเรื่องอะไร เช่น ดอยเสมอดาว ผมไป นั่งกินเหล้า กลับมานอนบ้าน ตื่นเช้า กินกาแฟ เริ่มมาคิด ที่นั่นอาจร้องเล่นๆ ท่อนนึง ไม่จบหรอก ไม่เคยจบสักที กลับมาจบที่บ้าน เมื่อก่อนผมดื่มจัดมาก ตอนนี้ลดแล้ว สมัยเล่นดนตรีอยู่พัทยา เอาเป็นว่ากินเหล้างานหลัก เล่นดนตรีเป็นงานอดิเรก เอนเตอร์เทนลูกค้า กินเหล้ากับลูกค้า สไตล์นั้น เพิ่งมาเบาช่วงหลังๆ อยู่น่านนี่คือเบาแล้ว ให้นั่งตะบี้ตะบันเหมือนเมื่อก่อน ไม่เอา

ดื่มคนเดียวได้มั้ย

ไม่ อยู่คนเดียวไม่ดื่ม เหงา ถ้าอยากดื่มก็ชวนเมีย บางทีซื้อเบียร์ขวดนึง คนละแก้ว

การเป็นนักดนตรี เป็นคนกลางคืนที่เคยดื่มจัดๆ มาก่อน แล้วต้องมาบริหารร้านของตัวเอง มันมีจุดอ่อนจุดแข็งยังไงมั้ย

ผมมีประสบการณ์เปิดร้านที่พัทยา ที่ให้คนมาติด มั่นใจว่าเขากลับมาจ่าย รอจนเจ๊ง มาที่นี่ ผมไม่ให้ใครติด ถ้าติด พรุ่งนี้ต้องมาเคลียร์ คนที่ขอติดได้คือคนที่รู้จัก แล้วผมตามได้ ผมตามถึงบ้านเลยนะ คือเข้าใจว่าเวลาคนไม่มี คนกินเยอะๆ เมา เอามาอีกๆๆ สุดท้ายตังค์ไม่พอ บอกพรุ่งนี้จ่าย ผมย้ำว่าพรุ่งนี้นะ ผมเป็นคนเสียงดัง ผมคุยให้เขาอายได้ ส่วนใหญ่เลยค่อนข้างเกรงใจ ไม่นักเลงนะ แค่เสียงดัง ผมไม่มีเรื่อง ตั้งแต่พ้นชีวิตวัยรุ่น อายุเลยยี่สิบมา ผมไม่เคยมีเรื่องกับใคร ยอมได้ ยอม ใครว่าไงก็ ครับพี่ๆๆ ขอโทษ ถ้าช่วงวัยรุ่นอาจมีมือไว เรื่องปกติ เลยยี่สิบมาแล้วไม่มี ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา

 

Interviews nandialogue

 

ถือว่าเอาอยู่ บริหารได้ ?

เอาอยู่ ทำได้ เพราะผมไม่ถือเงิน โอนเข้าบัญชีเมียหมด ผมรู้ตัวว่าถือเงินไม่ได้ เพราะเห็นอะไรก็จะซื้อ รู้นิสัย สันดานตัวเองดี ให้เมียถือดีที่สุด จะเอาอะไรก็บอก หนู เอาตังค์มาสองร้อย ซื้อนี่ เอามาห้าร้อย ซื้อนี่หน่อย เขาไม่ว่าอะไร กดไปเลย พันหนึ่ง คือผมเคยลำบาก เคยไม่มีเงิน เราทำธุรกิจก็ไม่ถึงกับขี้เหนียว แต่รู้ว่าต้องใช้จ่ายยังไง เวลาไปที่ยวก็กินนะ กินคือกิน ลูกอยากกิน กิน รู้จักใช้ จ่าย เคยพลาดมาแล้วช่วงสามสิบกว่า มันสอนเราไปเองโดยปริยาย

การอยู่กับคนเมาทุกคืน ทำได้ ?

ได้ อารมณ์เสียบ้าง มันก็มี เราบังคับตัวเอง เดินหนีซะ คนกินเหล้าแล้วโวยวาย วุ่นวาย มันธรรมดา เราเคยอยู่ร้านใหญ่กว่านี้ เคยเห็นคนตีกันในร้านเหล้า ยิงกันก็เคย ผมเล่นอยู่บนเวที ดีไม่โดนลูกหลง โตแล้วพยายามหาทางออกที่มันง่ายกว่าทะเลาะกัน ซึ่งก็โอเค ร้านผมลูกค้าส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ วัยรุ่นน้อย

ถ้าตัดเรื่องโควิดออกไป การเป็นนักดนตรี การทำร้านเหล้าถือว่าเป็นชีวิตที่หอมหวานมั้ย

ผมยืนยันเสมอว่าผมเปิดร้านอาหาร ไม่เปิดร้านเหล้า เพียงแต่ว่าเราเป็นนักดนตรี ถ้าเขามาแล้วเราไม่เล่น เขาก็ เฮ้ย ทำไมไม่เล่นวะ พอเล่น และเขาดื่ม ก็กลายเป็นร้านเหล้า จำยอมรับสภาพว่าเป็นร้านเหล้าที่มีข้าวกิน

เป็นศูนย์รวมนักดนตรีน่านไปกลายๆ ?

ใช่ รุ่นน่้องมาก็เลี้ยง ไม่ใช่ขี้เหนียว ไม่งั้นอยู่ในสังคมไม่ได้ คนเรามันมีพี่มีน้อง (เขาขอตัวไปช่วยงานในครัว)

สุดท้ายๆ ในวันเวลายากลำบากแบบนี้ คนแต่งเพลง เล่นกีตาร์ หรือในฐานะผู้เสพผู้ฟังก็ดี คุณคิดว่าดนตรีมันมีส่วนช่วยอะไรมั้ย

จรรโลงจิตใจ ผ่อนคลาย จะเป็นสถานการณ์ไหน ยุคไหนสมัยไหนก็ตาม ดนตรีเป็นเครื่องผ่อนคลาย จรรโลง ทำให้คนเบาลง ทำให้ไม่ฟุ้งซ่าน ช่วยได้เยอะ เบื่อๆ เซ็งๆ เอากีตาร์มานั่งเล่น ผมบอกลูกว่า ที่ให้เล่นดนตรี ไม่ใช่ว่าต้องเป็นนักดนตรี แต่ให้เป็นอาวุธติดตัว ไม่ว่าไปไหนหรือทำงานอะไร ดนตรีจะทำให้ลูกมีเพื่อน ทำให้ลูกมีเสน่ห์ เป็นอาวุธประจำตัว ผมไม่คาดหวังว่าลูกจะเติบโตไปเป็นนักดนตรี

คุณเรียกตัวเองว่านักดนตรีหรือพ่อค้า หรือเป็นพ่อค้าที่เล่นดนตรี

ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) อะไรก็ได้ เป็นนักดนตรีที่ขายอาหารละกัน.

 

nandialogue

 

nandialogue

เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

ภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น

You may also like...