สวัสดีครับพี่หนึ่ง
ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งมาให้พี่ก่อนกำหนดเล็กน้อยด้วยสองเหตุผล
หนึ่ง คือเพิ่งเกิดเหตุการณ์กระทบจิตใจผมมาไม่กี่วัน
สอง คือรู้ว่าสัปดาห์หน้าจะค่อนข้างวุ่น เพื่อนและครอบครัวจะมาเยี่ยมเยือนเพื่อดูความเป็นอยู่ของพวกเราบนเกาะ
เรื่องราวสำหรับสาเหตุที่หนึ่งนั้น เกิดขึ้นสองสามวันก่อน เพื่อนชาวไทยคนกรุงเทพฯ แต่มาตั้งรกรากที่พะงันร่วมสิบกว่าปีคนหนึ่งโทรมาชวนดื่ม แกทำร้านอาหารเช้าขายติ่มซำอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ซึ่งผมกับครอบครัวมักจะแวะหรือพาเพื่อนไปอุดหนุนอยู่บ่อยๆ แกโทรมาตอนห้าโมงเย็น บอกว่าไปดื่มเบียร์กันไหม มีบาร์บรรยากาศดี น่าไปลอง
คนที่เกาะไม่ว่าจะคนไทยหรือต่างชาติมักจะทำอะไรกันแบบนี้ นึกอยากก็ชวนเลย ไม่ต้องนัดแนะอะไรกันล่วงหน้าเนิ่นนาน จริงๆ ก็ยังไม่ค่อยชินอะไรแบบนี้เท่าไร ช่วงที่ผ่านมาเวลานัดหมายอะไรแม้จะเป็นเรื่องการพบปะสังสรรค์ ผมกับมิตรสหายและคนในครอบครัวก็มักจะทำกันเหมือนกับเวลาเราทำงาน คือจะนัดกันล่วงหน้า อย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพื่อให้อีกฝ่ายได้เตรียมตัวจัดแจงอะไรๆ ให้เรียบร้อย เมื่อมีนัดหมายกะทันผมก็มักจะหงุดหงิดและรู้สึกน้อยใจเหมือนกับว่าฝ่ายที่เอ่ยปากชวนให้ความสำคัญกับเราน้อยเกินไป
มาอยู่ที่เกาะ ผมปฏิเสธคำชวนแบบปุบปับไปก็หลายครั้ง แต่ไม่รู้ครั้งนี้ทำไมผมถึงตอบตกลง อาจเป็นเพราะตอนที่พี่เค้าโทรมานั้น ผมตอบรับเพราะกำลังฟินกับความสำเร็จอีกขั้นในเกมฟุตบอลของลูกชายก็เป็นได้ วันนั้นลูกชายยิงประตูได้เป็นครั้งแรกในเกมแบ่งข้างกันเล่น ปกติศิลป์มักจะเลือกเป็นกองหลัง แต่ในบางครั้งโค้ชก็จับมายืนในตำแหน่งอื่น ผมเคยบอกกับเค้าว่านักเตะที่เก่งไม่ใช่แค่เตะได้สองเท้า หากแต่ควรเล่นได้หลายตำแหน่งด้วย ตอนนี้ในการซ้อมของเด็กๆ นอกจากโค้ชรันที่เป็นตัวยืนแล้ว ยังมีผู้ช่วยอีกสองคน หนึ่งคือโค้ชชาวพม่าชื่อตู่ และสองคือโค้ชชาวไทยชื่อเล็ก ศิลป์เล่นตำแหน่งกองหน้าเป็นครั้งแรกๆ ในเกมฟุตบอล ตอนเล่นก็มัวแต่จะวิ่งลงไปไล่บอลในแดนตัวเองอยู่บ่อยๆ โค้ชเล็กต้องคอยบอกให้ยืนในตำแหน่งที่กองหน้าควรจะอยู่
ช่วงใกล้ๆ จะจบเกม ทีมของศิลป์ได้บอลอยู่แถวริมเส้นด้านขวา โค้ชเล็กตะโกนบอกให้ศิลป์ไปยืนหาตำแหน่งในกรอบเขตโทษแทนที่จะวิ่งไปเอาบอลที่ริมเส้น (จริงๆ ก็ตะโกนบอกอย่างนี้เกือบทั้งเกมแหละครับ) ประจวบเหมาะกับที่เพื่อนร่วมทีมผ่านบอลมาถึงเท้าพอดี ศิลป์ใช้ทักษะที่ฝึกมาร่วมครึ่งปีในการจับบอลและส่งมันไปที่มุมเสาด้านซ้าย ยิงไม่แรงมาก บอลจึงค่อยๆ กลิ้งไปกองอยู่ก้นตาข่าย เจ้าตัวยืนอ้าปากค้างแบบที่มีแววปิติเล็กน้อยบนใบหน้า คงจะอึ้ง ทึ่งกับผลงานของตัวเอง เพื่อนร่วมทีมตัวน้อยอีกหลายคนวิ่งมาจับมือ สวมกอด โอบไหล่เพื่อแสดงความยินดีและดีใจกับความสำเร็จของทีม
จบเกมทีมของศิลป์เอาชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 เจ้าลูกชายเดินยิ้มร่าออกมาแล้วถามว่าขอเงินไปซื้อขนมกินได้ไหม โดยปกติแล้วหลังการซ้อม เพื่อนศิลป์หลายคนมักมีขนมติดมือหรือไม่ก็อมยิ้มติดอยู่ในปากเป็นรางวัลก่อนกลับบ้าน ลูกชายก็มักเอ่ยปากขอตามอยู่เสมอๆ ผมเองต้องแข็งใจปฏิเสธและอธิบายกับเค้าเสมอๆ ว่าทำไม เหตุหนึ่งก็ด้วยว่าไม่อยากให้ลูกกินอมยิ้มหรือน้ำตาลมากเกินไป และอีกเหตุผลที่สำคัญมากก็คือ ผมอยากให้เค้าเรียนรู้ที่จะ ‘ไม่ได้’ ทุกอย่างที่เพื่อนหลายคนอาจจะ ‘ได้’ คืออยากสอนให้ลูกชายรู้แหละครับว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้และมันจะเป็นอย่างนี้ไปจนวันที่เค้าตาย หากอยู่กับ ‘ความขาด’ ได้ ชีวิตที่เหลือก็จะราบรื่นเบาสบายกว่าเยอะ
แต่ในวันพิเศษอย่างวันนี้ การละเมิดกฏตัวเองและอนุญาตให้มีข้อยกเว้นดูจะเข้าท่ากว่า ระหว่างที่เจ้าลูกชายนั่งกินขนมอย่างเพลิดเพลินและพูดคุยอย่างออกรสกับเซเฟอร์เพื่อนบ้านที่เผอิญได้อยู่ทีมเดียวกันในวันนี้ ผมบอกกับศิลป์ว่านี่เป็นวันที่ป๊ามีความสุขที่สุดในชีวิตวันหนึ่ง แล้วเรายังได้คุยกันเรื่องการเล่นเป็นทีมและความสำคัญของผู้เล่นคนอื่นๆ ในทีมที่มีส่วนทำให้ทีมเอาชนะได้ในเกมวันนี้ คนส่งก็สำคัญ คนวิ่งหาช่องก็สำคัญ คนป้องกันก็สำคัญ เซเฟอร์พยักหน้าเห็นด้วยก่อนปิดท้ายบทสนทนาด้วยคำคมว่า Teamwork makes the Dream work
กลับมาถึงบ้านผมเอ่ยปากปรารภกับภรรยาว่าจะไปดื่มเบียร์กับเพื่อน อาจด้วยจับปฏิกริยาและตีความคำพูดของเธอแล้วผมเข้าใจว่าเธออยากจะไปด้วย ผมจึงเดินไปหาดีนและขอฝากศิลป์ไปนอนกับเซเฟอร์หนึ่งคืน เรื่องค้างบ้านเพื่อนนี่เด็กๆ ชอบกันอยู่แล้วแหละ มีแต่ผู้ใหญ่ที่มักจะเกรงใจหรือไม่ก็กลัวที่จะให้ลูกๆ ทำ แต่ผมกลับชอบที่จะอนุญาตหรือไม่ก็ขอให้ศิลป์ไปนอนบ้านคนอื่น หลักมีแค่ว่าลูกชายผมต้องรู้ว่าใครเป็นเจ้าบ้าน แล้วก็ฟังและปฏิบัติตามคนๆ นั้น ที่เหลือก็คือการได้เห็น ลอง เล่นและทำอะไรที่ต่างไปจากความเคยชินเดิม เท่าๆ ที่ได้ยินเสียงตอบรับจากเจ้าบ้านทั้งหลายที่เจ้าลูกชายเคยไปค้างแรมด้วยก็มักจะเป็นไปในทำนองว่าเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา ซึ่งไม่น่าแปลกใจหรอกครับ ไม่ใช่ว่าลูกผมพิเศษกว่าคนอื่นๆ หากแต่ผมเข้าใจว่าการที่คนเราไปบ้านคนอื่นแล้วปฏิบัติตัวดี ควบคุมตัวเอง และมีมารยาทกว่าปกติ นี่น่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ เป็นหลักการพื้นฐานของการเข้าสังคม ใครไม่ทำอย่างนี้ผมคิดว่าน่าจะบ้าหรือไม่ก็เหี้ย 555
เสร็จจากฝากฝังลูกชายกับเพื่อนข้างห้อง ผมกับภรรยาก็ขับรถไปรับคนต้นคิดริจะดื่มในคืนวันพฤหัส ด้วยว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แกว่าคงไม่เหมาะและไม่คุ้มที่จะขับรถไปดื่มกันในบาร์บรรยากาศดีริมทะเล พวกเราจึงขับเข้าตลาดท้องศาลาและดื่มกันในบาร์ลับๆ ที่ชื่อ Higgy’s Bar เบียร์ขวดเล็กขวดแล้วขวดเล่าทยอยเดินทางมาเป็นเชื้อเพลิงแห่งบทสนทนา เราคุยกันเรื่องผู้คนบนเกาะและเรื่องราวที่อยากทำกันในอนาคต อาทิ บ้านเช่า คาเฟ่แอนด์บาร์ โรงเรียนสอนศิลปะ คลินิก คุยกันถึงสี่ทุ่มก็สั่งเช็คบิล แต่ไม่วายถึงจะเช็คบิลไปแล้วใครสักคนในวงก็ยังตะโกนสั่งบริกรสาวให้เอาเบียร์มาเพิ่มอีก กว่าจะได้กลับก็ร่วมห้าทุ่มกว่า
ตอนขับรถกลับ ไม่ผมก็ภรรยาดันชวนพี่เค้ามาดื่มต่อที่บ้าน ด้วยสำนึกอยู่เสมอว่าผมเป็นคนคออ่อน ดื่มๆ อยู่ก็อาจหลบไปหลับได้ง่ายๆ จึงกังวลว่าจะไม่สามารถไปส่งเค้ากลับได้ ก็เลยถามพี่เค้าว่านอนบ้านผมไหม หรือไม่ก็แวะเอารถขี่มาเพื่อขี่กลับเอง พี่เค้าเลือกอย่างหลัง
เรากลับมาบ้านเปิดไฟสนามสร้างบรรยากาศชวนขนหัวลุก (ไฟที่ดีนทำไว้มันเป็นสีเขียวๆ ม่วงๆ แดงๆ) ดูคล้ายสวนสนุกร้างในหนังผีฝรั่ง ก่อกองไฟ แล้วเปิดเบียร์ขวดใหญ่ดื่มกันอีกคนละขวด สรรพนามที่ใช้เรียกกันเริ่มเปลี่ยนจาก ‘พี่กับผม’ กลายเป็น ‘มึงกับกู’ เสมือนเป็นการบรรลุหมุดหมายอีกขั้นของระดับความสัมพันธ์ ไม่นานภรรยาผมก็ตัดช่องน้อยและขอตัวไปนอนก่อน สักพักประมาณตีหนึ่ง เราทั้งคู่ก็เตรียมแยกย้าย แต่ก็ไม่วายหาสมุนไพรมาดูดกันสองสามปื้ด สวมกอดและเอ่ยคำร่ำลาพลางกำชับให้ขับรถดีๆ ลูกพี่ผมบอกว่าถึงบ้านแล้วจะโทรมา ผมนั่งรอโทรศัพท์อยู่สิบนาทีก็ยังไม่มีเสียงเรียกเข้า โทรไปก็ไม่มีคนรับ ในใจรู้สึกแปลกๆ เลยตัดสินใจขับรถตามทางที่พี่เค้าขี่ออกไป ขับไปไม่เท่าไรบนทางโค้งที่เต็มไปด้วยทรายบนถนนคอนกรีตก็เห็นภาพคนนอนอยู่กลางถนนกับรถมอไซค์ที่ล้มอยู่ข้างๆ มีเจ้าของร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ ยืนดูและโทรเรียกรถพยาบาล มีฝรั่งอีกคู่คอยเดินดูอาการอยู่
ผมจอดรถกลางถนนแล้วเดินลงไปดูให้ชัดๆ ก็ปรากฏว่าเป็นมนุษย์ที่เพิ่งดื่มกับผมไม่กี่นาทีก่อนนี่แหละ ยังหายใจอยู่ แผลเต็มตัวทั้งแขน ขา และใบหน้า แต่ก็เหมือนแค่นอนหลับอย่างสบายใจอยู่กลางถนน ไม่ร้องโวยวาย โอดครวญ หรือดีดดิ้นอะไรทั้งสิ้น ระหว่างรอรถพยาบาลมานั้น ที่เราต้องทำก็แค่คอยกั้นรถที่ผ่านไปมาไม่ให้มาใกล้คนเจ็บเท่านั้น ผมรอจนทีมรถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลประจำเกาะพะงันมารับตัวและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเสร็จ ก็ย้ายมอไซค์ ไปไว้ริมทาง ขับรถไปที่ร้านและบ้านเพื่อแจ้งข่าวกับเมียแก ตะโกนเรียกสักพักก็ไม่มีเสียงตอบ เลยเปิดประตูหลังเข้าบ้านไปเคาะประตูห้องนอน เธองัวเงียออกมารับข่าวสารที่ผมแจ้ง จากนั้นผมจึงพาเธอไปเยี่ยมคู่ชีวิตที่โรงพยาบาล
ผมนึกเจ็บใจตัวเอง ไม่น่าปล่อยให้ขี่รถกลับเองเลย ไม่น่าให้แวะเอารถมอไซค์มาเลย พลางกล่าวขอโทษภรรยาพี่เค้า นัดดื่มกันครั้งแรกก็ล่อซะเละแล้ว เธอเพิ่งบ่นกับผมอยู่แหม็บๆ เลยว่าช่วงนี้ที่ร้านขาดคน ผมขับรถกลับมาส่งเธอที่บ้านและสัญญาว่าไปช่วยงานที่ร้านในตอนเช้า จริงๆ ผมก็อยากมาช่วยอยู่ก่อนแล้ว มันเป็นสิ่งที่อยากลอง พอไปทำจริงๆ ก็เคอะเขิน เก้ๆ กังๆ เหมือนกัน นี่คงเป็นปกติเวลาเราเริ่มงานใหม่ สองวันมานี้ได้หัดนึ่งติ่มซำ รับออร์เดอร์ เสิร์ฟอาหาร เก็บโต๊ะ เช็ดโต๊ะ ล่าสุดตอนไปช่วยในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็พาศิลป์ไปด้วย ตอนสายๆ เจ้าลูกชายงอแงร้องจะกลับบ้าน พอให้ช่วยเก็บโต๊ะเช็ดโต๊ะหน่อยเดียว ก็ยิ้มแป้นเลย เอ็นจอยกับการทำงานในร้านอาหารกว่าพ่อมันซะอีก
งานที่ผมช่วยทำในร้านนั้นอาจเรียกได้แค่ว่าบรรเทาและห่างไกลนักกับคำว่าทดแทน ลูกค้าแทบทุกคนในร้านถามหาพี่คนเจ็บเสมอ แล้วเท่าที่ผมได้นั่งกินและสัมผัสกับพี่เค้ามาก็เข้าใจได้ว่าทำไม ทุกๆ วันในวันที่เปิดร้าน แกจะเดินไปเดินมาจากหน้าร้านถึงหลังร้าน (ถ้าเป็นนักบอลก็ประเภทมิดฟิวด์ประเภท Box to Box ขึ้นสุดลงสุด) ทักทายลูกค้า รับออร์เดอร์ จัดของบนโต๊ะให้เข้าที่ เข้าครัวไปทำโจ๊กและไข่กระทะ แล้วก็ออกมาเสิร์ฟ ส่วนเมียแกนั้นจะเป็นฝ่ายทำเครื่องดื่มและนึ่งติ่มซำ
พี่ผู้ชายเพื่อนผมคนนี้เป็นคนเซ้นส์ดีและละเอียดอ่อน เข้าใจมนุษย์มากหน้าหลายตา รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับใครอย่างไร หลายครั้งดูแลบริการลูกค้าก่อนที่พวกเขาจะเอ่ยปากเสียอีก ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะรู้สึกถึงมิตรภาพที่ออกมาผ่านสีหน้า คำพูด และการกระทำของพี่เค้า
สองวันหลังจากเกิดเหตุ แกก็กลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน ลูกค้าหลายรายหลังทราบข่าวและรับประทานอาหารเสร็จ ขออนุญาตเมียแกเพื่อขึ้นบ้านไปเยี่ยมเยียน ทักทายและให้กำลังใจคนเจ็บ คงจะคิดถึงและเป็นห่วงแกมากอะครับ ทำร้านอาหารดีๆ นี่แทบไม่ต่างจากวัดหรือโบสถ์ กินข้าวให้อิ่มท้องก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกดีและสบายใจที่ได้จากเจ้าของร้านอย่างพี่เค้า
ขออภัยที่ไม่ได้เอ่ยนามคนเจ็บและไอดอลในธุรกิจร้านอาหารของผมคนนี้ ผมเองก็รำคาญกับคำว่า ‘พี่เค้า’ ฉิบหายเหมือนกันครับ 555 แต่เดาๆ ว่านี่อาจเป็นจรรยาบรรณพื้นฐานอย่างหนึ่งของสื่อมวลชนรึเปล่าทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยนามจริง
รักและคิดถึง
จ๊อก
ปล. วันนี้มีเด็กส่งของชาวพม่ามาส่งกระเบื้องให้ที่บ้าน ผมกำลังนั่งมองปลาสอดในบ่ออยู่ แกก็มายืนดูด้วยความสนใจในปลาสอดตัวสีขาวของเรา ดูท่าแล้วเหมือนจะอยากได้แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก ภรรยาผมก็เลยบอกยกให้เลย ผมเลยช้อนลูกปลาสอดสีขาวสองตัว กับสาหร่ายหนึ่งกอ ยกให้แกไปเลี้ยงและขยายพันธุ์พวกมันต่อที่ไหนสักแห่งบนเกาะ
ตอบ จ๊อก
ไม่บ้าก็เหี้ย–เออ เห็นด้วยกับคุณ อันนี้ใช่เลย
การนอนบ้านคนอื่น การเข้าร่วมกิจกรรม กิน ดื่ม รวมทั้งปะทะโต้เถียงกับเสียงที่แตกต่าง มันช่วยขัดเกลาทัศนะ นิสัย ความเป็นมนุษย์ของเราให้ ‘เข้าท่า’ ขึ้น พูดง่ายๆ ว่ารู้ประสา เข้าใจกาลเทศะ คุณคงเคยเห็นแหละ คนไม่รู้ประสา มันไม่เกี่ยวว่าจิตใจดี ไม่ดีด้วยนะ หลายคนไม่ได้ใจร้าย ไม่คดโกง ไม่เอาเปรียบ จะเรียกว่าคนดีก็คงได้ด้วยซ้ำ แต่แม่งไม่รู้ประสา คือพูดแบบนี้ไม่ได้เคลมตัวเองว่าสุดยอด ทำอะไรดีไปหมด (บ้าแล้ว) เอาว่าก็ดีๆ ชั่วๆ ปะปน เป็นคนสามัญ เรื่องที่เรากำลังคุยกันคือมันมีจริงๆ พวกไม่รู้ประสา เราคิดว่าปัญหาของคนกลุ่มนี้คือผ่านแบบฝึกมาน้อย มีคนคอยป้อน และจมอยู่กับตัวเอง
คนที่ไม่เคยหัดขี่จักรยานก็ขี่ไม่เป็น เช่นเดียวกัน, คนไม่เคยฝึกดัดสันดาน มันก็จะยากที่จะเป็นผู้เป็นคนอารยะ รู้อะไรควร ไม่ควร
มองหยาบๆ กระทั่งในมุมเจ้าศิลป์เอง บางทีมันก็คงเซ็งแหละ อะไรวะ พ่อแม่กู เห็นอยู่ตัวเป็นๆ ไม่มีใครเจ็บป่วย หรือติดธุระการงานยุ่งเหยิง แต่กลับเอาไปลูกไปฝากเพื่อนบ้านซะงั้น หรืออีแค่อยากกินขนมนิดๆ หน่อยๆ ก็คิดมาก (ทีตัวเองกินเบียร์กลับไม่รู้จักคิดบ้าง ?) อ้างไปไกลถึงเรื่องอยากให้เรียนรู้ความขาด ถ้าจะเถียงจะแย้งมันก็คุยได้ยาว แต่เราเห็นด้วยกับคุณหมดเลยนะ ทั้งการส่งไปนอนที่ใหม่ๆ และฝึกหัดการ ‘ไม่มี ไม่ได้’ ซะบ้าง เหมือนฟุตบอลน่ะ ผลแพ้ ชนะ ในเกมมันช่วยหล่อหลอมคน ไม่มีใครชนะในทุกเกมอยู่แล้ว ต่อให้แข้งเทพสมองเทวดามาจากฟากฟ้าไหน ลงสนามแล้วเราต่างหนีความพ่ายแพ้ไม่พ้น แต่ก็แค่สนามบอลไง แพ้ในสนามมันคนละเรื่องกับเกมชีวิต และถ้าไม่เคยเผชิญความคิด ความเจ็บ ความผิดหวังเสียใจมาบ้าง ยามเจอจริงๆ นอกรูปทรงหีบห่อโลกลูกหนัง มันอาจหัวใจสลาย ฉะนั้น ฝึกไว้ก่อน ในวันวัยที่ควรฝึกย่อมได้เปรียบ
ฟังแนวคิดเรื่องเลี้ยงลูกของคุณแล้วคิดถึง บอย อิมเมจิ้น นักร้องนักดนตรีเชียงใหม่ เขาเน้นย้ำสอนลูกสองเรื่องคือความจน กับความตาย เรียกว่าถ้ารู้จัก เข้าใจ สนิทสนมกับสองสิ่งนี้ ชีวิตก็ไม่น่าจะทุกข์ยากลำบากนัก (บอยเขียนเพลง ‘พ่อกับลูกชาย’ และ ‘เด็กน้อยกับพิณ พ่อลูกไปโรงเรียน)’ ว่างๆ ฝากคุณพิจารณา จำได้ว่าตอนปีใหม่เคยนำเสนอผลงานของบอยกับคุณไปแล้วครั้งหนึ่ง วันนี้มาอีกแล้ว แปลว่าใจเราคงฝักใฝ่ผูกพันกับนักร้องคนนี้เอาเรื่อง
อย่างที่บอก ในทางความคิด เราเห็นด้วยหมดเลย ความแตกต่างจากคุณ (และบอย) ทั้งความจนและความตาย ทั้งแบบฝึกหัดประเภทไปอยู่ไปนอนที่อื่นและความขาดบางสิ่งบางอย่าง ชีวิตเราไม่เคยต้องฝึกเลย เพราะเกิดมาแบบนั้น เกิดมากับความไม่พร้อม และกินนอนอยู่ใกล้สุสาน พูดง่ายๆ ว่าเกมที่เจ้าศิลป์กำลังฝึก สำหรับเรามันไม่ใช่เกม หากแต่ชีวิตเป็นอยู่เช่นนั้น (ไม่ได้ว่าใคร หรือแบบไหนถูกผิด) โดยสรุป แต่ละคนคงมี ‘งาน’ หรือ ‘แบบฝึกหัด’ คนละอย่าง คุณอาจสู้รบฝึกซ้อมกับความขาด บอย อิมเมจิ้น ปะทะความจนกับความตาย ของเราอาจเคี่ยวกรำกับการศึกษาอัตตาตัวตน แต่ละคนก็ว่ากันไปตามเงื่อนไขและประวัติศาสตร์ของตัวเอง ที่แน่ๆ การฝึกหัดมันจำเป็น และกว่าจะ ‘เป็นผู้เป็นคน’ ที่รู้ประสา ย่อมต้องผ่านการลงแรงและใช้ความคิดมาเข้มข้น
ฟังเรื่องรถล้มของ ‘พี่เค้า’ ก็นึกถึงตัวเอง
ครั้งแรกที่พัทยา ขี่มอไซค์ก็ไม่ได้เก่ง แต่ทะลึ่งไปเป็นคนฝึกหัดให้เพื่อน นึกภาพคนขี่ใหม่ๆ ออกใช่มั้ย บอกให้เบา เขาจะเร่ง ยิ่งตกใจยิ่งเร่ง มือมันไปเอง ผลออกมาคือล้มลากบนพื้นถนนลูกรัง
ครั้งที่สองที่ปาย ขี่ออกไปโดยไม่เอาขาตั้งขึ้น (รถรุ่นใหม่ๆ ไม่เอาขาตั้งขึ้น สตาร์ทไม่คิด เออ คนคิดมันก็เก่ง) พอเลี้ยวก็เป็นเรื่อง รถเซถลา ซ้าย และปัดป่ายไปเลนขวา รถกระบะฝั่งโน้นสวนมา ยังดีว่าเบรกทัน
ครั้งที่สาม ซ้อนลูกสาวออกจากสวน ทางลงลาดชัน พอเลี้ยวก็ล้ม เพราะฝนตก ทางเละ และลื่นมาก ไม่เจ็บอะไรหรอก แต่เปื้อนเปรอะเลอะโคลนทั้งพ่อลูก
ครั้งล่าสุด ทางเข้าบ้านที่ขี่มาเป็นพันๆ รอบนี่แหละ คราวก่อนขาลงใช่มั้ย คราวนี้ขาขึ้น ไม่มีฝน ไม่เละ ไม่ลื่น แต่มันชันและพื้นเป็นกรวดหิน มืด และเมา ความเก่งความเก๋าที่พูดกับคนรอบข้างเสมอว่ารถมีสองล้อ มันจะล้มได้ยังไง (ถ้าล้อเดียว และล้ม อันนี้เข้าใจได้) ค้นพบแล้วว่า เออ มันล้มได้ เจ็บนิดหน่อย จริงๆ เจ็บตัวก็ไม่เท่าไร แต่เจ็บใจนั่นแหละ (ถึงแม้ตอนล้มลงไปนอนหมดสภาพ ดาวบนฟ้าจะสวยเหลือเกิน) เรื่องง่ายๆ แสนสามัญ เรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ควรต้องล้ม ไม่ควรต้องเจ็บ ก็ดันประมาทเมามาย รักษาภาวะปกติไม่ได้ มันเสียใจ ผิดหวังกับตัวเองที่ไม่เข้มแข็ง ทั้งสิ้นทั้งปวง ยังไม่เคยล้มจั๋งๆ หนักๆ ถึงขั้นล้มหมอนนอนโรงพยาบาล ประสบการณ์มีแล้ว เคยผิดพลาดมาแล้ว ก็ได้แต่เตือนตัวเองว่า สูเจ้าจงระมัดระวังและถึงพร้อมด้วยสติ วุฒิภาวะ
เมื่อสตาร์ทรถ ความตายมันซ้อนท้ายอยู่ทุกวินาที
บนถนน คนทำผิดคือเรา แต่บางครั้งคนที่เจ็บที่สุดอาจหมายถึงคนใกล้ตัว.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน